กองทัพไทยพร้อมรบ ทหารเหยียบระเบิด-หยุดปฏิญญาสันติภาพ/บุญสินไม่ฟื้นฝอย

“อนุทิน” เดือด! ทหารไทยเหยียบกับระเบิดใหม่จนขาขาด ลั่นกัมพูชาเป็นปฏิปักษ์ไม่เลิก สั่งหยุดเดินหน้าปฏิญญาสันติภาพทุกด้าน โดยเฉพาะการส่งคืน 18 เชลยศึก พร้อมจี้ฟ้องโลกและผู้สังเกตการณ์ เล็งลงพื้นที่ด่วน 11 พ.ย.นี้ มท.ชะลอให้แรงงานเขมรอยู่ในประเทศเป็นกรณีพิเศษ “สีหศักดิ์” ติดต่อ รมว.กต.กัมพูชา เพื่อประท้วงแล้ว-ทำหนังสือแจ้ง “สหรัฐฯ-มาเลเซีย” ด้วย "กองทัพไทย" ฮึ่ม! พร้อมรักษาศักดิ์ศรีและอธิปไตย ด้าน “แม่ทัพกุ้ง” วอนสังคมเดินหน้าอย่าฟื้นฝอยอดีต "ภูมิธรรม" โผล่ไล่ไทม์ไลน์ โยนบาปซัดกองทัพเป็นผู้มีอำนาจสั่งตามหลัก ROE

เมื่อวันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน 2568 เวลา 09.30 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารีว่า เกิดเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนเส้นทาง เป็นเหตุให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ดังนี้ 1.จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ อาการข้อเท้าขวาขาด 2.พลทหารวชิระ พันธะนา อาการแน่นหน้าอกจากแรงอัด ปัจจุบันได้ส่งตัวรักษา ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า รับทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และเห็นด้วยพร้อมสนับสนุนการดำเนินการของกระทรวงกลาโหม (กห.) และเหล่าทัพในเรื่องนี้ สิ่งที่ดำเนินการมาโดยตลอด ณ ตอนนี้จะหยุดจนกว่ามีความชัดเจน โดยจะแจ้งไปยัง กห.และกระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ว่าต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยต้องการเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เราคิดว่าความเป็นปฏิปักษ์ ที่คิดว่าจะลดลงไปต่อความมั่นคงของชาติมันไม่ได้ลด เมื่อไม่ได้ลดเราจะดำเนินการอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ได้

เมื่อถามว่า หมายความรวมไปถึงการส่งตัวทหารกัมพูชาที่ถูกทางการไทยควบคุมตัวอยู่ 18 คนด้วยใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ถูกต้อง ทุกอย่างต้องหยุด

ถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือว่ากัมพูชาละเมิดข้อตกลงใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า รายละเอียดจะให้ รมว.กห.และกองทัพออกมาชี้แจง สิ่งที่ยืนยันกับท่านให้ท่านว่าไปเลย ตามท่านทุกอย่าง

เมื่อถามว่า วันที่ 11 พ.ย.จะลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษใช่หรือไม่ นายกฯ หันกลับมาตอบว่า ต้องไปสิ ทหารของเราถึงขั้นขาขาด

มีรายงานว่า ในวันที่ 11 พ.ย. หลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอนุทินจะลงพื้นที่ด่วนไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดที่ รพ.สรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี และจะเดินทางต่อไปยังพื้นที่ห้วยตามาเรีย ตรงข้ามปราสาทพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ และจะเป็นประธานการประชุมหาแนวทางหยุดปฏิญญาสันติภาพที่ได้ลงนาม Joint Declaration

ด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาลยอมรับไม่ได้ ซึ่งนายกฯ สนับสนุนในการดำเนินการทุกอย่างแก่กองทัพและการดำเนินการตามข้อตกลง Joint Declaration ที่ดำเนินมาแล้วกว่า 1 สัปดาห์ให้หยุดไปก่อน ดังนั้นการดำเนินการที่กังวลว่าจะมีการปล่อยเชลยศึกในวันที่ 12 พ.ย.นั้น เรื่องนี้ก็หยุดเช่นกัน ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่มีการอ่อนข้อ และไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ กับประเทศกัมพูชา และยืนยันว่าสิ่งที่รัฐบาลมุ่งหวังคือให้ประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนกลับเข้าสู่สภาวะปกติให้เร็วที่สุด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ที่ความเป็นปฏิปักษ์ไม่ได้ลดลง ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ใน 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาต้องหยุดชะงักและต้องมาเคลียร์เรื่องนี้ก่อน

หยุดไม่มีกำหนด!

