“สมช.” ไฟเขียวปฏิบัติการทางทหาร ทำได้ตามสถานการณ์ หลังทหารไทยเหยียบกับระเบิดขาขาด พร้อมมีมติยุติส่งเชลยศึก “นายกฯ อนุทิน” สวมชุด อส.ขึ้นฐานภูมะเขือ ร่วมร้องเพลงชาติ เยี่ยมทหารหน้าแนว เห็นกับตาทุ่นระเบิดใหม่ ฝังไว้ไม่เกิน 1 วันก่อนเกิดเหตุ ลั่นสันติภาพจบลงแล้ว ฉีกปฏิญญา 4 ข้อไม่สนเขมร บอกไม่ต้องรายงาน "ทรัมป์" ย้ำประเทศอธิปไตยไม่ต้องรายงานใคร ขอทำในสิ่งที่มีประโยชน์กับ ปท. “บัวแก้ว” ส่งหนังสือประท้วง พร้อมแจงทั่วโลกเข้าใจสถานการณ์ “ผบ.ทบ.” ขอรักษาสิทธิป้องกันตนเอง “กมธ.วุฒิสภา” หนุนท่าทีรัฐบาลไม่ควรอ่อนข้อต่อไปแล้ว “มาลี” โผล่ปฏิเสธข้อกล่าวหากัมพูชาวางทุ่นระเบิดใหม่ เตือนไทยหลีกเลี่ยงลาดตระเวนในพื้นที่เคยสู้รบ-มีทุ่นระเบิดเก่ามาก่อน “อันวาร์” ออกตัวมาเลย์แค่อำนวยความสะดวกเจรจาสันติภาพ ไม่เกี่ยวกำหนดเงื่อนไขใด
ที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วันที่ 11 พ.ย. เวลา 08.30 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 14/2568 ภายหลังเกิดเหตุการณ์ทหารไทย 4 นาย ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิด บริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ขณะปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม, พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม, นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ, นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. และหน่วยงานความมั่นคงเข้าร่วมประชุม โดยใช้เวลากว่า 3 ชม.
นายอนุทินปฏิเสธให้สัมภาษณ์ โดยขอไปประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อน หลังจากนั้นจะแถลงทุกอย่างเป็นทางการ เมื่อถามย้ำว่าจะมีการยกเลิกปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชาเลยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ระงับ” ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามถึงกรอบระยะเวลาที่จะระงับไว้ นายอนุทินไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนรีบเดินไปประชุม ครม.ที่ตึกบัญชาการ 1 ทันที
เวลา 11.00 น. พล.อ.ณัฐพลกล่าวถึงผลประชุม สมช.ว่า ที่ประชุมพิจารณา 3 เรื่องหลัก 1.หลังจากกำลังพลของกองทัพไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ โดยได้แสดงความเสียใจต่อการสูญเสียครั้งนี้ 2.การที่มีทุ่นระเบิดในพื้นที่อธิปไตยของไทย ถือว่ามีผลกระทบต่ออธิปไตย 3.รัฐบาลจะปกป้องอธิปไตย ชีวิตของคนไทยและทหารไทยอย่างเต็มขีดความสามารถ โดยที่ประชุมมีมติระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาไว้ก่อนทั้งหมดทุกข้อ และยุติการส่งเชลยศึกให้กับกัมพูชา
ถามว่า ขณะนี้ยังสามารถคาดหวังความจริงใจจากกัมพูชาได้หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า กองทัพไม่ได้คาดหวังความจริงใจจากกัมพูชาอยู่แล้ว แต่ในส่วนที่กระทำเราฝ่ายเดียว เราจะดำเนินการในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งตอนนี้เราก็ยกระดับแล้ว ในเมื่อเรายุติการปฏิบัติตามปฏิญญาแล้ว เป็นการปฏิบัติการทางทหารในเขตอธิปไตยของไทย ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ว่าจะมีปฏิบัติการอย่างไรบ้าง
ถามว่า จะแก้ไขปัญหาในพื้นที่อย่างไร เช่นกรณีล่าสุดมีการแอบมารื้อรั้วลวดหนามแล้วเข้ามาวางทุ่นระเบิดฝั่งไทย รมว.กลาโหมกล่าวว่า ไม่ขอบอกรายละเอียด แต่มีกฎใช้กำลังอยู่ว่าเข้ามาทำอะไร ซึ่งจะมีขั้นตอนการเตือน การยิง จากอาวุธเบาไปหาหนัก ขอให้มั่นใจว่าหลังจากนี้การปฏิบัติการทางทหารได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุม สมช. ให้ปฏิบัติการได้ตามสถานการณ์
ซักว่าจะมีการเจรจากับกัมพูชาอีกหรือไม่ รมว.กลาโหมกล่าวว่า ไม่มี หลังจากนี้ไม่มีจากตน จากกระทรวงกลาโหม ไม่มี GBC แต่การพูดคุยระหว่างประเทศมีกระบวนการสากลอยู่
สมช.ไฟเขียวทหารปฏิบัติการได้
ส่วนนายสีหศักดิ์แถลงว่า ท่าทีของเราคือการระงับการปฏิบัติตามปฏิญญา แต่ส่วนไหนที่เราดำเนินการฝ่ายเดียว เช่นการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ก็จะดำเนินการต่อ โดยกระทรวงการต่างประเทศ จะประท้วงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตามกรอบอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งตนได้คุยกับนายปรัก สุคน รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศกัมพูชาแล้ว และบอกไปว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการละเมิดสิ่งที่ตกลงกันไว้ รวมถึงชี้แจงกับสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียที่เป็นพยานว่าเหตุใดเราต้องระงับการดำเนินการตามปฏิญญา รวมถึงชี้แจงข้อเท็จจริงไปที่ประชาคมโลก โดยประสานไปทางกองทัพไทยและกองทัพบก เพื่อนำข้อเท็จจริงต่างๆ ไปชี้แจงเพื่อให้เกิดความหนักแน่นและชอบธรรม หากต้องการให้ปฏิญญากลับไปสู่สิ่งที่ควรจะเป็นจำเป็นที่ฝ่ายกัมพูชา ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่นการแสดงความเสียใจ การตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ และมีมาตรการเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
ต่อมาหลังประชุม ครม. นายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงกรอบระยะเวลาที่ระงับปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชาว่า จนกว่ากองทัพไทยจะเห็นว่าความเป็นปฏิปักษ์ของเขาไม่มีแล้ว เมื่อถามว่าหลายฝ่ายคาดหวังให้เราเป็นปฏิปักษ์ต่อกัมพูชาหรือใช้มาตรการที่รุนแรงและเด็ดขาดกว่านี้ นายกฯ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว
เมื่อถามว่า ล่าสุดกัมพูชาแถลงทุ่นระเบิดดังกล่าวกัมพูชาไม่ได้เป็นคนวาง นายอนุทินกล่าวว่า ประเทศไทยไม่มีระเบิดแบบนั้น เมื่อถามว่าจะมีการตอบโต้กัมพูชาอย่างไร เพราะการออกมาแถลงการณ์แบบนั้นเหมือนเป็นการให้ข่าวผิด นายอนุทินไม่ตอบคำถาม เมื่อถามว่าได้สั่งปลัดกระทรวงมหาดไทยตรวจพื้นที่บริเวณชายแดนด้วยหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ตรวจ เดี๋ยวไปเองด้วย
ซักว่านายกฯ พอใจมาตรการของ สมช.หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทั้งหมดเป็นไปตามมาตรการที่ได้วางแนวทางไว้ เมื่อถามว่าในใจนายกฯ อยากให้มาตรการออกมาเข้มข้นกว่านี้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า นี่ก็เข้มข้นมากแล้ว เมื่อถามอีกว่าจะทำอย่างไรให้มีความเข้มข้นมากกว่านี้อีก นายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้เราไม่ได้ทำทั้ง 4 ข้อที่ได้ตกลงกันไว้ เราทำในสิ่งที่คิดว่าสมควรจะทำ เมื่อถามว่าการประชุม สมช.ได้ฟังท่าทีของกองทัพอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ทุกคนให้ความคิดเห็นมาทั้งหมด เมื่อถามว่าการที่ได้จับมือกับนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ถือว่าเสียมือหรือไม่ นายกฯ ไม่ตอบคำถามดังกล่าว พร้อมเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันที
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ข้อสั่งการของนายกฯ ในที่ประชุม สมช.เป็นเพียงการเตรียมความพร้อม ในกรณีที่มีการคาดการณ์ถึงสถานการณ์ที่มีทั้งดีและไม่ดี ในพื้นที่ 7 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ส่วนจะมีมาตรการตอบโต้ที่เป็นการกดดันมากกว่านี้ ทั้งหมดเป็นการตัดสินใจของฝั่งกลาโหมทั้งหมด แนวทางเหล่านี้จะไม่ออกจากฝ่ายบริหาร เพราะเป็นเรื่องความลับของทางราชการด้วย จึงมอบหมายฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้ดำเนินการ และนายกรัฐมนตรียินดีให้การสนับสนุน
เมื่อถามว่า แสดงว่าการให้ไฟเขียวกองทัพใช่หรือไม่ นายสิริพงศ์ระบุว่า ให้ไฟเขียว
จากนั้นเวลา 14.26 น. นายอนุทินซึ่งสวมชุดเครื่องแบบกองอาสารักษาดินแดน (อส.) ในฐานะผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน พร้อมด้วย พล.อ.ณัฐพล, นายสีหศักดิ์, พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม, พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.), น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย, นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เดินทางจากท่าอากาศยาน 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง ไปยังจังหวัดศรีสะเกษ ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของกองพันทหารราบที่ 162 (ร.16 พัน.2) ที่ฐานปฏิบัติการห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
สันติภาพจบฉีกปฏิญญาไทย-เขมร
เวลา 17.00 น. นายอนุทินเดินทางถึงฐานปฏิบัติการอินทุมาน หรือภูมะเขือ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของกองกำลังแนวหน้า พร้อมรับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ทหารเหยียบทุ่นระเบิดจนได้รับบาดเจ็บ 3 นาย และทหารที่ต้องเสียขาจากการเหยียบทุ่นระเบิด 1 นาย โดยทันทีที่นายกฯ เดินทางถึงฐานปฏิบัติการ ได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์และการปฏิบัติภารกิจในการรักษาอธิปไตย รวมไปถึงสถานการณ์การเกิดเหตุเหยียบทุ่นระเบิดที่ผ่านมา จำนวน 7 ครั้ง จากนั้นนายกฯ ได้ตรวจสอบทุ่นระเบิดที่ได้เก็บกู้แล้วทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ พร้อมรับรายงานว่าเป็นทุ่นระเบิดที่ถูกฝังอยู่ตามแนวลาดตระเวนของทหารฝ่ายไทย จากการพิสูจน์ทราบจุดเกิดเหตุร่องรอยดินบริเวณรอบข้างเพิ่งถูกรบกวนใหม่ๆ รวมถึงมีรากไม้ก็เพิ่งถูกตัด จึงคาดว่าเป็นทุ่นระเบิดที่เพิ่งนำมาฝัง ซึ่งบริเวณจุดเกิดเหตุทหารไทยได้นำรั้วลวดหนามไปวางไว้ แต่ทางทหารกัมพูชาได้นำออก คาดว่ากัมพูชาได้นำทุ่นระเบิดมาฝังไว้ไม่เกิน 1 วันก่อนเกิดเหตุ
นายอนุทินกล่าวให้กำลังใจกำลังพลว่า ขอแสดงความเป็นห่วงและขอแสดงความชื่นชมที่น้องๆ ทำหน้าที่รักษาบ้านเมือง รักษาประชาชน ต้องถือว่าเป็นวีรกรรมที่กล้าหาญมาก และพวกเราจะไม่ทิ้งกัน เราจะไม่มีวันที่จะยอมเสียเปรียบหรือยอมเสียดินแดน และไม่ยอมให้พวกน้องเป็นอะไร เราทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติของเรา ตนจะมาหาบ่อยๆ
จากนั้นนายกฯ พร้อมคณะได้มอบถุงยังชีพให้แก่ทหารแนวหน้า ก่อนจะเดินขึ้นเนินภูมะเขือเพื่อตรวจสอบเส้นทางธรรมชาติ และร่วมยืนตรงเคารพธงชาติที่เสาธงร่วมกับนายทหาร
นายอนุทินให้สัมภาษณ์ถึงความรู้สึกในหัวใจ ณ เวลานี้ ที่มายืนบนฐานปฏิบัติการอินทุมาน (ภูมะเขือ) ว่า ประเทศไทยเป็นของเรา ที่ที่เรายืนอยู่คือประเทศไทย ใครจะมาแอบอ้างอธิปไตยเหนือดินแดนของไทยไม่ได้ แต่ว่าวันนี้การที่จะพูดเรื่องนี้ วันนี้เราถือว่าสิ่งที่เราได้มีข้อตกลงกันไว้ เพื่อจะเดินไปสู่การมีสันติภาพ มันจบลงแล้ว จากนี้ไปรัฐบาลไทยก็จะดำเนินการในสิ่งที่เราเห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทย เป็นสิ่งที่ประเทศไทยจะทำโดยที่ไม่ต้องไปหารือ ไปปรึกษาหรือขออนุญาตใคร
“เราได้พูดคุยกับทางกองทัพเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้ข้อสรุปมาค่อนข้างชัดเจนในการปฏิบัติ ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมรับทราบอยู่แล้วว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง แต่ต้องขอความกรุณาผู้สื่อข่าวว่า เราอยากจะบอกว่าเราไม่ตอบ แต่ขอความกรุณาว่าไม่ต้องถาม เพราะเราจะทำอะไรในเรื่องของความมั่นคงแห่งชาติเราบอกไม่ได้ และถ้าถามมาแล้ว พอเราไม่ตอบก็กลายเป็นว่าเราย่อหย่อน หย่อนยาน แต่ความจริงเราไม่เคยหย่อนยาน เราไม่เคยคิดที่จะยอมหรือเสียเปรียบใดๆ กับฝ่ายตรงข้าม ตรงกันข้ามเราวางตัวเป็นผู้กำหนดบทบาทอยู่เสมอ ดังนั้นวันนี้ก็เช่นกันยิ่งทำให้ผมในฐานะรัฐบาลที่เป็นคนลงนามใน ปฏิญญาก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า ณ ขณะนี้ 4 ข้อในปริญญาประเทศไทยไม่ปฏิบัติแล้ว และจะกำหนดการดำเนินการของตัวเอง โดยรัฐบาลจะให้การสนับสนุนข้อกำหนดต่างๆ และการดำเนินการของกองทัพอย่างเต็มที่” นายอนุทินกล่าว
ถามว่า มาเลเซียจะขอรื้อฟื้นเรื่องของการลงนามปฏิญญา ตรงนี้ทางเราจะทบทวนหรือไม่ นายกฯ ย้อนถามว่า รื้อฟื้นเรื่องอะไร เมื่อบอกเรื่องการทำปฏิญญาเพื่อนำไปสู่สันติ นายกฯ กล่าวว่า มันชัดเจนแล้วว่าผู้ร่วมสัญญาไม่ได้ปฏิบัติตามปฏิญญา เมื่อผู้นำไม่ว่าจะเป็นผู้นำประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสักขีพยานที่ลงนามอยู่ในปฏิญญาในวันนั้น ถ้าท่านทั้ง 2 จะถามมาตนก็จะสามารถตอบได้ว่าตนมาอยู่ในพื้นที่ ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่าคู่สัญญาของประเทศไทยก็คือประเทศกัมพูชา ได้มีการละเมิดสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำอย่างไรบ้าง บนความชัดเจนทุ่นระเบิด 4 ทุน ที่วันนี้เหลือ 3 ทุ่น เพราะว่าน้องทหารของเราเหยียบไป 1 ทุ่น เป็นทุ่นระเบิดใหม่ที่วางในเขตของเรา หลังจากวันที่เราได้ลงนามในข้อตกลง
“ประเทศไทยทำทุกอย่างตามข้อตกลง ความล่าช้าเกิดจากฝ่ายกัมพูชา ประเทศไทยก็ยังใช้ความอดทน เรายังเชื่อมั่นว่าในการที่เรามีโลกทั้งใบเป็นพยาน ประชาคมอาเซียนเป็นพยาน อย่างไรเสียอาจจะช้าในวันหรือสองวัน ข้อตกลงจะได้รับการปฏิบัติ แต่วันนี้มันพิสูจน์แล้วว่าไม่ใช่ ในเมื่อไม่ใช่ ก็ไม่มีข้อตกลง และเราก็จะทำในสิ่งที่เราเห็นว่าเราต้องทำ” นายอนุทินกล่าว
เมื่อถามว่า เราต้องรีพอร์ต (รายงาน) ไปที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาหรือไม่ นายกฯ ย้อนถามว่า รีพอร์ตใคร เราเป็นประเทศอธิปไตยไม่รีพอร์ตใครทั้งนั้น ถ้าเขาถามมา ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องตอบ ตนจะตอบ อย่างเช่นเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ ทำหน้าที่ ก็ถามตน ถ้าไม่มีความจำเป็นจะต้องตอบ ตนก็ไม่ตอบ ดังนั้นวันนี้เราก็จะดำเนินการตามที่ รมว.กลาโหม, ผบ.ทสส., ผบ.ทบ., แม่ทัพภาคที่ 2 และคนที่อยู่หน้างาน ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี วันนี้ถ้าตนบอกแล้วว่ารักษาอธิปไตย รักษาเกียรติยศ เกียรติภูมิ รักษาจิตใจของทหารและพี่น้องประชาชน ตนมาวันนี้ก็ขอให้ภาพมันเป็นการอธิบายตัวมันเอง ของหลายอย่างไม่ต้องพูดแล้ว
ต่อมาเวลา 19.25 น. นายอนุทินเดินทางมายังโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เยี่ยมให้กำลังใจทหาร 4 นายที่บาดเจ็บจากเหตุเหยียบทุ่นระเบิด โดยนายกฯ ได้เข้าไปยังห้องไอซียูเยี่ยม จ.ส.อ.เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ที่พักรักษาตัวภายในหอผู้ป่วยวิกฤต ได้พบกับญาติและภรรยาของ จ.ส.อ.เทอดศักดิ์ โดยนายกฯ ได้เดินเข้าไปจับไหล่ พร้อมให้กำลังใจ จ.ส.อ.เทอดศักดิ์ ก่อนสอบถามอาการบาดเจ็บด้วยสีหน้าเศร้าและมีน้ำตาคลอเบ้าว่า “เจ็บหรือไม่ ไม่ต้องห่วง จะดูแลทุกอย่างอย่างดีที่สุด จัดให้อย่างดีที่สุด” ก่อนที่นายกฯ จะเดินหันหลังแล้วยกมือเช็ดน้ำตาตัวเอง พร้อมกันนี้นายกฯ ยังสอบถามแนวทางการรักษาจากแพทย์ว่า “เทคโนโลยีสมัยนี้ขาเทียมสามารถทำให้วิ่งได้เหมือนจริง" ก่อนมอบเงินช่วยเหลือเยียวยา และเข้าเยี่ยมพลทหารอีก 3 คนที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยด้วยเช่นกัน
นายกฯ กล่าวว่า ต้องฝากผู้สื่อข่าว ในหลวงทรงรับคนไข้ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชูปถัมภ์ ฉะนั้นเรามั่นใจว่าพวกเขาจะได้รับการดูแล ซึ่งเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีอย่างเต็มที่ และท่านได้พระราชทานให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเชิญของเยี่ยมให้กับคนไข้ทั้ง 4 คนเพื่อให้กำลังใจ
บัวแก้วยื่นประท้วงฟ้องทั่วโลก
ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ไทยเรียกร้องให้กัมพูชาดำเนินการ 3 เรื่อง 1.แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้ 2.ดำเนินการสอบสวนกรณีดังกล่าว 3.ดำเนินการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต ทั้งหมดนี้ต้องให้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) รับรู้และเข้าไปตรวจสอบด้วย ส่วนไทยจะติดตามประเมินท่าทีการตอบสนองของกัมพูชาก่อนจะพิจารณามาตรการอื่นๆ ของไทยให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่อไป
นอกจากนี้ นายสีหศักดิ์ได้โทรศัพท์ไปยังรองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศกัมพูชาเพื่อประท้วงในเบื้องต้นไปแล้ว 2 ครั้ง และกระทรวงการต่างประเทศจะยื่นหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการไปยังสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทย และจะดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยจะมีหนังสือไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประธานรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา และจะมีหนังสือถึงเลขาธิการสหประชาชาติ พร้อมทั้งจะมีหนังสือถึงสหรัฐและมาเลยเซียในฐานะประธานอาเซียน และส่งหนังสือให้สมาชิกอาเซียนทราบ ในวันที่ 12 พ.ย.นี้ และจะจัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตต่างประเทศในไทยเพื่อชี้แจงท่าทีไทย
“ไทยยืนยันที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน รวมถึงจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้ข้อตกลงต่างๆ ในกรอบทวิภาคีและถ้อยแถลงร่วมได้รับการเคารพ ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไทยขอเรียกร้องให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบด้วยความจริงใจ ให้คำมั่นว่าจะสอบสวนคดีดังกล่าวอย่างจริงจัง และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ” นายนิกรเดชกล่าว
ถามว่า เราควรกังวลแค่ไหนว่าไทยและกัมพูชาอาจกลับไปสู้รบกันอีกครั้ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า แน่นอนมีความกังวลในเรื่องนี้ แต่จากที่ไทยเรียกร้องไปยังกัมพูชา 3 ข้อ หากกัมพูชาปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของไทยอย่างจริงใจ ก็คิดว่าสถานการณ์คงไม่รุนแรงกลับไปสู้รบอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับกองทัพเพื่อประเมินว่ากัมพูชาจะอธิบายสถานการณ์นี้อย่างไร จะทำตาม 3 ข้อเรียกร้องของไทยมากน้อยเพียงใด
ส่วน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. กล่าวถึงจุดยืนของกองทัพบกว่า ความจริงได้ปรากฏอย่างชัดเจนแล้วว่า ท่าทีแห่งความเป็นปรปักษ์ยังคงอยู่ กองทัพบกจำเป็นต้องยุติทุกข้อตกลง เพื่อรักษาสิทธิในการป้องกันตนเองจากการถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก สรุปเหตุกำลังพลเหยียบกับระเบิดบริเวณพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ว่าจากรายงานล่าสุดพบว่ามีกำลังพลได้รับบาดเจ็บรวม 4 นาย ได้แก่ จ่าสิบเอกเทอดศักดิ์ สมาพงษ์ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ข้อเท้าขวาขาด, พลทหารวชิระ พันธะนา มีอาการแน่นหน้าอกจากแรงอัด, พลทหารอภิรักษ์ ศรีชมไชย ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณขา, พลทหารอนุชา สุจารี มีอาการระคายเคืองตาจากฝุ่นหรือสารเคมีของระเบิด ขณะนี้ทุกนายได้รับการรักษาในโรงพยาบาลในพื้นที่แล้ว
“กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่กำลังพลปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนบนเส้นทางที่ใช้เป็นประจำ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นจุดที่ทหารกัมพูชาเคยรุกล้ำเข้ามาวางกำลัง ก่อนจะถอนกำลังออกไปภายหลังเหตุปะทะที่ผ่านมา โดยหลังจากทหารกัมพูชาถอนกำลังออกไปแล้ว ฝ่ายไทยได้เข้าควบคุมพื้นที่ตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค.68 พร้อมทั้งได้ดำเนินการเสริมความมั่นคงพื้นที่ ด้วยการกวาดล้างทุ่นระเบิด วางเครื่องกีดขวางลวดหนาม และลาดตระเวนเฝ้าตรวจอย่างต่อเนื่อง ต่อมาเมื่อวันที่ 9 พ.ย. ตรวจพบว่าแนวลวดหนามที่วางไว้ถูกลักลอบเข้ามารื้อถอน จากนั้นในวันที่ 10 พ.ย.68 เวลาประมาณ 08.30 น. หน่วยในพื้นที่จึงได้จัดกำลังชุดลาดตระเวนร่วมกับชุดทหารช่าง เข้าพิสูจน์ทราบบริเวณแนวลวดหนามที่ถูกรื้อถอน จนเกิดเหตุกำลังพลเหยียบทุ่นระเบิด มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 4 นาย” โฆษก ทบ.กล่าว
กมธ.วุฒิฯ หนุนรัฐบาลอย่าอ่อนข้อ
ด้าน พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 เดินทางไปยังโรงพยาบาลค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเยี่ยมอาการและให้กำลังใจกำลังพลทั้ง 4 นายที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิดระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งมอบเงินบำรุงขวัญจากกองทัพบกและมอบเงินบำรุงขวัญในนามกองทัพภาคที่ 2 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่กำลังพลและครัว
แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้วิธีการที่ไร้มนุษยธรรม ไม่สนใจข้อตกลงที่ให้ไว้ และได้สั่งการกำชับให้ทุกหน่วยตรวจสอบพื้นที่เสี่ยง และเพิ่มความระมัดระวังในการปฏิบัติภารกิจลาดตระเวน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เหตุลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก
ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ประชุมวาระที่ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง ที่ปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก และอดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24-28 ก.ค.68 โดยระบุได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ให้หยุดยิงหลังเริ่มการปะทะเพียง 6 ชั่วโมง โดย กมธ.เห็นว่าเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อน และส่งผลกระทบต่อความมั่นคงอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน จึงมีมติเรียกประชุมด่วน พร้อมทำหนังสือเชิญ พล.ท.บุญสินเข้าชี้แจงข้อเท็จจริง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มในอนาคต เพื่อประกอบภารกิจตามอำนาจหน้าที่ของ กมธ. ทั้งนี้ พล.ท.บุญสินไม่ได้เข้าชี้แจง และไม่ได้ส่งตัวแทนมาชี้แจงด้วย
พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา สว. ในฐานะประธาน กมธ.กล่าวว่า พล.ท.บุญสินได้โทรศัพท์มาแจ้งว่าไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ เนื่องจากติดภารกิจล่วงหน้ายาวต่อเนื่องจนถึงเดือน ธ.ค. ไม่สามารถขยับเวลาได้ โดยระบุว่าได้ให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนไปก่อนหน้านี้แล้วว่า ที่ท่านพูดไปเป็นการหารือและความห่วงใย ไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ดังนั้นคงต้องเป็นไปตามที่ท่านบอกว่าเป็นความห่วงใยของผู้ใหญ่ อาจจะเป็นเรื่องของการดูความพร้อมเรื่องการหยุดยิง ต้องเชื่อตามที่ พล.ท.บุญสินให้ข่าวมา เราคงไปมโนอย่างอื่นไม่ได้
พล.อ.สวัสดิ์กล่าวถึงท่าทีไทยหลังเหตุทหารเหยียบกับระเบิดว่า สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการให้หยุดข้อตกลงทุกอย่าง เป็นคำตอบที่ดี เราไม่ควรจะไปอ่อนข้อ เราพยายามทำตามข้อตกลง เราพยายามทำให้เป็นสากลและเป็นสุภาพบุรุษทุกอย่าง แต่สิ่งที่ตอบสนองมาเป็นไปในเชิงบวกที่นายกฯ ประกาศถูกต้องแล้ว คือต้องหยุดทุกเรื่อง ส่วนจะทำให้มีการตอบโต้รุนแรงมากขึ้นหรือไม่นั้น ต้องดูตามสถานการณ์เพราะพัฒนาไปไวมาก
ขณะที่ พล.ท.บุญสิน ไปบรรยายพิเศษความสำคัญของสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เปรียบเสมือนเสาหลักของบ้านเมืองที่ช่วยให้ประเทศไทยดำรงความมั่นคงมีเอกภาพและพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวใจให้คนไทยรักและร่วมมือกันสร้างชาติให้ก้าวหน้า ในหัวข้อ "THAI DNA หัวใจเพื่อแผ่นดิน" ที่โรงแรมภูเก็ตเมอร์ลิน อำเภอเมืองฯ จังหวัดภูเก็ต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงถามตอบมีเยาวชนและประชาชนถามเรื่องไทยระงับการปล่อยเชลยศึกไปก่อน พล.ท.บุญสินกล่าวว่า มีทหารไทยเหยียบกับระเบิด การปล่อยเชลยศึกไปมันอาจจะเชลยศึกเหล่านั้นกลับมาวางระเบิดเราอีกก็ได้ ดังนั้นสถานการณ์ยังไม่ดี ยังไม่ 100% ทางรัฐบาลทางฝ่ายความมั่นคงเห็นชอบแล้วที่ยังไม่ปล่อยเชลยศึก
นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กแสดงความเห็นต่อเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดบริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ตอนหนึ่งระบุว่า จะต้องรออีกกี่รายถึงจะเด็ดขาดเสียที เห็นใจทหาร ลองถามกองทัพว่าพร้อมหรือยังที่ต้องเด็ดขาดเสียที ถ้าพร้อมถามว่ารออะไร อีกอย่าง ต้องใช้โอกาสนี้ยกเลิกไอ้ปฏิญญาสันติภาพที่ไปลงนามได้แล้ว อย่าแค่ประท้วง ประท้วงปาหี่มากี่ครั้งแล้ว ทำได้เลย
มาลีปัดเขมรวางทุ่นระเบิดใหม่
