ไม่ใช้ภาษีการค้าบีบ ‘อนุทิน’ลั่นทรัมป์-อันวาร์ยัน/ฝ่ายแค้นพาเหรดขยี้รัฐบาล!

“อนุทิน” เผย "อันวาร์" โทร.มาหาอีกรอบ อ้าง “ทรัมป์” หนุนเก็บกู้ทุ่นระเบิด ไม่ผูกปมระงับปฏิญญา เจรจาภาษีการค้าไทย-สหรัฐ ขณะที่ “อันวาร์” ยันคุย "ทรัมป์" เดินหน้าสันติภาพ ไม่เกี่ยวข้องความร่วมมือทางการค้าทุกรูปแบบ โฆษก รบ.ย้ำทั้งมาเลย์-สหรัฐเข้าใจตรงกันแล้ว จี้กัมพูชาออกมารับผิดขอโทษคนไทย  จ่อแถลง 6 แผนรับมือ "ภูมิใจไทย" ฟาดกลับ "เพื่อไทย" คงไม่มีอะไรร้ายแรงกว่า “อังเคิล” ที่รัฐบาลนี้ต้องมาแก้ปัญหาของรัฐบาลก่อน แกนนำ พท.ซัดนายกฯ ขาดความรอบคอบ ไร้วุฒิภาวะ ทำให้ถูกกดดันและเสียเปรียบ ชายแดนตึงเครียดอีก ชาวบ้านผวา หลังได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิดหลายครั้ง พบคลิปทหารกัมพูชาขนอาวุธหนักติดชายแดน

เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย โพสต์ภาพระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ ซึ่งมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศอยู่ด้วย  พร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชี้แจงกรณีที่นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ได้โทรศัพท์มาหาอีกครั้งเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 15 พ.ย. โดยนายอนุทินระบุว่า ในเนื้อหาของการสนทนา ท่านได้แจ้งยืนยันกับตนเองว่า ท่านได้หารือกับนายโดนัลด์ ทรัมป์   ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ได้พูดคุยกับตนแล้วก่อนหน้านี้ ท่านประธานาธิบดีทรัมป์มีความเห็นตรงกันกับจุดยืนของตนว่า การเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม หรือ Humanitarian demining เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่งในปฏิญญาที่ไทยและกัมพูชาได้ลงนามร่วมกัน

ทั้งนี้ ท่านจึงได้ขอให้รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดให้เร็วที่สุด เพราะมีความเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อชีวิตคนของทั้งสองประเทศ  และประธานาธิบดีทรัมป์ได้ยืนยันฝากนายกรัฐมนตรีอันวาร์ให้มาแจ้งผมอีกครั้งว่า

 “สหรัฐอเมริกาจะไม่นำประเด็นการระงับปฏิญญาของไทยมาเกี่ยวข้องกับการเจรจาภาษีการค้าระหว่างไทยและสหรัฐ ที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้”

นายอนุทินระบุอีกว่า ผมยังได้ถามนายอันวาร์ว่า ผมสามารถโพสต์ข้อความนี้ได้หรือไม่ ท่านตอบว่า โพสต์เลยอนุทิน แล้วท่านก็จะโพสต์ยืนยันจากช่องทางการสื่อสารของท่านเช่นกัน จึงขอกราบเรียนมายังพี่น้องประชาชนที่มีความห่วงใยต่อเรื่องนี้เพื่อให้รับทราบโดยทั่วกัน

"อนึ่งจดหมายจากผู้แทนการค้าสหรัฐที่ระบุเรื่องการหยุดเจรจากับไทยได้ถูกพิมพ์ขึ้นก่อนที่ผมจะได้คุยโทรศัพท์กับท่านประธานาธิบดีทรัมป์  เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายนครับ ดังนั้นข้อมูลของผมจึงมีความเป็นปัจจุบันมากกว่าครับ" นายอนุทินระบุ

ด้านนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โพสต์ข้อความผ่าน X เป็นภาษาอังกฤษ แปลเป็นภาษาไทยระบุว่า “ระหว่างการสนทนาของตนกับประธานาธิบดีโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต และนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล พวกเราได้ยืนยันถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการดำเนินการตาม ปฏิญญาสันติภาพกัวลาลัมเปอร์ ให้เกิดผลอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ เราเห็นพ้องกันว่า ประเด็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิดจะต้องมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม และต้องไม่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือทางการค้าในทุกรูปแบบ