เมื่อถามว่า จะหยุดดำเนินการตามข้อตกลง Joint Declaration แบบไม่มีกำหนดหรือไม่ นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีกำหนดจนมีการพูดคุย แต่บอกว่าไม่มีกำหนดก็กว้างเกินไป หลังจากนี้เมื่อมีการประท้วงกันแล้ว ก็ต้องมาดูว่าต้องดำเนินการต่อไปอย่างไร ซึ่งตอนนี้ต้องหยุดไปก่อนจนกว่าจะเคลียร์เรื่องเหยียบทุ่นระเบิด

ถามอีกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่ากัมพูชาไม่ได้ดำเนินการตามข้อตกลง และเป็นการเล่นนอกเกมใช่หรือไม่ นายสิริพงศ์กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือหนึ่งในนั้น ส่วนที่เหลือก็ขอให้ไปฟังรายละเอียดจากฝ่ายความมั่นคง แต่นี่คือท่าทีของรัฐบาล

ก่อนหน้านี้นายสิริพงศ์ระบุว่า นายกฯ ไม่สบายใจอย่างยิ่ง และได้สั่งให้ กต.และ กห.พิจารณาประท้วงไปยังคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) โดยจะดำเนินการให้ถึงที่สุด พร้อมกำชับให้กองทัพและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลรักษาพยาบาลผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างเต็มที่ และขอส่งกำลังใจให้กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่

ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม กล่าวเรื่องนี้ว่า ได้สอบถามผู้บัญชาการทหารบกและกองทัพภาคที่ 2 ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้ให้ข้อมูลว่า พื้นที่ที่เกิดเหตุ เป็นเป็นพื้นที่ที่ลาดตระเวนอยู่เป็นประจำ ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 คาดว่าจะเป็นการวางทุ่นระเบิดใหม่ เป็นการปฏิบัติของฝ่ายกัมพูชาที่ไม่เคารพต่อผลการลงนามในปฏิญญาเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 เพราะฉะนั้นจึงได้ขออนุมัติจากนายอนุทินให้หยุดการปฏิบัติตามปฏิญญาดังกล่าวไว้ก่อน

พล.อ.ณัฐพลยังกล่าวด้วยว่า หนังสือประท้วงก็ได้ทำตามลำดับแล้วไปยัง กต. และจะมีการตรวจสอบอีกต่อไป แต่ถ้ามีการพบว่าเป็นท่าทีที่รุกล้ำอธิปไตยก็ต้องมีการปฏิบัติมากกว่านี้

เมื่อถามว่า เหตุการณ์ดังกล่าวต้องทำหนังสือไปยังคณะผู้สังเกตการณ์ และผู้สังเกตการณ์จากประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลยืนยันว่า ทำแน่นอน ซึ่งขณะนี้คณะผู้สังเกตการณ์หรือ AOT ก็อยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นขอยืนยันว่า ขอหยุดการปฏิบัติตามการลงนามตามปฏิญญาดังกล่าวไว้ก่อน ที่นายกฯ ไทยไปลงนามกับนายกฯ กัมพูชา ซึ่งนายกฯ เห็นชอบแล้ว

ขณะเดียวกัน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอนุทินได้สั่งชะลอการลงนามในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ  ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 2568 ซึ่งเสนอในสมัยรัฐบาลก่อนของนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ โดยให้เหตุผลว่าจำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลให้รอบด้าน และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด

 “รัฐบาลยึดหลักปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และจะไม่เร่งรัดดำเนินการใดๆ จนกว่าข้อมูลและหลักฐานทุกอย่างจะถูกต้องสมบูรณ์ เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน” น.ส.ไตรศุลีกล่าว

พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษา ผบ.ทบ. และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับน้องทหารทั้ง 2 นายที่ประสบเหตุ และขอเป็นกำลังใจให้ผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับหน่วยได้มีกำลังใจ เพื่อปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของประเทศชาติต่อไป

ขณะที่เวลา 16.30 น. เพจ Royal Thai Air Force กองทัพอากาศ ได้โพสต์ข้อความว่า "ยุติการดำเนินการทุกข้อตกลงระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา จนกว่าการปฏิบัติการใดๆ ของกัมพูชาที่แสดงความเป็นปฏิปักษ์จะไม่มี กองทัพอากาศขอยืนยันจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยเกียรติ ศักดิ์ศรี และผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง"

พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด  (ผบ.ทสส.) ประกาศท่าทีกองทัพไทยว่า “กองทัพไทยยุติข้อตกลงจนกว่า กัมพูชาจะมีความจริงใจอย่างชัดเจนที่จะไม่เป็น 'ปฏิปักษ์' และกองทัพไทยพร้อมจะรักษาไว้ ซึ่งศักดิ์ศรีและอธิปไตยของชาติ รวมถึงความผาสุกของพี่น้องประชาชนไทยทุกคน"

กต.ประท้วงเขมร

ด้านนายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้เดินทางไปปฏิบัติราชการอยู่ที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ได้ติดต่อกับนายปรัก  สุคน รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ต่างประเทศของกัมพูชา เพื่อทำการประท้วงไปแล้วว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่เป็นไปตามเป้าประสงค์ หรือสปิริตของความตั้งใจทั้ง 2 ฝ่ายตามถ้อยแถลง หรือ Joint Declaration ซึ่งเป็นผลการหารือระหว่างนายกฯ ของประเทศไทยกับนายกฯ ประเทศกัมพูชา ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ส่วนเรื่องของ 18 เชลยศึกกัมพูชา ตามที่ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อช่วงเช้า ซึ่งฝ่ายไทยจะชะลอการส่งตัวออกไปก่อน จนกว่าจะมีความชัดเจนมากกว่านี้นั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฝ่ายไทยจะดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการดำเนินการตามอนุสัญญาห้ามระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ตามที่ไทยเคยประท้วงผ่านอนุสัญญาออตตาวามาหลายครั้งแล้ว ซึ่งทั้งนี้ก็จะดำเนินการอีกเช่นกัน

เมื่อถามว่า การระงับ Joint Declaration ส่งผลกระทบต่อทางการทูตหรือไม่ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่ในวันลงนามก็อยู่ร่วมเป็นสักขีพยานด้วย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ข้อเท็จจริงตอนนี้คือเราระงับชั่วคราว แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอะไรที่ไปขัดต่อถ้อยแถลงร่วม แต่เหมือนว่าเราสงวนสิทธิ์ระหว่างหาข้อเท็จจริง ทำให้เราไม่อยู่ในภาวะที่จะต้องดำเนินการตามกรอบแล้ว

ส่วนว่าจะมีการทำหนังสือไปยังสหรัฐอเมริกาหรือ มาเลเซีย ที่เป็นผู้สังเกตการณ์ในวันลงนามหรือไม่ นายนิกรเดชระบุว่า มีแน่ เพราะเป็นผู้สังเกตการณ์ หรือ Observer ก็ต้องมีการแจ้งเพื่อให้ทราบแน่นอน ส่วนการเจรจาจะกลับไปเริ่มต้นที่ศูนย์และนับหนึ่งใหม่หรือไม่  ทุกอย่างเป็นไปได้หมด จะสามารถเจรจาต่อได้อาจจะต้องเริ่มใหม่

ทั้งนี้ วันเดียวกันในเวลา 18.30 น. นายอนุทินได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ถึงกรณีการเรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วันที่ 11 พ.ย.จะมีประเด็นอะไรเร่งด่วน ว่า “ไทย-กัมพูชาไงครับ ถึงต้องเรียกประชุม สมช.” เมื่อถามถึงความชัดเจนเกี่ยวกับปฏิญญาไทย-กัมพูชา จะยุติหรือฉีกทิ้ง นายอนุทินกล่าวว่า ตอนนี้เรายุติก่อน มันจะมีกระบวนการมีขั้นตอน วันนี้เพิ่งเกิดเหตุ วันที่ 11 พ.ย.ที่ตนเรียกประชุม สมช. ก็เป็นโอกาสให้ได้พบกับผู้ที่เกี่ยวข้องครบถ้วน ทั้งฝ่ายกองทัพ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ

เมื่อถามอีกว่า ตอนนี้ถือว่ากัมพูชาผิดข้อตกลงหรือไม่  และกองทัพพร้อมรบแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทินไม่ตอบคำถามดังกล่าว แต่เดินเข้าลิฟต์ออกจากกระทรวงการคลังไปทันที

