ใส่ร้ายไทยฟ้องโลก ซัดสันดานเขมรยังเป็นปรปักษ์‘บิ๊กเล็ก’เตือน‘ทหารเก่า’จ้อเข้าทาง

นายกฯ ยันเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วหากเกิดการสู้รบ "บิ๊กเล็ก" คุย "เตีย เซยฮา" ให้หยุดปฏิบัติการทหารในพื้นที่พลเรือน เชื่อ "กัมพูชา" มีแผนใส่ร้ายไทย หวังดึงโลกกดดัน ย้ำไม่มีคุยกันอีกแล้ว ประชุมไปก็เปลืองภาษี ปชช. พร้อมขอ "ผู้รู้-ทหารเก่า" ระวังให้สัมภาษณ์ หวั่นเขมรต่อจิกซอว์ ได้ ด้าน "ทบ." แฉยังเป็นปรปักษ์ พบวางทุ่นระเบิดใหม่ 17 ทุ่น ประโคมข่าวเท็จไทยส่งศพเชลยศึกเสียชีวิตกลับประเทศ ทั้งที่เป็นศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวใน รพ.กทม. ด้าน "โรม" มองหวังเบี่ยงประเด็นปราบสแกมเมอร์

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 13 พฤศจิกายน  นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในระหว่างการเดินทางไปต่างประเทศว่า ตนได้เปิดช่องทางการสื่อสารกับที่เกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบต่อสถานการณ์ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนที่ประชาชนมีความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนจากเหตุการณ์ที่เกิดเสียงดังคล้ายระเบิดบริเวณบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้วนั้น ยืนยันว่าเราจะทำให้ดีที่สุด พร้อมยืนยันว่าเราไม่ได้มีเจตนาจะไปรุกรานใคร แต่เราก็ไม่ยอมให้ใครมาคุกคามอธิปไตยของเรา ทั้งจะไม่ยอมให้ประชาชนและทหารต้องประสบภัยอันตราย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เหมือนว่าทางกัมพูชามีการใช้ปืนเล็กยิงก่อกวนเข้ามาในฝั่งไทย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ทหารมียุทธวิธี ซึ่งรัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ส่วนความจำเป็นต้องอพยพ ศูนย์พักพิงและเงินเยียวยาหากเกิดเหตุการณ์สู้รบก็เตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว ส่วนมีการประเมินสถานการณ์อย่างไรเนื่องจากบรรยากาศตอนนี้เข้าใกล้สู่การปะทะ นายกฯ ตอบว่า “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” เพราะมีคำสั่งสอนมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว ยืนยันว่าได้ให้อำนาจทหารในการตัดสินใจตั้งแต่วันแรกที่มาเป็นนายกฯ แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามถึงการเตรียมความพร้อมชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณ จ.ศรีสะเกษ นายอนุทินกล่าวว่า จะมีการสั่งการผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีข้อสั่งการที่มีกรอบอยู่แล้ว การประชุม สมช.แต่ละครั้งถือเป็นการรับฟังรายงานความพร้อมและปฏิบัติงาน ที่จะต้องปรับไปตามสถานการณ์และความเหมาะสม  รวมถึงให้การสนับสนุนสิ่งที่กองทัพร้องขอมา โดยกองทัพมีความพร้อมที่จะรับมือสถานการณ์และปกป้องแผ่นดิน อธิปไตย และความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน ส่วนกรณีที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาโพสต์กล่าวอ้างว่า ทหารไทยมีการยิงใส่พลเรือนของกัมพูชาจนบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น นายกรัฐมนตรีตอบเพียงว่า ได้อ่าน แต่เราก็มีแนวทางของเรา