"ผมยังคงชื่นชมต่อความตั้งใจส่วนตัวและบทบาทเชิงรุกของประธานาธิบดีทรัมป์ในการผลักดันให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไข” นายอันวาร์ระบุ

'มาเลย์-สหรัฐ' เข้าใจแล้ว

ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการระงับปฏิญญา Joint Declaration ส่งผลกระทบกับการเจรจาภาษีสหรัฐว่า นายอนุทิน นายกรัฐมนตรี ได้ไล่เรียงเหตุการณ์ให้รับทราบแล้ว ว่าผู้แทนการค้าสหรัฐ หรือ USTR ได้ส่งหนังสือมาขอให้ระงับการเจรจาเรื่องภาษีไว้ก่อนจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น หลังจากนั้นนายกฯ ได้พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา พร้อมให้เหตุผลว่า ผู้ที่ทำผิดปฏิญญาไม่ใช่ไทย แต่เป็นกัมพูชาที่ละเมิดข้อตกลง มาวางทุ่นระเบิด เท่ากับผิดข้อตกลงในข้อที่ 2 ซึ่งประเทศไทยยอมเรื่องนี้ไม่ได้ พร้อมย้ำว่า ไทยจะขอเดินหน้าตามแนวทางสันติวิธี โดยจะเดินหน้าต่อได้ก็ต่อเมื่อกัมพูชาแสดงความจริงใจ อาทิ ออกมารับผิด และขอโทษกับญาติของผู้เสียหาย รวมถึงคนไทยอย่างจริงใจ และต้องดำเนินการป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้อีก ทั้งเรื่องการให้ความร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิด

"เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐได้ฟังเหตุผลจากนายกฯ ก็เข้าใจ และเมื่อคืนนี้นายอนุทินก็ได้โพสต์ Facebook อีกว่า นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ มาเลเซีย ได้พูดคุยกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่ามีความเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว และในส่วนของเรื่องภาษีสหรัฐอเมริกาก็ยังมีการเดินหน้าเจรจาต่อไป แยกออกจากเรื่องการจัดการปัญหาชายแดน"

นายสิริพงศ์ยืนยันว่า ทั้งนายกฯ และรัฐมนตรีทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ รวมถึงอธิปไตยของไทย ซึ่งเมื่อเกิดสถานการณ์ขึ้น นายกฯ ได้พยายามแก้ไขปัญหา สิ่งที่เกิดขึ้นต่างกรรมต่างวาระ ยืนยันว่าจะแก้ปัญหาให้ดีที่สุด โดยมีแผนดำเนินการอยู่แล้ว แต่ต้องยอมรับว่าบางเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน แต่ก็ได้รับการยืนยันว่าทั้งมาเลเซียและสหรัฐอเมริกาเข้าใจตรงกันแล้ว

ส่วนที่ก่อนหน้านี้มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความกังวลว่านายกฯ พูดในเชิงท้าทายผู้นำสหรัฐ  นายสิริพงศ์กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาหรือมาเลเซีย ก็ชัดเจนแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีผลอะไร การให้สัมภาษณ์ของนายกฯ เป็นการตอบคำถามสื่อมวลชน ในบริบทที่ว่า หากสหรัฐใช้เรื่องชายแดนมากดดันเรื่องภาษี ซึ่งนายกฯ ได้ตอบไปตั้งแต่แรกแล้วว่า เรื่องนี้ต้องแยกกัน สื่อก็ถามย้ำอีกว่า หากสหรัฐไม่ซื้อสินค้าจากไทย นายกฯ จึงตอบตามหลักของเหตุผล ว่ามีความจำเป็นต้องหาตลาดใหม่เพิ่ม และภายหลัง รมว.พาณิชย์ได้ออกมายืนยัน และชี้แจงว่าการค้าขายกับสหรัฐมีความจำเป็น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องหาทางเลือกอื่นเพื่อขยายตลาดให้กับคนไทย

