จีทูจีขายข้าว นำร่องสินค้า เกษตรกรรม

“ศุภจี” ลั่นดัน 7 นโยบายควิกวินใน 4 เดือน เล็งคลอดกว่า 70 กิจกรรม เผยขายข้าวจีทูจีเมืองลอดช่องนำร่องก่อนสินค้าเกษตรกรอื่น “ไหม” ซัดรัฐราชการห่วยแตก ทำให้นโยบายเศรษฐกิจไม่ไปไหน

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 พ.ย.2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในงาน Policy Talk ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “นโยบายด้านการค้าและการพาณิชย์ของรัฐบาล” จัดโดยหลักสูตรรัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานโยบายสาธารณะ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยนางศุภจีกล่าวถึงแนวทางบริหารในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วว่า การกำหนดนโยบายต้องตั้งอยู่บนฐานข้อมูล ความเข้าใจทั้งจากภาครัฐ เอกชน และผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน เพื่อให้นโยบายมีความสมดุลและสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนด 7 นโยบาย Quick Big Win ภายใต้กรอบ 5 เสาหลักของคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ได้แก่ 1.เจรจาข้อตกลงภาษีซ้อนกับสหรัฐ 2.การค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ช่วยเหลือผู้ประกอบการ 7 จังหวัดชายแดน 3.เร่งขยายตลาดใหม่และผลักดัน FTA 4.ดูแลค่าครองชีพประชาชน 5.รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร 6.เสริมความแข็งแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย และ 7.ปรับปรุงกฎระเบียบและนำเทคโนโลยี AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ

“การดำเนินนโยบายของกระทรวงพาณิชย์ในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลจะผลักดันโครงการกว่า 20 โครงการ ครอบคลุม 7 นโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพาณิชย์ รวมกว่า 70 กิจกรรม” นางศุภจีกล่าว

นางศุภจียังกล่าวถึงความสำเร็จในการเจรจาซื้อขายข้าวกับประเทศสิงคโปร์ว่า การลงนามสัญญาซื้อขายข้าวกับสิงคโปร์ถือเป็นครั้งแรกที่ดำเนินการในลักษณะรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ซึ่งที่ผ่านมาการค้าข้าวระหว่างไทยกับสิงคโปร์เป็นการซื้อขายโดยภาคเอกชนเป็นหลัก แต่ครั้งนี้มีความสำคัญใน 2 มิติ คือ 1.เป็นความร่วมมือซื้อข้าวระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลครั้งแรก และ 2.เป็นการสร้างความมั่นคงทางอาหารระหว่างประเทศ มากกว่าการค้าข้าวในเชิงพาณิชย์ทั่วไป

 “ข้อตกลงครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการขายข้าว แต่เป็นการสร้างความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ เป็นโมเดลที่เริ่มต้นจากสินค้าข้าว 100,000 ตันในระยะเวลา 5 ปี และสามารถต่อยอดสู่สินค้าเกษตรอื่น เช่น เนื้อหมู ไก่ และสินค้าเกษตรสดประเภทต่างๆ ได้ในอนาคต” นางศุภจีกล่าว

ด้าน น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงข้อตกลงทางการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ ว่ายังมีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่ได้มีความกระจ่าง จนกว่าข้อตกลงจะเผยแพร่สู่สาธารณะ และยังมีข้อกังวลใหญ่เรื่องผลกระทบต่อไทยอย่างต่อเนื่อง คือเรื่องสินค้าสวมสิทธิ์ เพราะยังไม่ได้ตกลงอัตราภาษี หรือการกำหนดอัตราใช้ชิ้นส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ ( RVC) ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับเศรษฐกิจประเทศไทย

ส่วนกรณีวิพากษ์วิจารณ์ราคาข้าวต่ำสุดในรอบ 10 ปีนั้น น.ส.ศิริกัญญาระบุว่า สต๊อกข้าวที่มีอยู่ในประเทศค่อนข้างมาก และการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐเป็นเพียงเอ็มโอยูที่มีเวลา แม้จะได้เอ็มโอยูมาแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีการระบายข้าวทันที จึงเป็นเหตุที่ทำให้ราคาข้าวยังไม่ได้ดีขึ้น ดังนั้นจึงต้องปรับปรุงหาตลาดระบายสต๊อกข้าวได้ทันที เพื่อเตรียมรับผลผลิตข้าวล็อตใหม่ที่จะออกมาในช่วงปลายปีนี้

น.ส.ศิริกัญญายังร่วมบรรยายในหัวข้อ “นโยบายทางเศรษฐกิจทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทย” ระบุว่า นโยบายของทุกรัฐบาลส่วนใหญ่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อตอบโจทย์ระยะสั้นท่าเดียว แต่จะทำแต่ระยะสั้นโดยไม่วางรากฐานไปสู่ระยะยาวก็ไม่ได้ ซึ่งโครงการนโยบายคนละครึ่งไม่ตอบโจทย์ในการกระตุ้น GDP เพราะตัวโครงการนี้ เราแค่เปลี่ยนที่ใช้เงิน แต่ไม่ได้ควักกระเป๋าสตางค์เพิ่ม แค่เปลี่ยนร้านใช้ ซึ่งโครงการนี้ช่วยกระตุ้นยอดขายให้ร้านขนาดเล็ก ขนาดย่อยได้ดี รวมถึงช่วยลดค่าครองชีพ และเราก็สนับสนุน แม้โครงการนี้ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจแน่นอน ตอบโจทย์บางโจทย์ ไม่ได้ตอบทุกโจทย์

 “เราเห็นด้วย เราไม่เคยบ่นเรื่องคนละครึ่งเลย แต่ที่เราบ่นเพราะเขาแอบไปเติมเงินให้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเป็นงบประมาณของปี 2568 เราก็บ่นอยู่แล้วว่าปี 2568 มันขาดดุลมหาศาลอยู่แล้ว ถ้าจะประหยัดอะไรได้ก็ควรจะประหยัด” น.ส.ศิริกัญญากล่าว

น.ส.ศิริกัญญายังได้ตอบคำถามที่ว่า หาก 4 เดือนได้เป็นรัฐบาล นโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นคืออะไร ว่าหนึ่งอย่างที่อยากทำให้เกิดผลให้ได้ คือเอาเศรษฐกิจที่อยู่นอกระบบอยู่ใต้ดินมาอยู่ในระบบมากขึ้น ปี 2566 จึงมีนโยบายหวยใบเสร็จ เป้าหมายคือเอาคนเข้าระบบภาษีให้ได้มากที่สุด แต่เราไม่ได้เน้นที่ระยะสั้นเท่าไหร่ ซึ่งนโยบายทางเศรษฐกิจจะทำไม่ได้ถ้าไม่ได้ปฏิรูปภาครัฐ

 “6 ปีที่เรานั่งทำงานในสภามา เราคลุกคลีอยู่กับภาครัฐ เราเห็นว่าวิสัยทัศน์ดีแค่ไหนเจอรัฐราชการไทยจอดทุกราย รัฐราชการไทยทำคนจอดมาแล้วนักต่อนัก ดังนั้นถ้าไม่แก้เรื่องนี้ไปต่อไม่ได้จริงๆ เราจึงเสนอเรื่องนี้ ที่พูดมาทั้งหมดเราต้องใช้รัฐเป็นตัวขับเคลื่อนทั้งนั้นเลย เวลาเราบอกว่า ประเทศนี้มีปัญหาอะไร ถาม 5 ครั้ง มันจบที่ระบบราชการทุกครั้งไป ดังนั้นแก้ที่รัฐมันห่วยแตกไม่พอ เราต้องการรัฐที่ Clean, Lean, Empowering และ Responsive มองว่าจะปฏิรูปราชการได้ต้องตั้งรองนายกฯ ขึ้นมาคนหนึ่งสำหรับทำหน้าที่นี้โดยเฉพาะ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.