ด้าน พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีฝ่ายกัมพูชายิงเข้ามายังฝั่งไทยด้านบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ว่าเป็นไปตามสถานการณ์ ซึ่งได้เน้นย้ำไป 2 มาตรการคือ ระงับปฏิบัติการตามปฏิญญาแล้ว และต้องปกป้องพื้นที่ที่อยู่ในเขตอธิปไตยของไทยตามกฎการใช้กำลัง ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการยั่วยุ โดยทางกองกำลังบูรพา กองทัพภาคที่ 1 ก็ใช้ความระมัดระวังที่จะดำเนินการในพื้นที่ที่มีพลเรือนอาศัยอยู่ ได้แต่ยิงตอบโต้เพื่อให้เขารับทราบว่าอย่ากระทำอย่างนี้อีก  เนื่องจากพื้นที่นั้นมีพลเรือนอาศัยอยู่ จึงไม่น่ากระทำ ซึ่งตนได้โทร.หา พล.อ.เตีย เซยฮา รมว.กลาโหมกัมพูชา การปฏิบัติการในพื้นที่พลเรือน แม้จะบอกว่าไม่เจตนาก็ตาม แต่ก็ยังเป็นพื้นที่พลเรือน

เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.เตีย เซยฮา ได้ระบุอย่างไรบ้าง พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า เขาได้พูดเหมือนกับที่กระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงออกมา ส่วนที่ทางกัมพูชาอ้างว่ามีพลเรือนกัมพูชาบาดเจ็บ 3 ราย เสียชีวิต 1 ราย พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า เราไม่ได้รับทราบว่ามีพลเรือนอยู่บริเวณนั้น ในเมื่อทหารกัมพูชายิงเข้ามาฝั่งเรา ทางเราก็ต้องตอบโต้ ซึ่งครั้งก่อนจะเห็นว่าการยั่วยุเป็นการยิงปืนขึ้นฟ้า แต่ในครั้งนี้ยิงมาระดับบุคคล แสดงว่ามุ่งหวังชีวิต ซึ่งเรามีหลักฐานคือรอยกระสุนบริเวณบังเกอร์ ดังนั้นเราต้องยิงตอบโต้ ซึ่งเป็นไปตามกฎใช้กำลังอยู่แล้ว สิ่งที่เขาไม่ควรกระทำอย่างยิ่งคือการปฏิบัติในพื้นที่ที่มีพลเรือนอยู่ อีกทั้งฝ่ายกัมพูชาทราบดีอยู่แล้วว่าบริเวณนั้นมีพลเรือนอยู่

'บิ๊กเล็ก' ชี้เขมรหวังใส่ร้ายไทย

เมื่อถามว่า ทางฝ่ายกัมพูชาต้องการยั่วยุให้เกิดสงครามใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ไม่คิดถึงขนาดนั้น ไม่อยากให้เรียกว่าสงคราม ซึ่งจะดูหนักเกินไป แต่เป็นการจัดฉากเพื่อให้เกิดการปะทะ ว่าเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำ เมื่อถามว่าเขาหวังใส่ร้ายฝ่ายไทยเพื่อหวังผลหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า คิดว่าเป็นอย่างนั้น โดยมุ่งหวังให้ประชาคมโลกหันกลับมาตรงนี้ เพราะเขาทำลักษณะนี้มาเรื่อยๆ อยู่แล้ว ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วและบ้านหนองจาน โดยการนำพลเรือนมาออกหน้า แม้รัฐบาลกัมพูชาออกมาระบุว่าไม่ได้มีนโยบายเช่นนั้น แต่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นเรามองว่าเป็นเช่นนั้น ส่วน พล.อ.เตีย เซยฮา อ้างเหตุที่กัมพูชาจึงยิงปืนกลเข้ามาฝั่งไทยถึง 60 นัดอย่างไรนั้น พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ก็เขาไม่ยอมรับ

เมื่อถามว่า พล.อ.เตีย เซยฮา ไปขอให้มีการเจรจาขึ้นหรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ขออนุญาตที่จะไม่พูด เพราะเป็นการพูดคุยกันส่วนตัว คล้ายโฟร์อาย แต่จุดยืนของเรายังคงเหมือนเดิม คือจะไม่มีการประชุมจีบีซี ซึ่งจะเกิดขึ้นปีละ 1 ครั้ง ซึ่งที่ผ่านมาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ ต่อจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว เพราะมองว่าไม่มีประโยชน์ รวมถึงปีหน้าก็คงจะไม่มี ต่อไปก็ให้ใช้กลไกของรัฐบาลหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ก็ให้ว่ากัน ในส่วนของจีบีซี ไม่มีอะไรคืบหน้า และไม่ปฏิบัติตามปฏิญญา ประชุมไปก็เปลืองภาษีประชาชน ในขณะที่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) ยังคงปฏิบัติงาน เหตุการณ์ที่บ้านหนองหญ้าแก้วก็ต้องพิสูจน์ทราบต่อไป ซึ่งเป็นข้อตกลงของประเทศอาเซียน ไม่เกี่ยวกับปฏิญญาสันติภาพ

 “ปัจจุบันผมก็เครียดมากพออยู่แล้ว เพราะมีผู้รู้ ทหารเก่าออกมาพูดจนกระทั่งกัมพูชาสามารถต่อจิกซอว์ได้ ขอความกรุณาสื่อหรือพิธีกรรายการต่างๆ การเปิดเวทีให้บุคคลต่างๆ มาพูด เช่น การกู้ระเบิด ทำให้กัมพูชาสามารถต่อจิกซอว์ได้ เพราะเป็นทหารด้วยกัน ก็จะคิดคล้ายๆ กัน ผมเองก็ต้องคอยดูว่าอะไรที่พูดไปแล้ว ต้องทำอย่างรอบคอบ เพราะกัมพูชาเขาคาดเดาได้แล้ว นี่คือสิ่งที่ผมห่วงใยต่อชีวิตน้องๆ ที่อยู่แนวหน้า เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องปฏิบัติการทางทหาร ปรากฏว่าฝ่ายตรงข้ามเขาเตรียมการไว้หมดแล้ว ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อชีวิตของน้องๆ ซึ่งส่วนตัวเข้าใจสื่อมวลชน รวมถึงพิธีกรในรายการต่างๆ ต้องหาข่าวนำเสนอให้ประชาชนเข้าใจ แต่ขอเรียนในมุมด้านการทหาร  บางครั้งคนที่พูดไม่เจตนาก็ตาม เพราะเจตนาของเขาต้องการแสดงว่าเขารู้ แต่สิ่งที่เขารู้จะทำให้กัมพูชารู้ด้วย แต่คงไม่สามารถไปห้ามได้ อยากฝากไปถึงทุกคน เพื่อขอความร่วมมือ ทุกคนที่จะทำให้ข้อความเหล่านั้นออกสู่สาธารณะ เพราะกัมพูชาก็ดูอยู่” พล.อ.ณัฐพลกล่าว

เมื่อถามว่า ประชาชนมีความเป็นห่วงว่าจะเกิดสิ่งใดบริเวณพื้นที่ตามแนวชายแดน พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า ขออนุญาตไม่พูดถึง ในเมื่อเราระงับการปฏิบัติตามปฏิญญาแล้ว สิ่งที่ได้พูดคุยกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะผู้บัญชาการทางทหาร อะไรก็ตามที่อยู่ในพื้นที่อธิปไตยของเรา ขอให้ปกป้องตามกฎการใช้กำลัง เพราะฉะนั้นตนจึงไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ จึงขึ้นอยู่กับฝ่ายกัมพูชาว่าต้องการจะคลี่คลายสถานการณ์จริงหรือไม่ ที่ผ่านมาเราใช้แนวทางสันติมาตลอด จนบางครั้งยังถูกตำหนิเสียด้วยซ้ำว่าไม่เข้มแข็ง ไม่เด็ดขาด แต่ถึงเวลานี้เราก็เพิ่มความเด็ดขาดมากขึ้น