ถามว่า มีกรอบระยะเวลาหรือไม่ที่จะให้กัมพูชาออกมา นายสิริพงศ์กล่าวว่า ไม่ได้มีกำหนด ทุกเรื่องที่ไทยจะดำเนินการต่อขึ้นอยู่กับกัมพูชา โดยในวันพรุ่งนี้ กระทรวงกลาโหมเสนอจะประชุมเสนอแผนดำเนินการใหม่ ที่จะนำมาจัดการกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา 6 ข้อ และจะแถลงรายละเอียด ว่ามีความแตกต่างจาก 4 แนวทางแรกอย่างไร รวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับภาษีสหรัฐ ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวหานายอนุทินขาดความรอบคอบด้านการสื่อสารระหว่างประเทศ จนทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะถูกกดดันจากหลายฝ่ายว่า เป็นความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง และสะท้อนความพยายามกล่าวหาเพื่อหวังผลทางการเมืองมากกว่าตรวจสอบข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนพูด  ตลอดเวลาที่ผ่านมานายกฯ ได้สื่อสารกับประชาชนอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมาในทุกขั้นตอนในการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา สิ่งที่นายกฯ  ดำเนินการต่อกัมพูชา ไม่ใช่การสร้างความขัดแย้ง แต่เป็นการปกป้องผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของประเทศ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยถูกแทรกแซงหรือย่ำยี

ยก 'อังเคิล' ฟาดพท.

"โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัญหาที่สืบเนื่องจากการละเลยในสมัยรัฐบาลก่อน ซึ่งรัฐบาลปัจจุบันต้องเข้ามาแก้ไข นายกฯ ทำงานโดยรักษาความสมดุลระหว่างความมั่นคงของรัฐ ศักดิ์ศรีของคนไทย และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไม่ได้ใช้อารมณ์หรือหวังผลการเมืองเหมือนที่บางฝ่ายพยายามกล่าวหา ก่อนจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์  อยากให้พรรคเพื่อไทยย้อนดูปัญหาที่ตัวเองเคยก่อไว้ ว่าทำให้คนอื่นต้องมาตามแก้เท่าไร และควรพิจารณาความจริงให้ครบถ้วนก่อนพูด” น.ส.ไตรศุลีกล่าว

น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย โฆษกพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยรุมถล่มนายอนุทินเรื่องภาษีสหรัฐว่าบริหารสถานการณ์บ้านเมืองผิดพลาดไร้เดียงสาว่า อยากจะบอกฝ่ายแค้นว่า ใจเย็นๆ ให้ทำหน้าที่ตรวจสอบแบบฝ่ายค้านไม่ใช่แบบฝ่ายค้าน ให้ดูดีๆ ว่าสิ่งที่นายกฯ พยายามจะสื่อและทำอยู่ อย่างแรกคือ อธิปไตยของชาติ ประเทศไทย คือหัวใจหลักที่นายกฯ ต้องปกป้องให้มากที่สุด เห็นได้ชัดว่านายกฯ และทีมคณะรัฐมนตรีพยายามอย่างที่สุดในการเจรจาปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา คุยระดับทวิภาคีอยู่แล้ว ในส่วนอื่นเป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับทราบและทำงานไปก่อน

"ไม่ใช่เห็นข่าวอะไรแค่ 1 นาที ก็ออกมาตอบโต้กล่าวหา เกินไปนิด อย่าให้ถึงขั้นเป็นฝ่ายแค้น เราเข้าใจบริบทว่าฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่ของตน แต่ก็ควรจะอยู่ในกรอบที่คำนึงถึงว่า บทบาทของนายกฯ ในการทำเพื่ออธิปไตยของชาติ"

เมื่อถามว่า การที่พรรคเพื่อไทยบอกว่านายกฯ พูดไม่สนใจสหรัฐ เหมือนไม่มีความรู้หรือความสามารถทางการทูต น.ส.แนนกล่าวว่า ถ้าให้ตอบแบบแรงๆ “ก็คงไม่มีอะไรร้ายแรงไปกว่าการมีอังเคิลในบริบทของการเมืองไทยที่ผ่านมา” ที่นายกฯ ได้ปฏิบัติ ให้ดูที่บริบท ไม่ใช่แค่ยกเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา ที่ผ่านมานายกฯ ได้ลงไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบทุนระเบิดล่าสุด คนไทยด้วยกันไม่เห็นข่าวนี้ควรจะมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน

ส่วน พท.โจมตีว่าการรักษาอธิปไตยต้องเดินหน้าควบคู่ไปกับเศรษฐกิจด้วยนั้น น.ส.แนนตอบว่า นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ก็เจรจาการค้า ไม่ใช่แค่เฉพาะภาษีสหรัฐ แต่มีการเจรจาการค้ากับประเทศอื่นด้วย  เราเดินหน้าในทุกด้านและพูดคุยทุกประเทศ การยุติ Joint Declaration ไทย-กัมพูชา ไม่ได้กระทบกับเศรษฐกิจ มั่นใจว่าการเดินหน้าเศรษฐกิจยังดำเนินต่อไป

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า การบริหารประเทศต้องตั้งอยู่บนหลักคิดและการประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน ไม่ใช่การตอบสนองด้วยอารมณ์หรือคำพูดที่ขาดการชั่งน้ำหนัก เหตุการณ์ล่าสุดทำให้เห็นว่า การสื่อสารที่ขาดความรอบคอบ หรือการใช้ถ้อยคำที่อาจตีความได้หลากหลาย สามารถส่งผลกระทบในระดับการทูตและเศรษฐกิจได้ทันที ประเทศไทยมีมูลค่าการค้ากับสหรัฐอเมริกาประมาณ 3 ล้านล้านบาทต่อปี แต่สะท้อนถึงรายได้และความเป็นอยู่ของประชาชนหลายสิบล้านคน การสื่อสารทางการเมืองที่เชื่อมโยงประเด็นเศรษฐกิจกับความมั่นคงโดยไม่ประเมินผลกระทบให้รอบด้าน จึงอาจทำให้ความร่วมมือสำคัญหลายด้านชะงักงัน

นายจุลพันธ์ระบุว่า ในอดีตประเทศไทยเคยใช้ทั้งความร่วมมือทวิภาคี พหุภาคีและการทูตเชิงรุก เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกับนานาประเทศบนพื้นฐานของข้อมูลและหลักฐาน ทำให้เราสามารถรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ไว้ได้อย่างต่อเนื่อง แต่ในสถานการณ์ครั้งนี้ประเทศของเรากลับไม่ได้ใช้กลไกเหล่านั้นอย่างเต็มประสิทธิภาพ วันนี้ไทยจึงอยู่ในจุดที่ถูกกดดันทั้งสองด้าน ทั้งจากประเทศคู่กรณีและจากประเทศที่เป็นคู่ความร่วมมือสำคัญ นำพาให้เราสูญเสียความได้เปรียบและต้องเผชิญสถานการณ์ที่ยากลำบาก

พท.ซัดนายกฯ ไร้วุฒิภาวะ

นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า รัฐบาลเพื่อไทยมีการรวบรวมพันธมิตรประเทศต่างๆ เพื่อเดินเกมบนจุดสมดุลระหว่างอธิปไตยและเศรษฐกิจ จนนานาประเทศทั่วโลกพร้อมรับฟังและสนับสนุนประเทศไทยเอาโลกมาล้อมคู่กรณี แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในการบริหารจัดการของรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย คำพูดที่สับสน ไม่มีวุฒิภาวะของนายกฯ และทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศไทย และบางคำอาจเป็นเหตุสุ่มเสี่ยงให้เกิดการเสียดินแดน ผลักพันธมิตรออกห่าง ไม่สนใจหาแนวร่วมทางการทูต จนประเทศไทยเสียเปรียบ ปล่อยให้กัมพูชาติดต่อมาเลเซียกับสหรัฐอเมริกาได้ก่อนเรา ส่วนฝ่ายเรานั่งรอให้เขาติดต่อมา 

นายศึกษิษฏ์กล่าวว่า ผลจากการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นอกจากการเผชิญหน้ากับกัมพูชาแล้ว ยังเจอแรงกดดันจากอเมริกา ทั้งที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดีกว่านี้ โดยไม่เปิดช่องให้ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดยหยิบยกมูลค่าทางการค้าระหว่างประเทศกว่า 3 ล้านล้านบาท ประชาชนหลายสิบล้านคนที่ได้รับผลกระทบ เสียหายทั้งด้านอธิปไตยและเศรษฐกิจ และความร่วมมือในการปราบปรามคอลเซ็นเตอร์  ต้องตั้งคำถามไปยังประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้ได้กระทำ นับเป็นความผิดพลาดเพียงพอที่จะไว้วางใจให้บริหารประเทศต่อไปได้หรือไม่

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายอนุทินต้องทบทวนการทำหน้าที่ของตัวเองขนานใหญ่ว่าทำในสิ่งที่ผิดพลาดและกระทบต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างไรบ้าง การไปประกาศเช่นนั้น ไม่สนแล้วหรือเจรจาภาษีทรัมป์ ขายประเทศนี้ไม่ได้ ก็ไปขายประเทศอื่น ไม่เพียงเป็นถ้อยคำที่ขาดวุฒิภาวะเชิงการเมืองระหว่างประเทศ แต่ยังเป็นการประกาศเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้ประเทศไทยต้องแบกรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทันที รัฐบาลเสียงข้างน้อยจะกลับตัวไปนับหนึ่งสันติภาพใหม่โดยลำพังก็กลับลำบาก จะเดินต่อไปแบบไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาคมโลกก็ไปไม่ถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้นและความเสียหายที่อาจเกิดตามมาในอนาคตจากความผิดพลาดของรัฐบาล จะรับผิดชอบอย่างไร

นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หัวหน้าพรรคไทยก้าวใหม่ กล่าวว่า ประเทศไทยอยู่คนเดียวไม่ได้ต้องพึ่งพามหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐหรือจีน ดังนั้นวิธีการดำเนินนโยบายหรือการสื่อสารทางการทูต ประเทศไทยต้องเฉียบคม หลายประเทศทำได้ดี แม้เขาจะอยู่ในภาวะที่ลำบากกว่าเรา ยกตัวอย่างประเทศเวียดนาม ที่ไม่ได้ดูแค่สหรัฐหรือจีนเท่านั้น แต่ยังมีรัสเซีย เวียดนาม อยู่ตรงกลางของสามมหาอำนาจ ซึ่งทำให้ประเทศเขารวยขึ้น หรือประเทศตุรกีที่อยู่ระหว่างอาหรับ รัสเซียและสหรัฐ ปรากฏว่าเศรษฐกิจของเขาได้รับการเกื้อหนุน ทั้งที่ทั้งสามกลุ่มไม่ถูกกัน จึงต้องเป็นเรื่องของความเฉียบคมทางการทูต

ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นต่อการหารือระหว่างนายอนุทินกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ และนายอันวาร์ เกี่ยวกับข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ไทยมีพยานหลักฐานเพียงพอที่ยืนยันได้ว่ากัมพูชาละเมิดปฏิญญาก่อน ซึ่งเป็นต้นตอของความตึงเครียด จึงเป็นเหตุผลที่ไทยต้องแสดงจุดยืนเข้มแข็ง ขณะเดียวกันสหรัฐควรวางตัวเป็นกลาง และรับฟังข้อเท็จจริงจากทั้งสองฝ่าย การแสดงท่าทีเด็ดขาดของนายกฯ ที่ประกาศ “ระงับข้อตกลง” ไม่ได้เกิดจากความเกรี้ยวกราดโดยไร้เหตุผล แต่เป็นการทำให้ประชาคมโลกเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย การยืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีในครั้งนี้เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่สนับสนุน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศตามแนวชายแดน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังชาวบ้านในพื้นที่หลายรายระบุว่า ได้ยินเสียงดังคล้ายระเบิดจำนวน 5 ครั้งจากฝั่งกัมพูชา ทำให้ประชาชนเกิดความตกใจและวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่อาจบานปลาย ด้านออนไลน์ยังมีคลิปที่ถูกเผยแพร่จำนวนมาก อ้างว่าเป็นภาพทหารกัมพูชาลำเลียงอาวุธหนักเข้าประจำพื้นที่แนวชายแดน พร้อมข้อความประกาศว่า “รอแค่คำสั่ง พร้อมสู้เพื่อชาติ” จากกลุ่มทหารฝั่งกัมพูชา ยิ่งทำให้กระแสความไม่สบายใจในพื้นที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน บริเวณใกล้เขาพระวิหาร ประชาชนฝั่งไทยสังเกตความเปลี่ยนแปลงของกำลังพลกัมพูชา โดยระบุว่า เดิมทหารส่วนใหญ่เป็นทหารสูงวัยหรือแต่งกายไม่ครบชุด แต่ล่าสุดมีการเปลี่ยนกำลังพลเป็นทหารวัยหนุ่ม อุปกรณ์ครบชุด พร้อมยุทโธปกรณ์ดูทันสมัยกว่าเดิม ซึ่งถูกมองว่าเป็นการเสริมกำลังในระดับที่เข้มข้นขึ้น  นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกตจากผู้ติดตามสถานการณ์ว่า พื้นที่เขาพระวิหารอยู่ตรงข้ามกับภูมะเขือในฝั่งไทย ทำให้เกิดการวิเคราะห์ว่า กัมพูชาอาจมีการเคลื่อนไหวเชิงยุทธศาสตร์บางอย่าง ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน

'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง