“อนุทิน” ประกาศกลางเวที วปอ.68 “กัมพูชา” หมดโอกาสกลับโต๊ะเจรจา กร้าวเมินกระทบภาษีทรัมป์หลังฉีกปฏิญญาสันติภาพ เล็งหาตลาดประเทศอื่นค้าขาย รับเตรียมกำลังทหารพร้อมแล้ว ย้ำชัด "Do it My Way" ไม่มีสัญญา 4 ข้อแล้ว “ทหารเขมร” ป่วน! ยิงปืนเล็กกว่า 10 นาทีข้ามมาฝั่งไทยชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว หวังยั่วยุสร้างสถานการณ์ เจอทหารไทยตอบโต้ตามกฎการใช้กำลัง “ฮุน มาเนต” โผล่โยนไทยใช้ความรุนแรง ประณามไร้มนุษยธรรม อ้างพลเรือนกัมพูชาเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 3 คน “กต.” เชิญคณะทูต 59 ปท.แจงปมระงับปฏิญญาสันติภาพไทย-กัมพูชา ยันไม่มีชาติใดค้าน ส่วนใหญ่เข้าใจ เตรียมนำ AOT ลงพื้นที่ดูข้อเท็จจริงทุ่นระเบิดใหม่แอบฝังลอบกัดไทย “สีหศักดิ์” เล็งเข้าร่วมประชุมออตตาวาเองต้นเดือน ธ.ค.นี้ “อภิสิทธิ์” หนุนรัฐบาล-กองทัพปกป้องอธิปไตย “พท.” ตั้งโต๊ะแถลงประณามกัมพูชา
ที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) วันที่ 12 พ.ย.2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานเปิดการศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 68 โดยมี พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม, พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ร่วมด้วย
นายอนุทินกล่าวตอนหนึ่งระหว่างเปิดหลักสูตร วปอ.รุ่น 68 ว่า เมื่อวาน (11 พ.ย.) ที่ประชุม สมช.ได้มีการประเมินสถานการณ์ วันนี้เราลงนามในปฏิญญา แต่ปฏิญญาผู้ที่ลงนามกับเราไม่ปฏิบัติ ในเมื่อไม่ปฏิบัติ ตนก็ไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไร ตนก็ต้องร้องเพลง my way อย่างตน อย่างพี่เล็ก พี่หยอย พี่ปู จะมานั่งโต๊ะก็ตะขิดตะขวงใจกัน มันไม่ได้แล้ว เพราะ 4 ข้อหลัก 4 ข้อคุณไม่ทำ แต่เราทำ เราทำทุกข้อ เราต้องการให้เกิดสันติภาพโดยเร็วที่สุด แต่เมื่อคุณไม่ทำ แล้วจะกลับมาทำใหม่ไม่ได้
“วันนี้ประเทศไทยต้องยึดผลประโยชน์และความปลอดภัยของประชาชนคนไทยเท่านั้น ตรงนี้มีความชัดเจนแล้ว ผมจึงบอกว่าเดี๋ยวเจรจาการค้าภาษีเป็นอย่างไร ไม่สนแล้ว หากขายประเทศนี้ไม่ได้ ก็ไปหาประเทศอื่น ภาคเอกชนต้องช่วยกัน เราจะเอาชีวิตไปฝากไว้กับประเทศประเทศเดียวได้อย่างไร ภาคเอกชนเข้าใจเรื่องนี้ดี ส่วนนี้ปิดไปไม่เป็นไร ไปหาที่อื่นได้ ใช้ภาษีมากดดันเราก็ไม่เป็นไร เพราะประเทศอื่นก็โดนผลกระทบเรื่องภาษีเหมือนกัน เราต้องมานั่งคุยกันเอง ท้ายที่สุดแล้วหากภาษีสูงมากจนถึง 100% ท้ายที่สุดผู้เดือดร้อนก็คือผู้ซื้อ เราเป็นผู้ผลิตเราก็ต้องมา หันมาซื้อของในบ้านเราให้ได้มากที่สุด ซึ่งเราต้องอยู่ให้ได้ในยุคที่สร้างศักยภาพให้กับตนเอง" นายอนุทินกล่าว
ทั้งนี้ สำหรับนักเรียน วปอ.รุ่น 68 มีจำนวนทั้งสิ้น 299 คน มีบุคคลที่มีชื่อเสียง อาทิ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดํา อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ, พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.), พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นต้น
นายอนุทินให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงกรณีฉีกข้อตกลงผลการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรไทยและนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา (ปฏิญญาร่วมเพื่อสันติภาพและความมั่นคง) จะต้องชี้แจงกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซียหรือไม่ ว่ามันไม่มี 4 ข้อนั้นแล้ว จะมีข้อที่ประเทศไทยจะต้องดำเนินการ Do it My Way (ดู อิท มาย เวย์) ไม่รู้จะพูดอย่างไร
ถามว่า บนเวทีที่นายกฯ กล่าวว่าเมินมาตรการภาษีทรัมป์ นายอนุทินกล่าวว่า เราต้องมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เราเป็นประเทศที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกเป็นหลัก ฉะนั้นก็มีหน้าที่ที่จะแสวงหาโอกาส หาตลาดใหม่ใหม่อยู่ตลอดเวลา ก็มีหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพสินค้าของประเทศไทย ให้เป็นที่ต้องการของทั่วโลกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ ซึ่งศักยภาพของประเทศไทยมีแล้ว เราจะไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นตัวฉุด หรือทำให้เราเสียเปรียบ หรือทำให้อธิปไตยของเราถูกก้าวล่วง
‘อนุทิน’ ลั่นกำลังทหารพร้อม
เมื่อถามว่า จะมีการชี้แจงกับสหรัฐอเมริกาหรือไม่ ในฐานะผู้สังเกตการณ์ลงนามปฏิญญาร่วมเพื่อสันติภาพและความมั่นคง นายอนุทินกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการเรื่องนี้อยู่
ซักว่า ขณะที่ประชาชนส่วนหนึ่งต้องการให้มีการสู้รบให้จบโดยเด็ดขาด และอีกส่วนกังวลจะมีการสู้รบ นายกฯ กล่าวว่า เรามีแผนปฏิบัติอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องความมั่นคง การป้องกันประเทศ ไม่สามารถมาพูดในลักษณะการให้สัมภาษณ์ได้ แต่ในความเป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้ารัฐบาล เราได้มีการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ กำหนดมาตรการและผู้ปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่ออธิปไตยของประเทศ และความปลอดภัยของประชาชนต่อเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของทหาร และเจ้าหน้าที่ที่คอยปกป้องดูแลแผ่นดินของเราอยู่ ขอย้ำว่าทุกอย่างมีอยู่ในแผนการดำเนินการทั้งหมดแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้
ถามย้ำว่า ขณะนี้มีการเตรียมกำลังทางทหารพร้อมแล้วใช่หรือไม่ นายกฯ พยักหน้ารับก่อนกล่าวว่า “แน่นอนครับ พร้อม”
นายกฯ ปฏิเสธยังไม่ได้รับรายงานกรณีพบทุ่นระเบิดในบังเกอร์ฝั่งของไทย แต่ที่เห็นกับตาเมื่อวานนี้ (11 พ.ย.)ระหว่างลงพื้นที่ ทุ่นระเบิดทั้ง 4 ลูกอยู่ในฝั่งของไทย และไม่ใช่ทหารของไทยไปวางแน่นอนเพราะเราไม่มี อีกทั้งจากการตรวจสอบทางเทคโนโลยีชัดเจนว่าทุ่นระเบิดทั้ง 4 ทุ่นที่มาวาง ถูกวางหลังจากที่มีการลงนามในปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดกันแล้วว่าปฏิญญานี้ถือว่าไม่มีผล เพราะคนที่เป็นคู่ปฏิญญาไม่ปฏิบัติตาม
เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านเสนอให้รัฐบาลโทร.หาสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเพื่อแจ้งถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนที่กัมพูชาจะโทร.ไปนั้น นายกฯ กล่าวว่า คงไม่ต้องโทร.แล้ว ตนให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน 5 ครั้งแล้ว กด Play เมื่อไหร่ก็เห็นข้อความของนายกฯ ไทยต่อเรื่องนี้ เมื่อถามอีกว่านายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) บอกทหารกัมพูชามาลักลอบก่อเหตุเช่นนี้เพราะต้องการเบี่ยงเบนไม่ให้มีการจัดการเรื่องสแกมเมอร์ นายกฯ รีบกล่าวว่า ไม่เกี่ยว เรื่องสแกมเมอร์ ผบ.ตร.ได้ดำเนินการจับกุมดำเนินคดีไปแล้วหลายราย
