"อนุทิน" นำ ตร.แถลง “รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์” กวาดล้างอาชญากรรมออนไลน์ 13 วัน จับกุม 7,044 คดี ลั่นไทยไม่ใช่ศูนย์กลางสแกมเมอร์ เคลียร์ไม่ได้ ไม่มีการเคลียร์ มั่นใจภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรที่ตำรวจทำไม่ได้ในสิ่งที่ถูกที่ชอบที่ควรด้วยกฎหมาย ทูตอินเดียขอบคุณ ช่วยพลเมืองอินเดียที่ตกเป็นเหยื่อรวมกว่า 400 คน
เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการแถลงข่าวการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี “รวมพลังคนไทย ต้านภัยสแกมเมอร์” United Thailand Against Scammers ณ ห้องประชุมแจ้งยอดสุข อาคารศูนย์ฝึกอบรม ตม. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย รอง ผบ.ตร. ประกอบด้วย พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์, พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง, พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร และผู้ช่วย ผบ.ตร., รองจเรตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการและผู้แทนหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมงาน
นายอุทินกล่าวว่า ปัญหาสแกมเมอร์นั้นไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นของประชาชน ของประเทศ ของระบบเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน และเป็นตัวชี้วัดของรัฐบาล รัฐบาลจึงได้ประกาศสงครามกับสแกมเมอร์เป็นวาระแห่งชาติ และในวันนี้ตนก็ได้ใช้โอกาสนี้มารายงานความคืบหน้า รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีขึ้นมา โดยมีตนเป็นประธาน เพื่อให้ทุกหน่วยงานทำงานภายในทิศทางเดียวกัน ในการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง 15 หน่วยงานหลักทั้งภาครัฐและภาคเอกชนตลอดจนสถาบันการเงิน เพื่ออุดช่องโหว่ทางการเงินและตัดเส้นเงินของกระบวนการอาชญากรรมเหล่านี้ให้เสร็จ เราเปลี่ยนจากการตั้งรับเป็นเชิงรุก
โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สะท้อนถึงความก้าวหน้าอย่างชัดเจน ที่ผ่านมาเราได้อายัดทรัพย์สินเป็นจำนวนเงินหลายหมื่นล้านบาท เพิกถอนวีซ่า ผลักดันผู้กระทำความผิดชาวต่างชาติออกนอกประเทศ ตลอดจนเพิกถอนสัญชาติและกำจัดบัญชีม้าได้แล้วเป็นจำนวนมาก ทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ดี ในฐานะนายกรัฐมนตรีทราบดีว่าพี่น้องประชาชนมีคำถาม และบางคนอาจตั้งข้อสงสัยว่าในเครือข่ายอาชญากรรมเช่นนี้ มีคนของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ตนขอเรียนให้ทุกท่านได้ทราบว่ารัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจ และรับฟังทุกเสียงสะท้อนที่เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาทุกหน่วยงานได้ทำงานอย่างเต็มที่ในภารกิจนี้ และขอความร่วมมือว่าหากท่านใดมีข้อมูลว่ามีนักการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปพัวพัน ขอให้ส่งข้อมูลถึงผู้บังคับบัญชาในหน่วยงาน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการเรื่องนี้โดยตรง
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล และเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบสูงสุด อย่างที่เรียนเรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ ไม่มีการเคลียร์ เรื่องนี้ทำงานดูจากพฤติกรรมพฤติการณ์และความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ ไม่รู้ถ้าชื่อคนไหนโผล่ออกมา คนนั้นต้องถูกดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดและเด็ดขาดไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้น ขอให้ความมั่นใจว่ารัฐบาลจะให้ความคุ้มครองพวกแจ้งเบาะแสอย่างเต็มที่ และอยากจะขอย้ำว่าให้แจ้งในช่องทางที่มีอำนาจหน้าที่โดยไม่รอช้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการได้อย่างทันท่วงทีและถูกต้องตามกฎหมาย
“ยืนยันว่าประเทศไทยไม่ใช่ศูนย์กลางสแกมเมอร์ นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนว่าผู้รักษากฎหมายไม่ยินยอมให้เกิดการดำเนินการของสแกมเมอร์อย่างเป็นรูปธรรมได้ สิ่งที่เราจะทำคือต้องแสวงหาความร่วมมือต่างๆ การกดดันถ้ามีความจำเป็นต่อประเทศ ที่ยังเปิดให้โปรแกรมเมอร์เหล่านี้ใช้พื้นที่ของเขาเป็นศูนย์กลางดำเนินการอยู่ รัฐบาลยินดีที่จะสนับสนุนในทุกวิถีทางทุกช่องทาง ขอความร่วมมือไปยังช่องทางโซเชียล ไลน์ เฟซบุ๊ก หรือแพลตฟอร์ม แอปพลิเคชันต่างๆ เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่สแกมเมอร์อาชญากรใช้เป็นช่องทางในการติดต่อกับประชาชน พวกเราต้องดำเนินการปิดทุกช่องทาง และมั่นใจเหลือเกินว่าภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้ในสิ่งที่ถูกที่ชอบที่ควรด้วยกฎหมาย ในฐานะรัฐบาลขอเป็นกำลังใจและสนับสนุนทุกรูปแบบ ในทุกสิ่งที่อำนาจหน้าที่นิยม เพื่อให้ภารกิจของประชาชนของตำรวจบรรลุเป้าหมายเป็นอย่างดี ก่อให้เกิดประโยชน์อันสูงสุดต่อประเทศชาติ” นายอนุทิน กล่าว
ทั้งนี้ ข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่า ในการระดมกวาดล้างจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม - 8 พฤศจิกายน 2568 (รวม 13 วัน) มีผลการจับกุมรวม 7,044 คดี ผู้ต้องหา 7,174 คน
วันเดียวกันนี้ นายอนุทินเดินทางไปยังอำเภอแม่สอด จ.ตาก เพื่อติดตามการปฏิบัติหน้าที่ส่งกลับบุคคลต่างชาติที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ในโอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้หารือกับนายนาเคศ สิงห์ เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย
ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตอินเดียได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี รัฐบาลไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งฝ่ายความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง กระทรวงมหาดไทย จังหวัดตาก สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ในการให้ความช่วยเหลือชาวอินเดียที่ตกเป็นเหยื่อจากศูนย์สแกมเมอร์ได้เดินทางกลับประเทศ ทั้งในวันนี้จำนวน 197 คน และเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา จำนวน 270 คน พร้อมชื่นชมนโยบายของรัฐบาลในการเข้มงวดปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ทุกประเภท
พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงการขยายผลการจับกุมแก๊งสแกมเมอร์ชาวจีนที่ใช้ AI ในการลวงเหยื่อใจกลางกรุงเทพฯ ว่า คดีนี้ ถือว่าตรวจยึดของกลางได้อย่างสมบูรณ์ เพราะขณะเข้าจับกุมคนร้ายไม่ทันได้ลบข้อมูล และยังเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์เอาไว้ เนื่องจากการจู่โจม ผู้ต้องหากำลังหลอกเหยื่อ กลุ่มผู้ต้องหามีหน้าที่ทางการเงิน โดยการนำข้อมูลของเหยื่อที่ได้มาจากโลกโซเชียล มีการถ่ายรูปใบหน้าทั้งด้านตรง ด้านข้าง และนำข้อมูลมาปรับแต่งโดย AI เพื่อเปิดบัญชีม้าและหลอกลวงผู้เสียหาย ซึ่งจุดเกิดเหตุเป็นออฟฟิศการเงิน การจับกุมครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ใช้ AI หลอก AI ซึ่งเป็นวิวัฒนาการของคนร้าย โดยผู้เสียหายทั้งหมดเป็นคนจีนที่อยู่ในประเทศจีน กำลังขยายผลว่ามีคนไทยตกเป็นเหยื่อหรือไม่ ส่วนออฟฟิศหลักของผู้ต้องหาอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับคนไทยหากเชื่อว่าถูกกลุ่มผู้ต้องหานี้หลอกลวง ขอให้เข้าแจ้งข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ช่วยจับกุมเพื่อขยายผลต่อไป
นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมชาวจีน 4 คน ที่ใช้ AI สร้างคลิปวิดีโอปลอมจากภาพนิ่งของเหยื่อ เพื่อหลอกระบบยืนยันตัวตนของธนาคารว่า จากการตรวจสอบพบว่าเป็นกรณีสแกมเมอร์ชาวจีนทดสอบระบบยืนยันตัวตน โดยใช้ข้อมูลและแอปพลิเคชันของจีนเท่านั้น ไม่ใช่ของไทยแต่อย่างใด
“ธปท.ย้ำว่าระบบยืนยันตัวตนด้วยใบหน้าที่ธนาคารพาณิชย์ในไทยใช้ มีมาตรการป้องกันการปลอมแปลงด้วยภาพหรือวิดีโออย่างรัดกุม โดยแต่ละธนาคารมีเทคนิคการตรวจจับที่จะต้องผ่านการทดสอบความแม่นยำ ความปลอดภัยต่อการโจมตีในหลายรูปแบบ ก่อนนำมาใช้งานจริง ขณะเดียวกันศูนย์ประสานงานด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ภาคการธนาคาร (TB-CERT) ภายใต้สมาคมธนาคารไทย ยังติดตามภัยไซเบอร์รูปแบบใหม่ๆ อย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติก็จะเร่งหาแนวทางป้องกันทันที” นางสาวดารณีกล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