วันเดียวกัน พล.ท.หญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ออกแถลงการณ์ว่า กระทรวงกลาโหมกัมพูชาเรียกร้องให้ไทยหลีกเลี่ยงการลาดตระเวนในพื้นที่ที่เคยมีการสู้รบและทุ่นระเบิดเก่ามาก่อน โดยเตือนว่า หลายพื้นที่ยังมีความเสี่ยงสูงที่จะพบทุ่นระเบิดเก่า นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมกัมพูชาขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของไทยที่ว่ากัมพูชาได้วางทุ่นระเบิดใหม่ด้วย
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมกัมพูชามีขึ้น 1 วัน หลังเกิดเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดขณะลาดตระเวนใกล้เมืองพนมตรอป ใกล้ปราสาทพระวิหารเมื่อวานนี้ ทำให้ทหารไทยบาดเจ็บ 4 นาย
พล.ท.หญิงมาลียังปฏิเสธรายงานข่าวและคำแถลงของผู้นำระดับสูงของไทยที่กล่าวหากัมพูชาว่าได้วางทุ่นระเบิดต่อต้านบุคคล PMN-2 ใหม่ โดยกระทรวงกลาโหมกัมพูชาขอยืนยันอย่างหนักแน่นว่า นับตั้งแต่กัมพูชาเข้าเป็นรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา กัมพูชายังคงปฏิบัติตามหลักการและพันธกรณีของกฎหมายระหว่างประเทศอย่างสมบูรณ์และสม่ำเสมอ ยืนยันไม่ได้ใช้ หรือวางทุ่นระเบิดใหม่ใดๆ ที่คุกคามความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเรือน เป็นความจริงที่ว่าแม้จะมีความพยายามอย่างไม่ลดละในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาในการกำจัดทุ่นระเบิด แต่ทุ่นระเบิดที่ยังไม่ระเบิด ซึ่งเป็นเศษซากจากความขัดแย้งในอดีต ยังคงเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเรือนชาวกัมพูชาในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามแนวชายแดนระหว่างกัมพูชาและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงประเทศไทย
“หลังเหตุการณ์ดังกล่าวกองทัพภาคที่ 4 ของกัมพูชาได้ติดต่อสื่อสารกับกองทัพภาคที่ 2 ของไทยแล้ว และสถานการณ์ยังคงสงบ โดยไม่มีรายงานความตึงเครียดใดๆ กัมพูชายังคงมุ่งมั่นที่จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับไทย เพื่อส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความมั่นคงและความปลอดภัยของพลเรือน ตามปฏิญญาร่วม 26 ตุลาคม” พล.ท.หญิงมาลีระบุ
เว็บไซต์สำนักข่าวเบอร์นามาของทางการมาเลเซียรายงานว่า ในระหว่างการตอบกระทู้ในสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ เรื่องรัฐบาลได้ดำเนินการอย่างไร กรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของมาเลเซียในการเจรจาสันติภาพไทย-กัมพูชา นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ได้ย้ำว่า มาเลเซียไม่เคยบังคับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในช่วงที่ดำเนินกระบวนการสันติภาพ เพียงแต่ทำหน้าที่ในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อให้มีการเจรจาที่สร้างสรรค์ เขาบอกกับนายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศให้เป็นผู้กำหนดเงื่อนไขเอง เขาเพียงช่วยประสานงานและส่งเสริมสันติภาพเท่านั้น ขอบเขตของการเจรจาสันติภาพทั้งหมดกำหนดขึ้นโดยไทยและกัมพูชา ไม่ใช่มาเลเซีย มาเลเซียไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ และทั้งสองประเทศบรรลุข้อตกลงของพกวเขาเอง
นายอันวาร์ชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎรด้วยว่า สถานการณ์ความตึงเครียดในขณะนี้เกิดจากเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเมื่อไม่นานมานี้ในพื้นที่ที่ไทยกล่าวหาว่ากองทัพกัมพูชามีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้ไทยชะลอการอนุมัติข้อตกลงบางอย่าง แต่ไม่ทำให้กระบวนการสันติภาพตกอยู่ในอันตราย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