ถามอีกว่า เหตุเหยียบทุ่นระเบิดล่าสุดจะนำไปสู่การยกเลิก MOU 43 และ 44 ง่ายขึ้นหรือไม่นั้น นายกฯ กล่าวว่า MOU 44 เป็นเรื่องของเขตแดนทะเล ซึ่งยังไม่ได้ดำเนินการอะไร ตนคิดว่าไม่จำเป็นต้องถาม เพราะนโยบายรัฐบาลทั้งเรื่อง MOU 43 และ 44 รัฐบาลชุดนี้ไม่มีความต้องการที่จะดำเนินการต่อ เมื่อถามถึงกรณีที่สื่อกัมพูชาตีข่าวว่าการร้องไห้ปาดน้ำตาของนายกฯ ระหว่างเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดเป็นเหมือนน้ำตาจระเข้ นายอนุทินกล่าวว่า โนคอมเมนต์ ก่อนจะบอกว่า "ไม่ใช่น้ำตาจระเข้หรอกครับ คอยดูแล้วกัน จระเข้มันงับไปอย่าหางจุกตูดแล้วกัน"
พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผบ.ทสส. กล่าวถึงภารกิจการเก็บกู้ทุ่นระเบิดชายแดนไทย-กัมพูชาว่า กําลังทําอยู่ใน 5 พื้นที่นำร่องให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วเราจะเดินต่อไปในพื้นที่อื่นๆ จนครบ 13 พื้นที่ ซึ่งยืนยันว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเราทํามาก่อนหน้านี้แล้ว หากฝ่ายกัมพูชาไม่ดําเนินการอะไร เราก็แค่ทําหน้าที่เก็บกู้ทุ่นระเบิดต่อไป
ถามว่า รมว.กลาโหมระบุใน 5 พื้นที่นําร่อง กัมพูชายังไม่ตอบรับ 1 พื้นที่ พล.อ.อุกฤษฎ์กล่าวว่า ก็เรื่องของเขา พื้นที่ของเรา เราก็ทําของเรา ไปสนใจอะไรเขา เมื่อถามว่าเสร็จจาก 5 พื้นที่นําร่องก็จะไปพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ในเขตอธิปไตยของเราใช่หรือไม่ พล.อ.อุกฤษฎ์กล่าวว่า ถูกต้อง เมื่อถามต่อว่าหากเป็นพื้นที่ที่มีกัมพูชาวางฐานกําลังอยู่เราจะปฏิบัติอย่างไร พล.อ.อุกฤษฎ์กล่าวว่า ก็เราจะทํา เราทําเพื่อพี่น้องประชาชนและทหารที่อยู่แนวหน้าให้ปลอดภัย ทําไมเราถึงจะทําไม่ได้ ขอย้ำว่าเราจะทํา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฝ่ายไทยเสนอเก็บทุ่นระเบิด 13 พื้นที่ ประกอบด้วย พื้นที่กองกำลังบูรพา 3 พื้นที่ กองทัพภาคที่ 1 บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านเนินสมบูรณ์ จ.สระแก้ว กองทัพภาค 2 กองกำลังสุรนารี 6 พื้นที่ คือ ช่องบก-ช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี, ช่องกร่าง จ.สุรินทร์, ช่องเหว จ.สุรินทร์, ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ และบ้านสายโท 10 ใต้ จ.บุรีรัมย์ กองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด 4 พื้นที่ คือ บ้านตะกาง อ.เมืองตราด, บ้านคลองม่วง อ.เมืองตราด, บ้านชำราก อ.เมืองตราด และบ้านโขดทราย อ.คลองใหญ่ จ.ตราด แต่กัมพูชาไม่ตอบรับทั้ง 13 พื้นที่ ฝ่ายไทยต่อรองลดเหลือเพียง 5 พื้นที่นำร่อง พร้อมเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชาไม่ต้องมาร่วมเก็บกู้กับทีมไทย ขอเพียงไม่ขัดขวางบ้านสายโท 10 ใต้ จ.บุรีรัมย์, ช่องเหว จ. สุรินทร์, บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว, บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว, บ้านชำราก จ.ตราด
เขมรป่วนยิงปืนเล็กเข้าฝั่งไทย