แม่ทัพกุ้งขออย่าฟื้นอดีต

วันเดียวกัน ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณี พล.ท.บุญสินไปบรรยายพิเศษที่พุทธสถานปฐมอโศก อ.เมืองนครปฐม และพูดถึงเหตุการณ์ปะทะช่วง 6 ชั่วโมงแรกของวันที่ 24 ก.ค. 2568 ที่มีผู้สั่งให้หยุดยิง โดย พล.ท.บุญสินระบุว่า เกิดขึ้นจากประชาชนที่มาร่วมฟังบรรยาย สอบถามถึงประเด็นปราสาทตาควาย จึงได้บรรยายถึงเหตุการณ์ปะทะ และเป็นเรื่องปกติของการรบที่อาจสับสนในหลายอย่าง แต่เมื่อถึงเวลานี้ไม่ควรไปพูดถึงอดีต และขอให้ยุติการพาดพิง เพราะไม่ใช่เรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยในอนาคต เพราะทุกคนทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว และเหตุการณ์ก็ผ่านมานานแล้ว ขอให้เริ่มต้นกันใหม่ และให้กำลังใจผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่

 “ไม่ต้องการรื้อฟื้นเรื่องในอดีตขึ้นมา และขอเป็นกำลังใจให้ทหารที่ทำหน้าที่อยู่ในตอนนี้ และยืนยันว่าในช่วงเวลานั้นผู้บังคับบัญชาทุกระดับได้ช่วยกันทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองอย่างดีที่สุดแล้ว ขอให้มองที่ปัจจุบันและอนาคตจะดีกว่า ซึ่งบางเรื่องก็เป็นเรื่องเฟกนิวส์เพื่อทำให้คนในชาติแตกความสามัคคีกัน จึงขอให้ทุกคนช่วยกันเพื่อส่วนรวม”

พล.ท.บุญสินกล่าวอีกว่า ตนพร้อมยืนยันว่าจะยังคงทำหน้าที่ตามที่ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.มอบหมาย โดยเฉพาะการพูดคุยกับเยาวชนในเรื่องความรักชาติรักแผ่นดิน และจะไม่ไปก้าวล่วงผู้ที่ทำหน้าที่ในกองทัพ ซึ่ง ผบ.ทบ.ก็ได้ให้กำลังใจ และให้เน้นสื่อสารเรื่องการสร้างความรักความสามัคคีภายในชาติต่อไป   

ขณะที่นายอนุทินโพสต์เฟซบุ๊กชี้แจง กรณีมีเพจข่าวปลอมระบุว่าตนได้เตือนอดีตแม่ทัพกุ้ง ขอให้งดบรรยายเกี่ยวกับทหารวันปะทะ เพราะอาจส่งผลเสียต่อทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้าว่า “ข่าวปลอมนะครับ อย่าแกล้งกันอย่างนี้เลย ผมก็อยากจะทราบว่าใครเป็นคนสั่งให้หยุดยิงเหมือนกัน ผมกับแม่ทัพกุ้งรักกันดีครับ และเห็นท่านเป็นวีรบุรุษของชาติเราตลอดเวลา”

ส่วน พล.อ.ณัฐพลยืนยันว่า ตนไม่ใช่คนสั่งให้หยุดยิงวันแรก ซึ่งคำว่าวันแรกคือการสู้รบเมื่อ 24 ก.ค. ซึ่งไม่มีการสั่งการอะไรทั้งสิ้น ได้แต่เฝ้าติดตามอย่างเดียว จำได้ว่าวันนั้นได้พูดกับสื่อว่า ได้มอบอำนาจให้กับคณะผู้บัญชาการทางทหาร ที่มี ผบ.ทหารสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะ

เมื่อถามย้ำว่า ทราบหรือไม่ว่าผู้สั่งการคือใคร พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ต้องไปถามคนพูด หากมาถามตนก็ไม่ทราบ และไม่ทราบว่าใครเป็นคนพูด ขอให้ไปถาม พล.ท.บุญสินเอง ทั้งนี้ตนไม่มีความกดดัน

เมื่อถามว่า การมีกระแสข่าวดังกล่าวออกมาจะส่งผลเสียต่อประเทศหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องไปถาม พล.ท.บุญสินทำไมถึงพูดแบบนั้น เพราะเท่าที่พูดกับ พล.อ.พนาก็บอกว่าไม่มีใครสั่ง

เมื่อถามว่า กระแสข่าวดังกล่าวพุ่งเป้าไปที่ชื่อนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกฯ ในขณะนั้น ได้สั่งการผ่าน พล.อ.ณัฐพลหรือไม่นั้น พล.อ.ณัฐพลยืนยันว่า “ที่ผมอยู่ในเหตุการณ์ไม่มีครับ”

ในเวลา 17.01 น. นายภูมิธรรมได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงเรื่องนี้ว่า เมื่อมีการพูดถึงคำสั่งหยุดยิงในช่วงระหว่างเหตุการณ์ที่มีการปะทะกันระหว่างกองทัพไทยกับกัมพูชา ทำให้เกิดคำถาม​คาดเดา​ไปต่างๆ นานา​ และสร้างความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสังคม ในฐานะผู้เคยปฏิบัติหน้าที่รองนายกฯ กำกับดูแลด้านความมั่นคง และประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เห็นว่าควรนำข้อเท็จจริงจากช่วงเวลานั้นมาอธิบายให้ประชาชนได้รับทราบอย่างชัดเจน​ดังนี้

อ้วนโยนบาปกองทัพ!