เมื่อถามว่า ความเด็ดขาดในการตัดสินใจอยู่ที่ผู้บัญชาการทหารบกใช่หรือไม่ พล.อ.ณัฐพลกล่าวว่า มีอยู่ 2 ประการ ระดับอำนวยการก็มีคณะผู้บัญชาการทางทหาร แต่กฎการใช้กำลังมีในทุกระดับ แม้แต่ ผบ.ที่คุมกำลังหน่วยเฉพาะกิจ ที่อยู่แนวหน้า ก็สามารถดำเนินการได้ แต่ไม่ขอพูดลงในรายละเอียด

เป็นปรปักษ์ต่อเนื่อง

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้กล่าวถึงประเด็นสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ที่ปัจจุบันได้กลับเข้าสู่ความตึงเครียดอีกครั้งว่า แม้ว่ารัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาได้ร่วมลงนามในปฏิญญาร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Declaration) แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฝ่ายกัมพูชายังคงมีท่าทีเป็นปรปักษ์ต่อฝ่ายไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของการลักลอบวางทุ่นระเบิด โดยในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ได้เกิดเหตุการณ์ และตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลชนิด PMN-2 หลายครั้ง เหตุการณ์ทั้งหมดมีลักษณะต่อเนื่องและเข้าข่ายเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศอย่างชัดเจน รวมทั้งหมด จำนวน 17 ทุ่น ดังนี้

 ในพื้นที่ห้วยตามาเรีย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 6 พ.ย.2568 ตรวจพบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ที่มีลักษณะการวางใหม่จำนวน 7 ลูก, เมื่อวันที่ 9 พ.ย.2568 ตรวจพบแนวลวดหนามถูกตัดหลายจุด, วันที่ 10 พ.ย.2568 ทหารเหยียบกับระเบิดภายในแนวลวดหนามของฝ่ายไทยในระยะลึกเข้ามาประมาณ 7 เมตร ส่งผลให้ทหารไทยบาดเจ็บ 4 นาย และได้ตรวจพบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 3 ลูก ในบริเวณใกล้เคียง

สำหรับเหตุการณ์พื้นที่อื่นๆ พื้นที่ปราสาทโดนตวล อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 10-11 พ.ย.2568 ตรวจพบทุ่นระเบิดจำนวน 5 ลูก,  พื้นที่ช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 10 พ.ย.2568 ตรวจพบ PMN-2 จำนวน 1 ลูก

นอกจากนี้ กัมพูชาได้มีการเผยแพร่ข่าวปลอม บิดเบือนข้อมูลในหลายประเด็นโดยไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง อาทิ การเสียชีวิตของเชลยศึก,   การกล่าวหาว่าทหารไทยเปิดฉากยิงใส่ประชาชนกัมพูชาก่อน, การใส่ร้ายว่าไทยเป็นผู้วางทุ่นระเบิดเอง เป็นต้น ซึ่งความเป็นจริงคือฝ่ายกัมพูชาสร้างหลักฐานและคำกล่าวอ้างอันเป็นเท็จใส่ร้ายฝ่ายไทยโดยไม่มีมูลความจริงทุกประการ

จะเห็นได้ว่าฝ่ายกัมพูชามีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามปฏิญญาร่วม และกระทำการที่แสดงออกถึงความเป็นปรปักษ์ต่อไทยอย่างชัดเจน จนนำไปสู่รัฐบาลไทยมีมติให้ระงับการดำเนินการตามข้อตกลง โดยกองทัพบกได้ระงับการถอนอาวุธหนัก รวมถึงการส่งกลับเชลยศึกในทุกกรณี แต่ฝ่ายไทยยังคงเดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดในเขตอธิปไตยไทยต่อไป เพื่อให้พื้นที่มีความปลอดภัยและพร้อมสำหรับการปฏิบัติการทุกด้านที่อาจจะเกิดขึ้น

ส่วนเหตุการณ์บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ฝ่ายไทยต้องตอบโต้สถานการณ์ตามกฎการใช้กำลัง เพื่อป้องกันตนเองและดูแลความปลอดภัยให้ประชาชนชาวไทย ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ ฝ่ายกัมพูชาได้มีการปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารสร้างข่าวบิดเบือนอย่างกว้างขวาง โดยกล่าวหาว่าไทยได้เปิดฉากยิงพลเรือนกัมพูชา และเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลง พร้อมทั้งเรียกร้องให้ไทยปล่อยตัวเชลยศึกในทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข

 “แม้กัมพูชาจะพยายามสร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายไทยเป็นผู้ละเมิดต่อข้อตกลง และสร้างภาพว่าเป็นเหยื่อของการกระทำของฝ่ายไทย โดยกล่าวหาฝ่ายไทยว่าทำการยิงไปยังประชาชนกัมพูชา รวมถึงได้กล่าวหาอย่างร้ายแรงว่ากำลังพลของไทยได้เหยียบทุ่นระเบิดที่ฝ่ายไทยเป็นผู้วางไว้เอง ข้อกล่าวหาทั้งหมดล้วนปราศจากหลักฐานข้อเท็จจริง แต่ใช้วิธีการสร้างและประโคมข่าวเท็จอย่างเป็นระบบ ทั้งในส่วนราชการ, สื่อภายในประเทศ รวมทั้งประชาชนของกัมพูชา ทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจผิดเป็นวงกว้าง”

แฉบิดเบือนภาพศพ

กองทัพบกขอชี้แจงว่า กรณีการตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 บริเวณห้วยตามาเรีย และกัมพูชาได้กล่าวอ้างว่าทหารไทยได้เหยียบทุ่นระเบิดที่วางไว้เองนั้น ฝ่ายไทยมีหลักฐานชัดเจน จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ซึ่งพบว่าเป็นทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 ที่วางใหม่ และในบริเวณใกล้เคียงยังพบทุ่นระเบิดอีก 3 ทุ่นอีกด้วย สอดคล้องกับข้อมูลเดิมที่มีการรายงานว่าทหารกัมพูชาได้ลักลอบเข้ามาตัดลวดหนามที่ไทยได้วางไว้ ก่อนจะพบการวางทุ่นระเบิดดังกล่าว รวมถึงพบการรายงานในพื้นที่อื่นๆ ว่ามีการพบทุ่นระเบิดแบบ PMN-2 ด้วยเช่นกัน

กรณีเหตุการณ์ที่กัมพูชาเปิดฉากเข้ามายังบ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว จนทำให้กองกำลังบูรพามีความจำเป็นต้องยิงตอบโต้ เพื่อแจ้งเตือนและป้องกันตนเองจากการคุกคามที่เกิดขึ้น และหลังจากเกิดเหตุกัมพูชาได้สร้างข้อมูลบิดเบือนว่า ฝ่ายไทยยิงใส่พลเรือนกัมพูชาจนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น โฆษกกองทัพบกยืนยันว่า การปฏิบัติของฝ่ายไทย เป็นการตอบโต้ตามสถานการณ์ตามกฎการใช้กำลัง ซึ่งการยิงของทหารไทยสอดคล้องกับทิศทางการยิงของทหารกัมพูชา ไม่ได้มีเป้าหมายกระทำต่อพลเรือนแต่อย่างใด ดังนั้นหากกัมพูชากล่าวอ้างว่ามีพลเรือนของตนได้รับผลกระทบ แสดงว่ากัมพูชาได้ใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ใช้กำลังทหารเข้าปะปนในกลุ่มประชาชนของตน โดยไม่สนใจในผลกระทบที่อาจจะเกิด

"กรณีการกล่าวอ้างและสร้างข้อมูลบิดเบือน นำภาพการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายศพประชาชนชาวกัมพูชาข้ามผ่านชายแดน ซึ่งเป็นการเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัวที่โรงพยาบาลใน กทม. และญาติผู้เสียชีวิตได้ประสานผ่านทางการไทย และไทยได้อำนวยความสะดวกด้านการส่งกลับตามหลักมนุษยธรรม แต่ทางกัมพูชานำภาพไปใช้ประกอบการสร้างข่าวเท็จว่าไทยได้ส่งศพเชลยศึกเสียชีวิตกลับประเทศ ซึ่งสิ่งนี้แสดงอย่างชัดเจนว่ากัมพูชาเพิกเฉยต่อเรื่องสิทธิความเป็นมนุษย์ และหลักความเป็นมนุษยธรรม นำชีวิตของประชาชนประเทศตนมาเป็นช่องทางในการสร้างข่าวเท็จอย่างน่าละอาย" พล.ต.วินธัยกล่าว