ที่กองทัพบก (ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 12 พ.ย. ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังบูรพาว่า เกิดเหตุทหารกัมพูชาใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทย ในพื้นที่ชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยหลังจากนั้นฝ่ายไทยได้เข้าแนวกำบังและได้ทำการยิงแจ้งเตือนไปยังจุดที่มีการยิงเข้ามา ตามกฎการใช้กำลัง เหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาประมาณ 10 นาทีจึงสงบลง ทั้งนี้ ฝ่ายไทยไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
พล.ต.วินธัยกล่าวถึงกรณีสื่อกัมพูชากล่าวหาไทยจัดฉากเป็นผู้วางระเบิดเองโดยอ้างหลักฐานจากภาพถ่ายดาวเทียมของประเทศมาเลเซีย และกล่าวหาว่าไทยสั่งซื้อทุ่นระเบิดมาใช้งานว่า ทั้งหมดล้วนไม่เป็นความจริง เป็นวิธีการสกปรกรูปแบบเดิมๆ ยิ่งเมื่อพิจารณาจากภาพประกอบข่าวแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีลักษณะเป็นการตกแต่งดัดแปลง ทำขึ้นเป็นการเฉพาะที่ไม่แนบเนียน เพื่อจะใช้หลอกลวงสังคม ทั้งในประเทศและสังคมโลกให้เข้าใจผิดฝ่ายไทย รวมทั้งทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 กองทัพไทยไม่เคยมีไว้ในครอบครอง
ช่วงค่ำ นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ข้าพเจ้าขอประณามการใช้ความรุนแรงของฝ่ายไทย ต่อพลเรือนชาวกัมพูชาผู้บริสุทธิ์ในหมู่บ้าน เปรย์จัน ตำบลอัวร์บิจาน อำเภออัวร์โชรว์ จังหวัดบันเตียเมียนเจย ช่วงเย็นวันนี้ (12 พ.ย.) ส่งผลให้พลเรือนชาวกัมพูชาได้รับบาดเจ็บ 3 คน และเสียชีวิต 1 คน การกระทำดังกล่าวขัดต่อหลักมนุษยธรรมและข้อตกลงร่วมกันก่อนหน้านี้ ในการแก้ไขปัญหาเขตแดนด้วยสันติวิธี โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อตกลงให้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) เป็นผู้ดำเนินการวัดและปักหลักเขตชั่วคราว และต้องคงสภาพเดิมของพื้นที่ไว้ จนกว่าการวัดแนวเขตจะเสร็จสิ้นและรอผลการตัดสินของ JBC
นายกรัฐมนตรีกัมพูชายังเรียกร้องให้ไทยยุติการใช้กำลังกับพลเรือนกัมพูชาโดยทันที และหยุดใช้วิธีการทางทหารเพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดน พร้อมเสนอให้มีการ สอบสวนอิสระในเหตุยิงครั้งนี้ โดยให้ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเข้าร่วม เพื่อค้นหาความจริง ความรับผิดชอบ และความยุติธรรมแก่ผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งยังสั่งการให้หน่วยงานที่ดินและเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกระดับ เร่งดำเนินการปกป้องความปลอดภัยของประชาชนกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน และคำนึงถึงชีวิตของพลเรือนเป็นลำดับแรก
นายฮุน มาเนต ย้ำว่า กัมพูชายังคงยึดมั่นในการแก้ไขปัญหาชายแดนด้วยสันติวิธี ตามเจตนารมณ์ของ ถ้อยแถลงร่วมกัวลาลัมเปอร์ ที่ลงนามร่วมกับไทยเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2025 เพื่อเดินหน้า “ยุติความขัดแย้งและสร้างสันติภาพระหว่างสองประเทศอย่างยั่งยืน”
อย่างไรก็ดี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลไทยขอประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชาอย่างรุนแรง ที่ใช้อาวุธยิงเข้ามายังพื้นที่ฝั่งไทยก่อน โดยเฉพาะในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยอย่างชัดเจน
ส่วน พล.ต.วินธัยยืนยันกัมพูชาสร้างสถานการณ์บิดเบือน โดยการยิงตอบโต้ของฝ่ายไทยกระทำด้วยความระมัดระวังไปในทิศทางที่อาวุธยิงฝั่งตรงข้ามจะทำต่อกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อไม่ให้กระทบต่อพื้นที่พลเรือนหรือประชาชนโดยเด็ดขาด
