เคาะที่มา “กมธ.ยกร่าง รธน.ใหม่” ต้องมี 100 คนรับรองก่อนสมัคร เลือกสูตร 20 หยิบ 1 “ปชน.” ปัดเอื้อเสียงข้างมาก อ้างสะท้อนเสียงประชาชนแล้ว “เท้ง” ปัดฮั้ว ภท. พร้อมขู่พรรคน้ำเงิน เบี้ยวเจออภิปรายแน่ ด้าน “ชลน่าน” เชื่อดึงเกมแก้ รธน.ต่อรองซักฟอก
เมื่อวันที่ 14 พ.ย. นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา แถลงถึงความคืบหน้าของการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ที่ประชุม กมธ. ได้เห็นชอบต่อการกำหนดที่มาของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ จำนวน 35 คน มาจากการสมัครของประชาชน ผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยผู้สมัครนั้นต้องมีประชาชนรับรองอย่างน้อย 100 รายชื่อ และต้องมีเอกสารแสดงวิสัยทัศน์ อุดมการณ์ ความยาว 1 หน้ากระดาษ ทั้งยังมีข้อกำหนดว่า เมื่อรับสมัครแล้วจะนำข้อมูลของผู้สมัครเผยแพร่ให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมตรวจสอบประวัติและอุดมการณ์ จากนั้นให้ส่งรายชื่อให้รัฐสภาคัดเลือก
นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า สำหรับกระบวนการเลือกโดยรัฐสภานั้น มติของ กมธ.แก้รัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้สูตร 20 หยิบ 1 คือให้สมาชิกรัฐสภารวมกลุ่ม กลุ่มละ 20 คน เพื่อเสนอชื่อ กมธ. 1 คน แต่หากไม่สามารถหาจำนวน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้ครบ 35 คน จะให้ใช้วิธีการที่สมาชิกรัฐสภา จำนวน 10 คน เสนอบัญชีผู้จะได้รับการเลือกเป็น กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เป็นจำนวน 2 เท่าของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญชี้ขาด จากนั้นให้รัฐสภาลงมติเห็นชอบด้วยเสียงข้างมาก เกิน 2 ใน 3 ทั้งนี้ กมธ.ได้กำหนดให้ รัฐสภาเลือก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่หากครบเวลาแล้วยังได้ไม่ครบ 35 คน แต่ได้เป็นจำนวน 90% หรือ 33 คน ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้
เมื่อถามถึงการกำหนดสูตร 20 หยิบ 1 กมธ.ได้หารือถึงวิธีการรวมกลุ่มหรือไม่ว่าจะรวมกลุ่มอย่างอิสระหรือมีเงื่อนไข นายนรเศรษฐ์ชี้แจงว่า ในหลักการเป็นรวมกันของสมาชิกรัฐสภาที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน ซึ่ง กมธ.เห็นว่ามีข้อดีที่จะทำให้เกิดความหลากหลายของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามอีกว่า กมธ.กังวลหรือไม่ว่า กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญอาจถูกล็อกโควตาโดยพรรคการเมืองที่มี สส.จำนวนมากในสภา น.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะโฆษก กมธ.ตอบว่า การเลือกนั้นเป็นหลักการที่ตรงไปตรงมา เหมือนกับการเลือกตัวแทนในสัดส่วนของ กมธ.พิจารณาแก้รัฐธรรมนูญ ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ประชาชนจะเห็นชัดเจนว่าผู้สมัคร สส.ที่เลือกนั้นจะเป็นตัวแทนประชาชน นอกจากได้เลือกนายกฯ แล้วยังได้เลือกสมาชิกที่จะยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เมื่อถามย้ำว่า การรวมกลุ่มของสมาชิกรัฐสภา 20 คนโดยอิสระ อาจทำให้เกิดการจัดตั้งได้ เช่น รอบหน้าพรรค ปชน.ได้รับเลือกตั้ง 200 คน จะได้สิทธิเลือก กมธ.ยกร่าง 10 คน น.ส.พนิดากล่าวว่า แปลว่าเป็นการสะท้อนเสียงของประชาชนอย่างตรงไปตรงมา ทดแทนที่ประชาชนไม่สามารถเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญด้วยตัวเองได้
เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าข้อเสนอที่พิจารณาเมื่อส่งเข้ารัฐสภา อาจถูกติงว่าหนีไม่พ้นการครอบงำของฝ่ายการเมือง น.ส.พนิดาตอบว่า การเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่มีข้อจำกัดจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถตัดขาดจากสภาได้ ต้องใช้สมาชิกรัฐสภาเลือก แต่เลือกอย่างไร เพื่อสะท้อนความต้องการของประชาชนที่สุด จึงเป็นสมการนี้ ซึ่งในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้ใช้เสียงข้างมาก
