พท.ผุดรองหัวหน้าฝักถั่ว ครม.ยุคเศรษฐามีหนาว!

“จุลพันธ์” นั่งหัวหน้าเพื่อไทยคนใหม่  บอกตระกูลชินผูกพันทางใจ มั่นใจกวาด 200 ที่นั่ง  “ประเสริฐ” โว พท.นิ่งแล้ว ด้าน “วราเทพ” กลับถิ่นเก่า “ป.ป.ช.” รับเรื่องไต่สวน “เศรษฐา-ครม.” โยกงบ 3.5 หมื่นล้านโปะแจกเงินหมื่น ด้าน “อิ๊งค์” รอด  

เมื่อวันที่ 31 ต.ค. พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุมใหม่ หลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค โดยมีบรรดาแกนนำและสมาชิกพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง นอกจากนี้  ยังพบนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ ที่ไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)  ช่วงหนึ่งมาร่วมด้วย

 โดยนายวราเทพกล่าวว่า จะนัดหมายเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรคอีกครั้ง ปัจจุบันมี สส.กำแพงเพชร พรรค พปชร. อยู่กับตน 2 คน และตนได้คุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค  พปชร.แล้ว

ต่อมาเวลา 10.05 น. ที่ประชุมมีมติเลือกให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ เป็นหัวหน้าพรรค มีรองหัวหน้าพรรค 13 คน ประกอบด้วย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ กำกับดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนบน, นายจเด็ศ จันทรา สส.พิษณุโลก กำกับดูแลพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง, นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล สส.เลย กำกับดูแลภาคอีสานตอนบน, นางมนพร เจริญศรี สส.นครพนม กำกับดูแลภาคอีสานตอนกลาง, น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล กำกับดูแลภาคอีสานตอนล่าง, นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว กำกับดูแลพื้นที่ภาคกลาง, น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ สส.กทม. กำกับดูแลพื้นที่ กทม., นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ กำกับดูแลพื้นที่ภาคใต้

นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ กำกับดูแลฝ่ายกฎหมาย, นายพงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.แรงงาน กำกับดูแลฝ่ายบริหาร, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล อดีต รมช.การคลัง กำกับดูแลฝ่ายนโยบายและวิชาการ, นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ สส.เลย กำกับดูแลฝ่ายกิจการสภาฯ, นายจักรพงษ์ แสงมณี อดีต รมต.ประจำสำนักนายกฯ กำกับดูแลฝ่ายต่างประเทศ โดยมีนายประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรองนายกฯ เป็นเลขาธิการพรรค มีรองเลขาธิการพรรค 5 คน และกรรมการบริหารพรรคอีก 6 คน

ภายหลังการประชุม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้มอบช่อดอกกุหลาบแสดงความยินดีกับนายจุลพันธ์และนายประเสริฐ

จากนั้นนายจุลพันธ์ได้แสดงวิสัยทัศน์หลังรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ตอนหนึ่งว่า เราผ่านการต่อสู้ทางการเมืองทุกรูปแบบ ทั้งบนถนน ทั้งในสภา แต่เรายังคงอยู่รอดมาได้ เราผ่านการปฏิวัติรัฐประหาร เราผ่านในเรื่องการตัดสิทธิ์ผู้บริหารพรรค  นายกรัฐมนตรีถูกถอดถอนหลายครั้ง เขาพยายามปิดปากพวกเรา แต่พวกเรายังคงอยู่ เรายังคงสู้ แนวทางของพรรควันนี้เราพร้อมที่จะยกเครื่อง เชื่อมั่นว่าเรามีประชาชนนับสิบล้านคนที่จะคอยเป็นกำลังผลักดันให้กับพรรค พท.ในการเดินหน้าไปสู่ชัยชนะในการเลือกตั้ง และเป็นรัฐบาลในครั้งถัดไปให้ได้

นายจุลพันธ์ยังให้สัมภาษณ์กรณีจะได้ สส.ถึง 200 เสียงหรือไม่ว่า มั่นใจ เพราะว่าจากการสัมผัสกับพี่น้องประชาชนในช่วงที่ผ่านมา รู้สึกได้ว่าประชาชนที่ให้การต้อนรับพรรค พท.ยังคงมีอยู่จำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวถามว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรค พท.ไม่ได้เป็นพรรคอันดับหนึ่ง นโยบายทำไม่สำเร็จ  จะกระทบต่อการเลือกตั้งครั้งถัดไปหรือไม่ นายจุลพันธ์ตอบว่า ครั้งที่ผ่านมามันก็ผ่านไปแล้ว เราไม่ได้มองลักษณะนั้น เรามองการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมาถึง ในเรื่องแนวนโยบาย หากมองในเรื่องเงินหมื่น มุมหนึ่งทำไม่เสร็จจริงๆ แต่ระยะเวลาในการเป็นรัฐบาลมีเพียงแค่ 2 ปี คือไม่สามารถอยู่ครบวาระได้ ระหว่างทางทุกท่านก็เห็นว่ามีอุปสรรคอะไรบ้าง แต่สิ่งที่เราทำคือสามารถดำเนินการนโยบายนี้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ซึ่งคนที่ได้เงินหมื่นไปก็เป็นกลุ่มเปราะบางหรืออ่อนแอ เป็นกลุ่มผู้สูงอายุหรือมีรายได้ต่ำ

‘จุลพันธ์’ ผูกพันทางใจตระกูลชิน

เมื่อถามว่า ขณะนี้พรรค พท.เลือดหยุดไหลแล้วหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า เลือดไหลตนมองว่าเป็นศัพท์แสงของสื่อใช้กัน ความปวดหัวของนายประเสริฐคือ การมีผู้สมัครในเขตหนึ่งเป็นจำนวนมาก จึงต้องคัดผู้สมัครให้เลือกเพียงคนเดียว นี่เป็นความยากของพวกตน อย่างไรก็ตาม การเข้าการออกในช่วงสถานการณ์ที่เข้าใกล้สู่การเลือกตั้งเป็นเรื่องปกติทางการเมือง หากไปดูพรรคอื่นก็มีเลือดไหล มีการเข้าและออกรายวันเหมือนกัน

เมื่อถามอีกว่า วันนี้พรรค พท. ชินวัตรยังถือเป็นกำลังสำคัญอยู่หรือไม่ หัวหน้าพรรค พท.ตอบว่า ด้วยความผูกพันตระกูลชินวัตร เราปฏิเสธไม่ได้ อย่าไปหลอกตัวเอง อย่างไรก็ตาม ตระกูลชินวัตร มีความผูกพันทางใจอยู่แล้ว แนวคิดริเริ่มอุดมการณ์ก็เริ่มมาจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ น.ส.แพทองธารที่เพิ่งลาออกก็เป็นที่รักเคารพของพวกเราทุกคน ทั้งนี้ ตำแหน่งที่ น.ส.แพทองธารไม่สามารถลาออกได้เพราะท่านเคยสมัครไว้ก่อนแล้ว คือหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ยังจะเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอยู่ต่อไป ส่วนการขับเคลื่อนในเรื่องสมาชิกและเรื่องต่างๆ ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ขัดกฎหมาย

ซักว่า หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยกับหัวหน้าพรรค พท. ใครใหญ่กว่ากัน นายจุลพันธ์ตอบว่า ในส่วนหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยเป็นความผูกพันทางใจ แต่หัวหน้าพรรค ตนมีอำนาจในการบริหารจัดการอย่างสมบูรณ์ทุกประการ

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ด้วยหรือไม่ หัวหน้าพรรค พท.ระบุว่า เรื่องนี้ไม่ได้เป็นข้อจำกัด ทางกฎหมายไม่ได้กำหนดว่าหัวหน้าพรรคต้องเป็นแคนดิเดตนายกฯ ซึ่งในส่วนนี้พรรคกำลังพิจารณาอยู่ เรายังไม่ได้ตัดสินใจ ตนยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ แต่เราต้องคัดสรรตัวแคนดิเดตนายกฯ ที่ถูกใจและตอบโจทย์ประชาชนให้ได้ ใช้เวลาไม่นาน ขอให้อดทนรอ อีกไม่กี่เดือนก็จะมีการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งจะมีการประกาศเปิดตัว และเชื่อว่าจะเป็นที่ถูกใจ โดยจะส่งครบทั้ง 3 คน

เมื่อถามว่า หากสภาเปิดจะมีการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเลยหรือไม่ นายจุลพันธ์กล่าวว่า มีการหารือกันว่าเวลาที่เหมาะสมจะเป็นเมื่อไหร่ เราไม่ได้ตรวจสอบจากอารมณ์ เราจะดำเนินการจากข้อมูล ต้องดูว่าเรามีข้อมูลเพียงพอหรือไม่ หากอภิปรายแล้วเป็นการฉายหนังเก่า จะเป็นความเสียหายกับพรรค พท. ฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่คือการรวบรวมข้อมูล ทั้งเรื่องทุจริตคอร์รัปชัน การปัดเป่าคดี การกระทำที่ไม่ถูกต้อง เรื่องจริยธรรมของบุคคลต่างๆ ฉะนั้นต้องรอรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนจึงจะตัดสินใจ

เมื่อถามอีกว่า จะไปพูดคุยกับนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ บิดาให้กลับมาอยู่กับพรรค พท. นายจุลพันธ์ตอบว่า มีการคุยกันอยู่ เดี๋ยวก็มา

ด้านนายประเสริฐกล่าวว่า เคยปฏิบัติภารกิจเลขาธิการพรรคมาก่อนแล้ว ไม่ได้เป็นที่หนักใจอะไร ส่วนที่มีกระแสพรรคอื่นทาบทาม สส.พรรค พท.ไปร่วมงานนั้น การย้ายพรรคจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งก่อนยุบสภา ตนยังมีความเชื่อว่าเรื่องการย้ายพรรคในปัจจุบัน สมาชิกส่วนใหญ่ตัดสินใจแล้วว่าอยู่ตรงไหน กระบวนการเลือกตั้งต้องมีการเตรียมตัว ไม่ใช่อยู่ดีๆ ย้ายไปย้ายมา มันง่ายเกินไป ไม่สามารถทำได้เช่นนั้น ในส่วนของพรรค พท.วันนี้นิ่งแล้ว

วันเดียวกัน นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะรักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่มีการกล่าวหาว่านายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี มอบนโยบายหรือมีมติสั่งการให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปดำเนินการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง พิจารณาทบทวนงบประมาณรายจ่ายที่ได้ตั้งคำขอไว้ โดยให้เสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลงเพื่อเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล วงเงินรวม 35,000 ล้านบาทว่า การกระทำของนายเศรษฐาเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 5 แห่ง เข้าข่ายเป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9 และมาตรา 20 วรรคแรก (5)

ไต่สวน ‘เศรษฐา’ โยกงบ

“โดยมีเจตนาที่จะนำงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ตามนโยบายของพรรค พท. ที่ได้ประกาศหาเสียงไว้ เพื่อมุ่งสร้างความนิยมทางการเมือง จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งอาจมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 17 คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคล” นายสุรพงษ์กล่าว

นายสุรพงษ์ระบุว่า สำหรับบุคคลที่ถูกไต่สวน ได้แก่ 1.นายเศรษฐา 2.คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายเศรษฐาที่เข้าร่วมประชุมและมีมติเห็นชอบกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณฯ ในคราวประชุม ครม.เมื่อวันที่ 13 ส.ค.67 3.นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายกรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลด หรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ครม.ชุดดังกล่าว มีนายอนุทิน นายกฯ คนปัจจุบัน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย รวมถึงรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลชุดปัจจุบันรวมอยู่ด้วย

นายสุรพงษ์กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีกล่าวหานายเศรษฐากับพวก ฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (1) (2) (3) นั้น ไม่มีมูลเป็นความผิดตามที่มีการกล่าวหา นอกจากนั้นศาลรัฐธรรมนูญยังเคยมีคำวินิจฉัยว่า การยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ต้องอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา  หากร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าวได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้น และเป็นกฎหมายใช้บังคับแล้ว ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงไม่มีกรณีต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป จึงมีมติให้ยุติการสอบสวนทางลับ

รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ช.กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ไม่รับเรื่องผู้ถูกร้องรายอื่น ดังนี้ 1.น.ส.แพทองธาร และ ครม.ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร 2.คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 3.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ที่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ

รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ช.เปิดเผยด้วยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติไม่รับเรื่องกล่าวหา น.ส.แพทองธาร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการในฐานะหัวหน้าพรรค พท. ให้ความเห็นชอบหรือละเว้นการพิจารณาให้ความเห็นชอบในการคัดเลือกนายพิชิต ชื่นบาน ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงความพร้อมในการเตรียมผู้สมัครลงเลือกตั้งครั้งหน้าว่า มีการเตรียมความพร้อมในทุกมิติในการเดินหน้าสู่สนามเลือกตั้ง รอบนี้โจทย์ของเราไม่ใช่การทำให้ประชาชนเชื่อใจเรา เชื่อใจจุดยืนเชื่อใจความมุ่งมั่นของเรา แต่ต้องเชื่อมือเราด้วยว่าเราสามารถเข้าไปบริหารประเทศได้

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม (กธ.) เปิดเผยว่า จะตั้งวอร์รูมเพื่อตรวจสอบเรื่องที่มีการกล่าวหาบุคลากรของพรรค กธ.อย่างเป็นรูปธรรม โดยจะรวบรวมข้อกล่าวหาจากทุกฝ่าย และสืบค้นข้อเท็จจริงให้ได้มากที่สุด หากมั่นใจว่าข้อมูลครบถ้วนรอบด้านแล้ว จะได้นำมาชี้แจงให้พี่น้องประชาชนทราบต่อไป ยืนยันว่าพรรค กธ.จะยังคงทำงานด้วยความสุจริต กล้าชน กล้าทำ และกล้ายืนหยัดบนหลักการ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'