“ข้อกล่าวหาของกัมพูชาที่ระบุว่าไทยเปิดฉากการยิง ยั่วยุ และละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ล้วนไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น และการที่กัมพูชาเปิดฉากยิงโดยอาศัยพื้นที่ชุมชนเป็นที่กำบัง ยังเข้าข่ายการใช้โล่มนุษย์ ผิดหลักมนุษยธรรม แสดงถึงความไม่ใส่ใจในชีวิตของประชาชนกัมพูชาแม้แต่น้อย” โฆษก ทบ.กล่าว
วันเดียวกัน พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. กล่าวระหว่างต้อนรับ พล.ท.ทักษิณ สิริสิงห ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (วปอ.) พร้อมคณะ วปอ.รุ่นที่ 68 จำนวน 299 นาย ในโอกาสเข้าศึกษาดูงานภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตอนหนึ่งระบุว่า ได้นำเรียน ผบ.ทสส.และ ผบ.ทบ. สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความพร้อมสนับสนุนภารกิจของทหารในการป้องกันประเทศ
“ในการรักษาอธิปไตยชายแดนไทย-กัมพูชา ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.สำราญ นวลมา รอง ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบด้านความมั่นคง เตรียมความพร้อมในทุกส่วนเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหากได้รับการร้องขอจากกองทัพ และเน้นในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ส่วนหลัง เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับพี่น้องประชาชน” โฆษก ตร.กล่าว
ทูตเข้าใจไทยระงับปฏิญญา
ที่กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) มีการเชิญคณะทูตและผู้แทนระหว่างประเทศ ประกอบด้วย เอกอัครราชทูตและผู้แทน 59 ประเทศ 1 องค์กร 4 องค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 71 คน เข้ารับทราบถึงพัฒนาการและจุดยืนของไทยต่อสถานการณ์ไทย-กัมพูชา และแนวทางดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ภายหลังทหารไทยเหยียบระเบิดบริเวณพื้นที่ช่องตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ
นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ ได้ชี้แจงรายละเอียดและข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด ซึ่งได้รับการยืนยันว่าเกิดจากการลอบวางทุ่นระเบิดใหม่โดยฝ่ายกัมพูชา ส่งผลให้กำลังพลบาดเจ็บและทุพพลภาพข้อเท้าขาด ซึ่งเส้นทางนั้นเป็นเส้นทางเดิมในการลาดตระเวน จากการพิสูจน์ทราบโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ตรวจพบชิ้นส่วนทุ่นระเบิดภายในกลุ่มระเบิดเพิ่มเติมอีก 3 ทุ่น ในบริเวณรอบหลุมระเบิด พื้นที่ดังกล่าวเคยเป็นพื้นที่ที่กัมพูชาเคยรุกล้ำเข้ามาวางกำลัง จึงสรุปได้ว่ากัมพูชาลักลอบเข้ามาวางระเบิด
นอกจากนี้ ยังได้ชี้แจงยืนยันไทยให้ความสำคัญกับปฏิญญา Joint Declaration ที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามกัน โดยมองเอกสารดังกล่าวจะนำสู่สันติภาพที่ยั่งยืน และที่สำคัญคือ ต้องอาศัยความจริงใจและสุจริตใจของทั้งสองฝ่ายในการปฏิบัติตาม แต่ภายหลังที่เกิดเหตุทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิด นายกฯ ได้เป็นประธานการประชุม สมช. เพื่อพิจารณาประเมินสถานการณ์ โดยที่ประชุมเห็นว่าประเทศไทยยึดมั่นและมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติตาม Joint Declaration มาโดยตลอด และได้เกิดความคืบหน้าหลายเรื่อง แต่เกิดความผิดหวังเพราะกัมพูชาละเมิดปฏิญญาดังกล่าว ลักลอบมาวางทุ่นระเบิดในประเทศไทย ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยบูรณภาพของประเทศไทย รวมทั้งยังละเมิดอนุสัญญาออตตาวาที่กัมพูชาเป็นภาคี ซึ่งสะท้อนถึงความไม่จริงใจของฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องระงับการดำเนินการตามปฏิญญา Joint Declaration รวมถึงชะลอการส่งตัวทหารกัมพูชาที่ฝ่ายไทยกำลังควบคุมอยู่ 18 นายออกไปก่อน พร้อมเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการในเรื่อง 3 เรื่อง ได้แก่ แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์นี้ ดำเนินการสอบสวนกรณีดังกล่าวและนำตัวผู้กระทำความผิดมารับโทษ และมีมาตรการป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
โฆษก กต.กล่าวว่า คณะทูตได้มีข้อสงสัยสอบถามถึงแนวทางการดำเนินการของไทย โดย รมว.การต่างประเทศชี้แจงว่า จากนี้ไปไทยขอสงวนสิทธิ์ที่จะดำเนินการตามความจำเป็น เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย โดยไทยจะดำเนินการตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ในพื้นที่ นอกจากนี้ คณะทูตยังสอบถามถึงสถานะของ Joint Declaration ว่าไทยฉีกทิ้งหรือไม่ รมว.การต่างประเทศได้ชี้แจงว่า ณ ปัจจุบันถือว่าระงับ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Pause แต่เมื่อคำนึงถึงความรู้สึกของคนไทย ไม่แน่ใจว่าจะคงสถานะการระงับไว้นานแค่ไหน ซึ่งขึ้นอยู่กับท่าทีและการตอบสนองของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งคณะทูตไม่มีคนไหนที่แสดงความกังวลหรือไม่เห็นด้วยกับการระงับ Joint Declaration ซึ่งส่วนใหญ่ได้แสดงความเข้าใจ แต่ก็มีข้อกังวล เพราะไม่อยากให้สถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น โดยอยากให้กลับสู่การเจรจา
ถามว่า ต้องแจ้งไปยังประเทศหรือองค์กรต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนกับกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดหรือไม่ นายนิกรเดชกล่าวว่า ประเทศเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นภาคีของสัญญาออตตาวา เช่น ญี่ปุ่น ที่ได้สื่อสารไปทั้งสองทาง ผ่านไปยังประธานรัฐภาคี ซึ่งก็มีหน้าที่แจ้งความกังวล ข้อเรียกร้องไปสู่ประเทศภาคี และกำลงพิจารณาทำหนังสือตรงไปยังประเทศที่ให้ความช่วยเหลือ อย่างที่เคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต ว่าเงินช่วยเหลือดังกล่าวอาจจะนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
“เรากำลังเชิญเอโอทีไปลงพื้นที่ เพื่อให้ไปยืนยันความจริงเรื่องทุ่นระเบิดดังกล่าว และมีโอกาสที่ รมว.การต่างประเทศจะเดินทางไปร่วมประชุมรัฐภาคีด้วยตัวเอง ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา โดยเรื่องนี้ได้พูดคุยกันตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุการณ์ แต่หากไม่ได้ไปประชุมด้วยตัวเอง จะมีผู้แทนระดับสูงไปร่วมประชุมแทน” นายนิกรเดชกล่าว
พท.แถลงประณามกัมพูชา