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก โดยชี้ถึงประเด็นน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า ขณะที่สังคมกำลังมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์ชายแดนบนบก แต่เป้าหมายที่แท้จริงของกัมพูชาก็คือการอ้างสิทธิในเขตแดนทางทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับทรัพยากรพลังงานมหาศาลที่ไทยสูญเสียโอกาสใช้ประโยชน์มานานกว่า 52 ปี วันนี้ถูกจดจ่อไปที่ชายแดนบนบกทางภาคอีสาน แต่ความเป็นจริงเขตแดนที่ต้องเป็นห่วงและต้องทวงคืนไปพร้อมๆ กันนอกจากปราสาทตาควายแล้ว คือเขตแดนในทะเลที่พิพาทกันมาตั้งแต่ พ.ศ.2516 ที่อยู่ๆ เขมรก็อ้างการลากเส้นเขตแดนในทะเลตามอำเภอใจไม่สนใจหลักสากล ทำให้เกิดพื้นที่อ้างสิทธิทางทะเลมาจนทุกวันนี้

"ขอย้ำว่า ที่ถูกต้องต้องเรียกว่าพื้นที่อ้างสิทธิ  ไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน เพราะพื้นดินมันมีหนึ่งเดียว มาทับซ้อนกันไม่ได้ แต่เป็นการอ้างสิทธิเหนือพื้นที่เดียวกัน ผมเชื่อว่าเขาต้องการขยับเส้นเขตแดนบนบกตามแนวชายแดนภาคอีสานเพื่อให้กระทบไปถึงหลักเขตสุดท้ายก่อนลงทะเล คือหลักเขตที่ 73 เพราะหากขยับหลักเขตนี้ได้ ก็เท่ากับเส้นเขตแดนในทะเลจะเปลี่ยนตามเขตแดนทางทะเล ตรงนี้มีความสำคัญมาก เพราะไม่ใช่เป็นแค่เขตแดนเท่านั้น แต่หมายถึงทรัพยากรทางพลังงานใต้พื้นทะเลตรงบริเวณนั้นด้วย และน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญต่อไปของเขา เราจึงควรป้องกันและเอาจริงกับเรื่องนี้ได้แล้ว" นายพีระพันธุ์ระบุ

ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทยฯ กล่าวว่า รู้สึกเสียใจกับผู้สูญเสียทุกคน และไม่อยากให้เกิดขึ้น รู้สึกผิดหวังที่รัฐบาลไม่ได้ลงทุนกับการรับมือสถานการณ์ชายแดนอย่างเพียงพอ ซึ่งรัฐบาลควรอนุมัติงบกลางที่มากกว่านี้ ขอตั้งข้อสังเกตให้สังคมคิดตามว่า กัมพูชาต้องการอะไร จากที่โลกพุ่งเป้าล้อมกัมพูชาแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ แต่เมื่อเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ประเด็นเปลี่ยน หากรัฐบาลงับประเด็นที่กัมพูชากำลังทำอยู่ในขณะนี้ ถามว่าใครได้ประโยชน์

นายรังสิมันต์กล่าวว่า รัฐบาลควรเปิดปฏิบัติการเชิงรุกให้มากขึ้น ออกหมายจับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ถ้าตรวจสอบกันดีๆ อาจเจอเส้นเงินของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา และหากยื่นไปที่อินเตอร์โพล จะทำให้กัมพูชาเกิดแผ่นดินไหว 10 ริกเตอร์ และต้องตัดแขนขาทุนสีเทา เขาคือไส้ศึกและทรยศต่อชาติ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน

'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง