นายกฯ เปิดประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ย้ำความเป็นผู้นำปราบอาชญากรรมข้ามชาติ ลั่นไม่ไว้หน้า เพราะไม่ติดหนี้บุญคุณใครนอกจากบุญคุณประชาชนและประเทศ “ผบ.ตร.” ชี้เป็นการค้าทาสยุคใหม่ ชง 3 แนวทางปราบ “รมว.ยธ.” บอกยังไม่มีข้อมูลชัด 7 นักการเมืองคือใคร “ขุนคลัง” นัดประชุมถกหาแนวทางสกัดทุนเทา แบงก์ชาติคลอดกฎคุมเข้ม อึ้ง! ประเสริฐโชว์กึ๋นอดีต รมว.ดีอี แนะ รบ.ต่อยอดยุคเพื่อไทยปราบสแกมเมอร์ใน 30 วัน
เมื่อวันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมหัวหน้าตำรวจอาเซียน ครั้งที่ 43 (ASEANAPOL) ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ภายใต้หัวข้อ “ร่วมมือปฏิบัติการ: ปราบปรามการหลอกลวง ขัดขวางการฉ้อโกง และปกป้องประชาชน” โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับอาวุโสจากประเทศสมาชิกอาเซียน คู่เจรจา และผู้สังเกตการณ์จากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ เข้าร่วมกว่า 200 คน
โดยนายอนุทินกล่าวเปิดงานว่า การประชุมในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะอาชญากรรมข้ามชาติได้ทวีความซับซ้อนและส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง ทั้งการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ อาชญากรรมทางไซเบอร์ การหลอกลวงข้ามชาติ และการหลอกลวงออนไลน์ ซึ่งทำลายเสถียรภาพของสังคม สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งปัญหาดังกล่าวทำให้ภูมิภาคอาเซียนกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของกลุ่มอาชญากรรมเหล่านี้ แต่สิ่งที่น่ายินดีคือ สมาชิกอาเซียนต่างตระหนักถึงปัญหา รับรู้ถึงความท้าทาย และตั้งใจร่วมกันดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ภูมิภาคอาเซียนกลับมาปลอดภัยอีกครั้ง
นายกฯ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยไม่เพียงต้องการเข้าร่วม แต่ต้องการเป็นผู้นำ และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติจำเป็นต้องดำเนินการอย่างจริงจังและเป็นระบบร่วมกัน โดยประเทศไทยได้ประกาศให้การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติเป็นวาระแห่งชาติ และเชื่อมั่นว่าการแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวมและบูรณาการเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายร่วมกัน คือความมั่นคงและความรุ่งเรืองของภูมิภาคอาเซียนและประชาคมโลกโดยรวม
ขณะที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวว่า อาชญากรรมทางไซเบอร์ได้แปรสภาพเป็นระบบแสวงหาประโยชน์ขนาดใหญ่ ที่มีการค้ามนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงขบวนการฉ้อโกงอีกต่อไป แต่คือเครือข่ายค้ามนุษย์ข้ามพรมแดน ไม่ใช่เพียงความท้าทายด้านการบังคับใช้กฎหมาย แต่คือวิกฤตด้านมนุษยธรรมในยุคดิจิทัล เป็นการค้าทาสรูปแบบใหม่
ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทยเสนอแนวทางในการร่วมมือกันปราบปรามอาชญากรรมเทคโนโลยีและการค้ามนุษย์ใน 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การเสริมสร้างความร่วมมือเชิงปฏิบัติการข้ามพรมแดน ต้องยกระดับความร่วมมือโดยมีการแลกเปลี่ยนข่าวกรองแบบเรียลไทม์ 2.การยกระดับศักยภาพด้านดิจิทัล และ 3.การคุ้มครองเหยื่อและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด
ไม่ติดหนี้บุญคุณใคร
นายอนุทินให้สัมภาษณ์อีกครั้งหลังเปิดประชุม ASEANAPOL ว่า เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้บรรจุเรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ทำให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่ได้เพิกเฉยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานต่อเนื่องมาโดยตลอด มีความมุ่งมั่นแน่วแน่ที่จะปราบปรามอาชญากรรมเหล่านี้ เพราะเป็นอาชญากรรมที่ทำลายเศรษฐกิจ ทรัพย์สิน และชีวิตของประชาชน หากไม่ดำเนินการอย่างเต็มที่และไม่ได้ความร่วมมือจากประเทศในภูมิภาค จะส่งผลให้ความเสียหายเกิดขึ้นในทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งส่วนตัวมั่นใจว่าไม่มีประเทศไหนยอม
“เรื่องพวกนี้เราปล่อยปละละเลย ย่อหย่อน เห็นแก่พวกไม่มีหรอกครับ มันอยู่เหนือความสัมพันธ์ใดๆ อยู่เหนือความต้องการผลประโยชน์ใดๆ แต่เป็นเรื่องของประเทศชาติและความปลอดภัยของประชาชนที่ทุกคนไม่มีวันจะยอมให้สิ่งเหล่านี้มาทำลายประเทศและประชาชน” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามต่อว่า การปราบปรามเรื่องนี้มักมีบุคคลสำคัญและนักการเมืองอยู่เบื้องหลังอาชญากรรมเหล่านี้ นายกฯ กล่าวว่า ได้มีการหารือกับ ผบ.ตร. เลขาฯ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และ รมว.ยุติธรรม ได้ทำงานปิดชื่อ ดูพฤติกรรม เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะไปโดนใครก็ไม่ยกเว้น ซึ่งต้องทำความเข้าใจว่าเราไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร พวกตนเองกินเงินเดือน ภาษีจากประชาชน ดังนั้น การที่จะปกป้องหรือคุ้มครอง ทำคุณประโยชน์ให้คือคนที่จ่ายภาษี จ่ายเงินเดือนให้กับพวกเรา นั่นคือ ประชาชนขอให้เลิกกังวล เลิกพยายามคิดว่ากระแสข่าวที่ไปเกี่ยวข้องหรือขัดขวางการปราบเรื่องนี้ ขอให้มั่นใจว่า ทุกท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้ขึ้นมาด้วยความสามารถของตนเองทั้งนั้น ไม่ได้ติดใครหรือมีหนี้บุญคุณที่ต้องชำระใคร นอกจากบุญคุณประเทศและประชาชนและเป็นหน้าที่ที่พิทักษ์ปกป้อง
นายอนุทินยังกล่าวถึงกรณี พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร. เสนอความคิดส่งตำรวจไทยไปสังเกตการปราบสแกมเมอร์ที่กัมพูชาว่า ก็ดี เขามีความร่วมมือกันอยู่แล้ว และมีโอกาสที่ไทยจะส่งตำรวจไปที่กัมพูชา สื่อต้องไปถาม ผบ.ตร. นโยบายของรัฐบาลชัดเจนให้ไปสั่งข้ามหัวใครคงไม่ได้
ด้าน พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม กล่าวถึงการเปิดข้อมูลว่ามีนักการเมือง 7 คนเกี่ยวกับการฟอกเงินว่า ยธ.ตรวจสอบแล้วยังไม่พบในส่วนของนักการเมืองทั้ง 7 คน แต่บางส่วนที่ดำเนินการตามที่เป็นข่าว ได้ตรวจสอบพบว่ามีการกระทำความผิดจริง โดยได้ประสานงานเชิญผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลามาพูดคุยและดูรายละเอียดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง รวมถึงได้ประสานไปถึงผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ด้วย
เมื่อถามถึงเส้นเงินนักการเมือง ช. ใกล้จะได้ความชัดเจนแล้วหรือไม่ พล.ต.ท.รุทธพลกล่าวว่า ขอไปตรวจสอบก่อน ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรม โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่จับกุมคดีพนันออนไลน์ พบความเสียหาย 35,000 ล้านบาท ซึ่งกรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม
ถามว่า แสดงว่า 7 รายชื่อมีตัวตนสามารถยืนยันตัวตนได้หมดแล้วใช่หรือไม่ รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า ในส่วนของ 7 รายชื่อ ไม่ยืนยัน จะดูในส่วนที่จะตั้งแนวทางการสืบสวนที่ให้ดีเอสไอดูแล ซึ่ง 7 รายชื่อนี้ได้สอบถามหลายท่านที่พูด ก็ยังไม่มีใครให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าเป็นใคร แต่พยายามตรวจสอบในส่วนของนักการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญหลักของนายกฯ
ขณะที่ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่ ยธ.เสนอร่างสนธิสัญญาอาเซียนว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยสนธิสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับ 30 วัน นับจากวันที่รัฐสมาชิกอาเซียนอย่างน้อย 6 รัฐได้แจ้งสำนักเลขาธิการอาเซียนว่ามีผลใช้บังคับแล้ว ซึ่งร่างสนธิสัญญาฯ มีสาระและหลักเกณฑ์ในการให้ความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนภายในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งคล้ายคลึงกับสนธิสัญญาในเรื่องเดียวกันที่ไทยได้จัดทำกับประเทศต่างๆ โดยสนธิสัญญาฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา รวมทั้งความร่วมมือด้านการยุติธรรมและการปราบปรามอาชญากรรมระหว่างประเทศภาคี
คลังจ่อถกปิดช่องโหว่
ส่วนนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.การคลัง ระบุว่า ในวันพุธที่ 5 พ.ย.2568 ช่วงบ่ายจะประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบเส้นทางการเงินและการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อหารือแนวทางปิดช่องโหว่ของระบบทางการเงิน และเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันและปราบปรามการไหลเวียนของเงินเทา
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศยกระดับกระบวนการติดตามและตรวจสอบธุรกรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันและเร่งแก้ไขปัญหาทุนเทา รวมทั้งสกัดกั้นการใช้ระบบการเงินในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ได้แก่ 1.ยกระดับการติดตามและการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้า ซึ่งรวมถึงการให้ธนาคารพาณิชย์ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัยในการรับหรือโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก และรายงานความผิดปกติให้ ธปท.ทราบ 2.ยกระดับการกำกับดูแลและตรวจสอบผู้ให้บริการทางการเงินภายใต้การกำกับของ ธปท.ให้เข้มงวดยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึง Authorized Money Transfer Agent, Authorized Money Changer, ผู้ให้บริการ e-Wallet และการตรวจสอบธุรกรรมทองคำที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพื่อให้สามารถติดตามและตรวจสอบเส้นทางการเงินที่อาจเกี่ยวข้องกับการทุจริตได้อย่างครอบคลุม
สำหรับกรณีนายเฉิน จื้อ หรือวินเซนต์ ประธานบริษัท ปรินซ์ โฮลดิ้ง กรุ๊ป (กัมพูชา) ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐอเมริกายื่นฟ้องเกี่ยวกับการฉ้อโกงและความผิดฐานฟอกเงิน โดยริบทรัพย์รวมทั้งคริปโตเคอร์เรนซี มูลค่า 4.9 แสนล้านบาทนั้น มีรายงานข่าวจาก ปปง.แจ้งว่า ต้องประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ซึ่ง ปปง.จะดูเรื่องของพฤติกรรมต้องสงสัยทางการเงิน แต่การไปมีมาตรการกับทรัพย์สินจะต้องมีคดีมูลฐานปรากฏก่อน ไม่ว่าคดีมูลฐานนั้นจะดำเนินการโดยตำรวจ สอท. ตำรวจ บช.ก. หรือดีเอสไอ แล้วจึงจะไปสู่การมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินได้
“มูลฐานความผิดที่พนักงานสอบสวนจะตั้งขึ้นมาคือหัวใจสำคัญ ต้องปักธงให้ถูกต้อง รอบคอบ เพราะถ้าเป็นจำพวกคดีเว็บพนันออนไลน์ ทรัพย์สินที่ยึดจะตกเป็นของแผ่นดิน แต่ถ้าคดีฉ้อโกงประชาชน ทรัพย์สินที่ยึดได้จะต้องเฉลี่ยคืนผู้เสียหาย”
รายงานยังแจ้งถึงกรณีนายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีต รมช.การคลัง ที่ถูกกล่าวหาพาดพิงถึงความสัมพันธ์กับนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือเบน สมิธ และนายยิม เลียก ผู้บริหารของ BIC Bank Cambodia ประธานกรรมการของธนาคารว่า ปปง.มีหน้าที่สนับสนุนข้อมูล หากหน่วยงานใดต้องการข้อมูลไปสืบสวนสอบสวน ปปง.ก็จะมีข้อมูลทั้งการทำธุรกรรมและผู้ที่มาเกี่ยวข้องในธุรกรรมนั้นๆ หรือการซื้อ ครอบครอง ถือครองทรัพย์สินรายการใดบ้าง เป็นต้น ซึ่งพนักงานสอบสวนที่จะมาขอข้อมูลกับ ปปง. ก็ต้องระบุด้วยว่าเป็นการขอข้อมูลในเรื่องมูลฐานใดจากความผิดกฎหมายฟอกเงิน ต้องมีพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าบุคคลมีการฉ้อโกงประชาชน หรือมีการเกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ เป็นต้น มิใช่ว่าเจ้าหน้าที่จะมาขอตรวจสอบใครก็ได้ แบบนี้จะถือเป็นการกระทบสิทธิประชาชนและบุคคลที่สามที่ปรากฏในการทำธุรกรรม
“กรณีของนายเฉิน จื้อ และกรณีของนายวรภัค อยู่ระหว่างการประสานการดำเนินการกับหลายหน่วยงาน และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ประเด็นข้อเท็จจริง”
แนะต่อยอดเพื่อไทย
ส่วนนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีมีการเปิดชื่อ สส.พรรคเพื่อไทยอาจเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ว่า ได้พูดคุยกับบุคคลที่ถูกพาดพิง ได้รับคำตอบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด โดยพรรคยินดีให้การตรวจสอบ ส่วนจะดำเนินคดีกลับหรือไม่นั้น เจ้าตัวจะปรึกษากับฝ่ายกฎหมายก่อนเพื่อปกป้องสิทธิ์ของตัวเองในการกล่าวพาดพิงเกิดความเสียหายที่ต้องดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง
นายประเสริฐ ในฐานะอดีต รมว.ดิจิทัลฯ ยังกล่าวถึงมาตรการปราบสแกมเมอร์ของรัฐบาลว่า รัฐบาลประกาศจะเป็นผู้นำด้านการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ในระดับโลก แต่กลับทำได้เพียงสร้างภาพ ขาดการปฏิบัติจริง ต่างจากรัฐบาลชุดก่อนสามารถลดความเสียหายลงกว่า 40% หรือราว 14,500 ล้านบาทต่อปี แต่ภายใต้รัฐบาลปัจจุบันกลับปล่อยให้กลับมาเป็นปัญหาใหญ่อีกครั้ง
นายประเสริฐกล่าวว่า พรรคขอเสนอให้รัฐบาลเดินหน้าปราบสแกมเมอร์ภายใน 30 วัน ก่อนยุบสภา ไม่ต้องรอ 4 เดือนอย่างที่รัฐบาลออกมาประกาศ โดยต่อยอดจากกลไกเดิมที่รัฐบาลเพื่อไทยได้วางไว้แล้ว คือ 1.ขอให้รัฐบาลออกมาแถลงผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี แฉว่าถูกแก๊งสแกมเมอร์เสนอสินบน 40 ล้านต่อเดือน แลกกับการไม่ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2.สืบสวนและดำเนินการทางคดีกับบุคคลและบริษัทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท Prince Group โดยเร็วที่สุด 3.จะโค่นสแกมเมอร์ได้ ต้องโฟกัสที่เงิน เพราะเงินทุกบาทที่อาชญากรยึดไป รัฐบาลต้องเอาคืนให้พี่น้องประชาชนให้มากที่สุด ต้องระงับบัญชีม้า โดยรัฐบาลชุดที่แล้วระงับบัญชีม้าได้มากกว่า 500,000 บัญชี และ 4.เดินหน้าความร่วมมือปราบสแกมเมอร์ทั้ง 3 ฝ่าย ระหว่างไทย-จีน-กัมพูชา โดยให้พิจารณาพัฒนาจากโมเดลความร่วมมือ ไทย-จีน-เมียนมา ที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ริเริ่มไว้ รวมถึงกลับมาดำเนินมาตรการ 3 ตัด คือ ตัดไฟ ตัดอินเทอร์เน็ต ตัดการขนส่งน้ำมัน เพื่อสกัดสแกมเซ็นเตอร์ตามแนวชายแดน และให้กลับมาเข้มงวดในการปิดกั้นเส้นทางธรรมชาติทางชายแดนด้วย
“รัฐบาลต้องหยุดเล่นการเมืองบนความมั่นคงของชาติ และหันมาให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง ถึงเวลาต้องทำจริง ไม่ใช่แค่สร้างภาพตามกระแส” นายประเสริฐระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