ถามว่า การชี้แจงต่อคณะทูตครั้งนี้มีปฏิกิริยาใดเพิ่มเติมจากสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ในฐานะผู้สังเกตการณ์การลงนามระหว่าง Joint Declaration ไทย-กัมพูชาหรือไม่นั้น โฆษก กต.กล่าวว่า เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันได้ติดต่อกับผู้แทนสหรัฐอเมริกาเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงแล้ว และแสดงความคาดหวังของไทยที่ให้กัมพูชาแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอยากให้ติดตามสิ่งที่กัมพูชาควรดำเนินการต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย และมาเลเซียได้ส่งผู้แทนระดับสูงทางการทหารมาติดตามเหตุที่เกิดขึ้น และได้พิจารณาดำเนินการใดในสิ่งที่มาเลเซียสามารถดำเนินการได้
โฆษก กต.ยังประณามการกระทำของฝ่ายกัมพูชากรณีเป็นฝ่ายเริ่มใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังฝั่งไทยชายแดนบ้านหนองหญ้าแก้ว รวมทั้งการใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์
ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวถึงกรณีรัฐบาลไทยฉีกปฏิญญาสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชาว่า พรรคสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลและกองทัพในการปกป้องอธิปไตย ตนถือว่าคนที่ฉีกปฏิญญาข้อตกลงคือกัมพูชา ฉีกด้วยการนำทุ่นระเบิดมาวาง ทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้น ดังนั้นจึงสนับสนุนรัฐบาลในการทำเรื่องนี้อย่างเต็มที่ แต่อยากเชิญชวนคนไทยทุกคนช่วยกันบอกชาวโลกว่า ผู้ที่ฉีกปฏิญญาคือผู้ที่มาวางทุ่นระเบิด ซึ่งคือทางกัมพูชา
ส่วนพรรคเพื่อไทย (พท.) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีต รมว.การต่างประเทศ และนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา รองโฆษกพรรค พท. ร่วมกันแถลงข่าวกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยนายมาริษกล่าวว่า พรรค พท.ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และขอเสนอให้กองทัพใช้หุ่นยนต์เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่รัฐบาลพรรค พท.เคยขอรับการสนับสนุนจากองค์กรของสหภาพยุโรปไว้ เพื่อป้องกันและลดความสูญเสียของพี่น้องทหารไทยในอนาคต รวมทั้งขอประณามกัมพูชาสำหรับการกระทำที่เป็นการละเมิด ปฏิญญาสันติภาพ, ข้อตกลงหยุดยิง และอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติอย่างร้ายแรง
“พรรคเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งยกระดับมาตรการกดดันกัมพูชาอย่างจริงจัง ผ่านช่องทางทางการทูต โดยเฉพาะนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และอดีตประธานอาเซียน นาย Romualdez Marcos Jr. ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ในฐานะประธานอาเซียนคนต่อไป นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ผลักดันปฏิญญาสันติภาพ และรัฐบาลจีน ในฐานะสักขีพยานข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ที่เมืองปูตราจายา ประเทศมาเลเซีย และเสนอให้รัฐบาลยกระดับการกดดันผ่านประชาคมโลก โดยเฉพาะประเทศภาคีสมาชิกอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยผลักดันเรื่องนี้ไว้แล้ว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลยกกรณีนี้เข้าสู่วาระการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-5 ธ.ค. ณ นครเจนีวา เพื่อประณามกัมพูชา” นายมาริษกล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