1.หลังเกิดเหตุความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา  รัฐบาลในขณะนั้นได้เรียกประชุม สมช.เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. 2568 ที่ประชุมได้หารืออย่างรอบคอบ และมีมติสำคัญคือ มอบอำนาจให้กองทัพสามารถตัดสินใจได้ตามหลัก Rules Of Engagement (ROE) ซึ่งหมายความว่า กองทัพไทยมีอำนาจเต็มในการตัดสินใจเชิงยุทธวิธี เพื่อป้องกันประเทศตามสถานการณ์ในพื้นที่ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากฝ่ายการเมือง

2.การปฏิบัติการป้องกันประเทศในครั้งนั้นมีสองระดับที่ชัดเจน คือ ระดับนโยบาย (รัฐบาล) กำหนดกรอบยุทธศาสตร์และแนวทางทางการเมือง เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

และระดับปฏิบัติ (กองทัพ) เป็นผู้ดำเนินการตามหลักยุทธวิธี และ ROE ที่ได้รับมอบอำนาจเต็มจาก สมช.  ดังนั้นความเชื่อที่ว่ามีคำสั่งหยุดยิงจากฝ่ายการเมืองไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะในห้วงเวลานั้นกองทัพได้รับอำนาจในการปฏิบัติอย่างอิสระภายใต้กรอบกฎหมายและกติกาสากล

3.ตลอดช่วงสถานการณ์ มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่าง สมช., กห.และกองทัพภาคที่เกี่ยวข้อง โดย สมช.ทำหน้าที่กำหนดทิศทางและเป็นศูนย์รวมข้อมูลให้รัฐบาลใช้ตัดสินใจในเชิงนโยบาย ในขณะที่หน่วยปฏิบัติได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายและเสรีในการปฏิบัติหน้าที่  ผ่านกลไกของกฎอัยการศึกเฉพาะพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับสามารถทำงานได้เต็มศักยภาพ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องผลทางกฎหมายภายหลัง

ทั้งนี้​ ในกระบวนการขั้นตอนทั้งหมดที่กล่าวในข้างต้น  รัฐบาลในขณะนั้นมีหลักการสำคัญ โดยยึดมั่นในสันติวิธีตามหลักสากล และการเคารพอธิปไตยของแต่ละประเทศ แต่จะไม่ยอมให้ใครละเมิดแผ่นดินไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียว และทุกการตัดสินใจอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและกลไกความมั่นคงของรัฐ และที่ผ่านมาในช่วงที่เป็น รมว.กลาโหม ได้ทำงานประสานกับผู้นำเหล่าทัพต่างๆ อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน มีการหารือและรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบคอบ

“ผมเชื่อมั่นในความเป็นมืออาชีพของผู้นำเหล่าทัพทุกท่าน ทำให้ภารกิจด้านความมั่นคงของประเทศผ่านไปด้วยความราบรื่น และอำนวยประโยชน์ให้ประเทศอย่างสูงสุด  โดยยึดหลักความรับผิดชอบ โปร่งใส และคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ทุกการตัดสินใจในช่วงเวลานั้นมีจุดยืนเพียงหนึ่งเดียวคือ ปกป้องอธิปไตยของไทย ด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และ หลีกเลี่ยงความรุนแรงเพื่อลดความสูญเสียของกำลังพล และพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนให้ได้มากที่สุด”

มีรายงานแจ้งว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ที่มี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา  สว. เป็นประธาน กมธ.จะหารือเรื่องดังกล่าวในวันที่ 11 พ.ย. และจะเชิญ พล.ท.บุญสินเข้าร่วมประชุมเพื่อรับทราบข้อมูลข้อเท็จจริง และหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชา.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121 ล้าน สร้างรั้วชายแดน บังเกอร์ หลุมหลบภัย ถนนตรวจการณ์

ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 11 อาคารอัครราชกุมารี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พระราชทานพระวโรกาสให้ คุณหญิง