“ดังนั้น เท่ากับว่าฝ่ายที่ครองเสียงข้างมากจะเป็นคนกำหนดหน้าตา กมธ.ร่างทั้งหมด ทำให้ขาดหลักประกันเสียงข้างน้อยของรัฐสภาเป็นผู้ร่าง แต่การกำหนดสูตร 20 หยิบ 1 ทำให้ สส.และ สว.มีเอกสิทธิ์รวมกลุ่มกับใครก็ได้ที่มีอุดมการณ์เดียวกัน เป้าหมายเดียวกันที่จะส่งคนเป็นตัวแทนร่างรัฐธรรมนูญ คือเป็นหลักประกันทุกคนมีตัวแทนให้รัฐสภารับรอง” น.ส.พนิดาระบุ
นายนรเศรษฐ์กล่าวเสริมว่า กรณีที่สอบถามว่าหากพรรค ปชน.ได้รับเลือกตั้งมา 200 คน จากสูตร 20 หยิบ 1 จะได้ผู้ร่างรัฐธรรมนูญเต็มที่ 10 คน จาก 35 คน ซึ่งไม่สามารถเข้ามาครอบงำ หรือเป็นเสียงส่วนใหญ่ใน กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญได้ จึงรับประกันว่า กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญมีความหลากหลาย และกระจายในสัดส่วนอุดมการณ์มาจากตัวแทนประชาชน
ขณะที่ นายเอกพร รักความสุข สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะโฆษก กมธ. กล่าวว่า สำหรับการพิจารณากำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กำหนดให้ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญถูกจำกัดการเข้าสู่ตำแหน่งการเมือง 3 ปี แต่มีข้อเสนอจาก กมธ.คนอื่นว่า ควรให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดความสบายใจว่า คนทำรัฐธรรมนูญนั้น ไม่มีผลประโยชน์ใด อย่างไรก็ดี ตนยืนยันว่า การทำงานใน กมธ.มีความเห็นพ้องไม่มีความขัดแย้งระหว่าง กมธ.ที่มาจากต่างพรรคการเมือง
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ปชน. ในฐานะผู้นําฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สูตรนี้ให้ความเป็นธรรมในเรื่องของสัดส่วน สส.และ สว.ในสภามากที่สุด เพราะหากใช้เสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา อาจจะเกิดปัญหาเสียงข้างมากลากไป กล่าวคือหากมีกลุ่มการเมืองกลุ่มหนึ่งที่มีจำนวน สส.และ สว.เกินครึ่งหนึ่ง ก็สามารถเลือกตัวผู้ยกร่างได้แบบกินรวบ สูตร 20 หยิบ 1 ทำให้องค์ประกอบของคณะผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญสะท้อนต่อสัดส่วนของ สส.ในสภา ซึ่งเป็นโมเดลที่พรรค ปชน.ได้คิดมาละเอียดรอบคอบดีแล้วว่าเป็นการออกแบบที่สะท้อนเสียงของประชาชนมากที่สุด
ส่วนกรณีกระแสข่าวการเมืองที่มีบางพรรคการเมืองวิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่พรรค ปชน.ทำ เพราะอยากได้ผู้ยกร่างที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน นายณัฐพงษ์ยืนยันว่า สูตรนี้เป็นโมเดลที่ออกแบบภายใต้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และให้มีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดแล้ว พรรค ปชน.เชื่อว่าควรให้สมาชิกรัฐสภาเป็นผู้เลือกคณะยกร่างโดยตรง แต่หากใช้โมเดลที่เรียกว่า ส.ส.ร. แต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตามที่บางพรรคเสนอ ก็จะทำให้ผู้ยกร่างที่แท้จริงห่างกับประชาชน
เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าพรรค ปชน.มีการฮั้วกับพรรค ภท. ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้เรียบร้อยแล้ว นายณัฐพงษ์กล่าวว่า หากติดตามผลการประชุม กมธ.ที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มีการล็อกแต่อย่างใด เพราะสิ่งที่พรรค ปชน.เสนอ เช่น เรื่องสภาที่ปรึกษาการยกร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราต้องการ ดังนั้น ข้อกล่าวหาที่ว่ามีการล็อกหรือการพูดคุยกันมาก่อน ไม่เป็นข้อเท็จจริง เพราะสิ่งที่พรรค ปชน.เสนอไม่ได้เป็นดั่งใจทุกเรื่อง
ขู่ภท.เบี้ยวเจอซักฟอกแน่
นายณัฐพงษ์ยังกล่าวถึงแนวทางการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรค ปชน.ว่า จุดยืนของพรรค ปชน.ต้องมีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในวาระ 2 ก่อนการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ และหลังจากวาระ 2 แล้วต้องเว้นวรรคไปอีก 15 วัน เพื่อให้สามารถผ่านวาระ 3 ได้ภายในสิ้นปีนี้ และคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะสามารถมีมติและยุบสภาได้ภายในมกราคม ดังนั้น หากรัฐบาลไม่ได้เปิดการประชุมสมัยวิสามัญก่อนวันที่ 12 ธ.ค.นี้ พรรค ปชน.จะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทันที
ส่วนกรณีนัดหมายหารือกับนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ หัวหน้าพรรค พท.นั้น หัวหน้าพรรค ปชน.ยอมรับว่า มีการติดต่อและนัดพูดคุยกันจริง แต่เนื้อหาจะเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหลักมากกว่า เพราะในชั้น กมธ.ขณะนี้ รวมถึงการจะผ่านวาระ 2 และ 3 ในที่ประชุมรัฐสภา พรรค พท.เป็นส่วนสำคัญให้กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญเดินหน้าไปได้
หัวหน้าพรรค ปชน.ระบุว่า ในส่วนเรื่องการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นสิทธิ์ของแต่ละพรรค เพราะพรรค พท.เองก็มีจำนวน สส.เพียงพอ ไม่มีเหตุใดที่จะต้องมาขออนุญาตจากพรรค ปชน.ก่อน เพื่อยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแต่อย่างใด แต่หากดูตามกรอบเวลาที่เป็นจริง หากไม่มีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญก่อนการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ หรือถ้ารัฐบาลล้มกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นการทำผิด MOA เราก็จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า หากพรรค พท.ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรค ปชน.จะมีแนวทางลงมติอย่างไร นายณัฐพงษ์ระบุว่า ต้องตอบ ณ ตอนนี้ว่า ขอดูเนื้อหาหลักการว่าอภิปรายเรื่องอะไร
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรค พท. ในฐานะ กมธ.พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กล่าวว่า การทำงานของ กมธ.เป็นไปด้วยความล่าช้ามาก เพราะมีการเแก้ไขทุกมาตรา จากร่างหลักที่รับหลักการมา มีการเสนอรายละเอียดในแต่ละมาตรามาก ประกอบกับวิธีการพิจารณาไม่ตกผลึกชัดเจน กลับไปกลับมา ส่งผลให้การพิจารณาของ กมธ.ช้าลงไปอีก จากเดิมที่มีการตกลงกันไว้ว่า การประชุมจะมีขึ้น 10 ครั้งการพิจารณาในชั้น กมธ.น่าจะแล้วเสร็จทุกมาตรา แต่จนถึงขณะนี้ กมธ.ประชุมไปแล้ว 9 ครั้ง เพิ่งจะพิจารณาได้เพียง 3 มาตรา โอกาสที่การพิจารณาแล้วเสร็จตามกำหนดเวลาจึงเป็นไปไม่ได้
นพ.ชลน่านกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ การเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญที่มีการกำหนดไว้ว่าการพิจารณาในวาระ 2 จะแล้วเสร็จในวันที่ 24-25 พ.ย.ไม่น่าจะทันแล้ว ดังนั้น การเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ในวาระที่ 2 คงเป็นไปตามที่นายภราดร ปริศนานันทกุล กมธ. จากพรรค ภท.ได้แถลงไว้ คือวันที่ 8-10 ธ.ค. ก่อนเปิดการประชุมสมัยสามัญ จากนั้นเมื่อสภาเปิดประชุมสมัยสามัญฯ ในวันที่ 12 ธ.ค.เป็นต้นไป จึงจะไปพิจารณาในวาระที่ 3 ช่วงปลายเดือน ธ.ค. ซึ่งเป็นไปตามไทม์ไลน์ที่พรรค ภท.กำหนด
“ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าเหตุที่พิจารณาช้า เตะถ่วง ตีรวนมาจาก กมธ.จากพรรค พท.พยายามตีรวนในที่ประชุม และดึงช้าในทุกมาตรา เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างร้ายแรง เพราะพรรค พท.เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 66 ไม่ใช่เพิ่งมาคิดกัน แต่เหตุที่ช้าหลายฝ่ายมองว่า บางพรรคการเมืองจะใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวประกันเพื่อแลกเปลี่ยนกับการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้าน ในขณะที่พรรคประชาชนก็จะอ้างว่าไม่ควรยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่แล้วเสร็จ ทำให้ไม่สามารถยื่นอภิปรายรัฐบาลได้ จึงน่าจะเป็นเหตุผลหลัก ทำให้พรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถึงวันนี้ กมธ.ควรเอาความจริงมาพูดกัน ไม่ควรมาสาดโคลนใส่กัน เพราะไม่เกิดประโยชน์กับฝ่ายใดเลย” นพ.ชลน่านกล่าว.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา
แบบพระเมรุมาศเสร็จม.ค. สานพระราชปณิธานผ้าไทย
"อธิบดีกรมศิลป์" เผยแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ “พระพันปีหลวง” แล้วเสร็จ ม.ค.69
หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.
"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.


