นายกฯ ยังไม่เห็นหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ "ทักษิณ" รมว.ยธ.ย้ำการพักโทษต้องนอนคุกไม่น้อยกว่า 6 เดือน รีบปัดสั่งทบทวนหลักเกณฑ์ขังนอกเรือนจำไม่เกี่ยวคดีชั้น 14 แต่ทำเพื่อให้ทันสมัย “กฤษฎีกา” เชื่ออุทธรณ์คดี 112 ไม่กระทบสิทธิขอพักโทษ “จุลพันธ์” ท่องคาถาโยนบาป คสช.-รัฐบาลลุงตู่ “ขุนคลัง” ขอเวลาให้สรรพากรศึกษาคำพิพากษาถอนขนห่านทองคำ 1.76 หมื่นล้านบาทก่อน คำตัดสินบอกชัด “แม้ว” เป็นเจ้าของหุ้น แต่ให้ลูกๆ ถือบังหน้า ซัดขาดคุณธรรมทางภาษี ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกจากหาประโยชน์อื่น ธุรกรรมผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง!
เมื่อวันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายหรือยัง โดยนายกฯ หยุดคิดและกล่าวว่า จำไม่ได้ เอกสารที่ต้องนำทูลเกล้าฯ ถวายนั้นเยอะมาก ทั้งเรื่องของพระราชบัญญัติและอื่นๆ ทุกเรื่องเป็นความสำคัญหมด ก่อนที่ตนจะลงนามมีทีมกลั่นกรองกฎหมาย และตนต้องกลั่นกรองใช้ดุลยพินิจของตนเองด้วย
เมื่อถามว่า กระทรวงการคลังได้มีรายงานการเก็บภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาทหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยัง ตนเพิ่งกลับจากต่างประเทศเมื่อคืน เดี๋ยวค่อยถาม ซึ่งรายละเอียดยังไม่ทราบ อ่านแค่จากข่าว
ส่วนกรณีอัยการสูงสุดยื่นอุทธรณ์ในคดีมาตรา 112 ที่มีคนมองว่าเป็นเรื่องการเมืองนั้น นายกฯ หยุดฟังคำถามแต่ไม่ตอบ ก่อนส่ายหน้าและเดินเข้าตึกภักดีบดินทร์
พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงการขอพักโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า ตามเงื่อนไขเวลาต้องรับโทษ 1 ใน 3 ก่อน แต่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน
เมื่อถามว่า กรณีที่นายทักษิณยังมีคดีอื่นๆ ภายนอกเรือนจำ จะได้สิทธิ์ขอพักโทษหรือไม่ พล.ต.ท.รุทธพลกล่าวว่า รายละเอียดตรงนี้ยังไม่ทราบ แต่เรื่องรายละเอียดการพักโทษก็เป็นไปตามนี้
ถามว่า ในช่วงเดือน ธ.ค.ที่มีโอกาสพิเศษจะได้รับสิทธิ์อภัยโทษหรือไม่ พล.ต.ท.รุทธพลตอบว่า ในโอกาสพิเศษต้องเป็นเรื่องที่กรมราชทัณฑ์ทำเรื่องขึ้นมา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 พ.ย. พล.ต.ท.รุทธพลได้ทำบันทึกข้อความถึงปลัดกระทรวงยุติธรรม ขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎ ระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ และแนวทางการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ การพิจารณาการพักการลงโทษ และการกำหนดอาณาเขตในสถานที่อื่นที่มิใช่เรือนจำให้เป็นสถานที่คุมขัง
โดยบันทึกระบุว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และบุคคลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ต้องขัง ซึ่งพบว่ากระบวนการพิจารณาและการตีความระเบียบหลักเกณฑ์อาจก่อให้เกิดความไม่ชัดเจน ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของหน่วยงาน เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความถูกต้อง ชัดเจน รอบคอบ รัดกุม โปร่งใส และเป็นไปตามหลักนิติธรรม จึงขอให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงกฎ ระเบียบ ประกาศ หลักเกณฑ์ และแนวทาง ดังนี้
1.การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เช่น การใช้ดุลพินิจของพยาบาลในการส่งตัวผู้ต้องขังที่มีอาการเจ็บป่วยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำมีความเหมาะสมหรือไม่เพียงใด 2.การพิจารณาการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ เช่น การใช้ดุลพินิจของพยาบาลในการประเมินแบบประเมินคัดกรอง ควรเป็นแพทย์ผู้ทำการประเมินหรือไม่ แบบประเมินคัดกรองที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีมาตรฐานหรือไม่ในการพิจารณากรณีไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือช่วยเหลือตัวเองได้น้อย ตามประกาศกรมราชทัณฑ์
3.การดำเนินการคุมขังสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขังให้พิจารณาทบทวนการดำเนินการ
เกี่ยวกับระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2566 และอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้อง โดยต้องจัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข หรือแนวทางปฏิบัติต่างๆ ในการบริหารเรือนจำ และการบริหารโทษ ตามอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน เพื่อลดโอกาสการใช้ดุลพินิจที่อาจเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขังบางราย ตามมติ ป.ป.ช. และ 4.เรื่องอื่นๆ ที่เห็นควรให้ปรับปรุงแก้ไข จึงเรียนมาเพื่อพิจารณาดำเนินการ แล้วรายงานผลการดำเนินการให้ทราบโดยด่วน
อ้างไม่เกี่ยวชั้น 14
พล.ต.ท.รุทธพลให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงบันทึกดังกล่าว เพราะป้องกันเหตุการณ์ซ้ำรอยชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่าไม่ได้เกี่ยว เป็นการพูดในภาพรวมเฉยๆ เพราะระเบียบเดิมออกและใช้มานานแล้ว และยังไม่อัปเดตเท่าไหร่ ซึ่งการให้ทบทวนครั้งนี้เพื่อให้มีความชัดเจนขึ้น
เมื่อถามย้ำว่า การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำต้องดำเนินการอย่างไรหลังจากนี้ พล.ต.ท.รุทธพลกล่าวว่า ต้องมีการตรวจประเมินโดยแพทย์เท่านั้น จากแต่ก่อนที่เป็นความเห็นของพยาบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกใบตรวจสุขภาพเพื่อส่งตัว ต้องเป็นการทำ ณ ขณะนั้น หรือทำไว้ล่วงหน้าได้ เพราะก่อนหน้านี้มีการทำใบส่งตัวล่วงหน้า พล.ต.ท.รุทธพลกล่าวว่า ต้องเป็นการตรวจสุขภาพและรับรอง ณ ขณะนั้น จะมาทำก่อนไม่ได้
มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 พ.ย. นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม มีคำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่ 233/2568 เรื่อง มอบหมายให้ข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยที่มีความจำเป็นต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีสืบเนื่องจากการจู่โจมตรวจค้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และพบการกระทำผิด เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นธรรมต่อผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จึงมีคำสั่งให้นายมานพ ชมชื่น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกรมราชทัณฑ์ ตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.เป็นต้นไป
ด้านนายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงกรณีการตั้งข้อสังเกตว่าการอุทธรณ์ของอัยการสูงสุด (อสส.) คดี 112 ของนายทักษิณ จะทำให้ไม่สามารถขอพักโทษจากคดีสืบเนื่องจากชั้น 14 ได้จริงหรือไม่ ว่าไม่น่าถูกตัดสิทธิ์การพักโทษ แต่ยังไม่ได้ดูรายละเอียด ขอดูรายละเอียดก่อน จึงไม่กล้าตอบคำถาม เนื่องจากกังวลว่าอาจผิด
“การยื่นอุทธรณ์ไม่ใช่คำพิพากษา ถือว่ายังอยู่ในขั้นตอนการดำเนินคดีอยู่ และการขอพักโทษก็น่าจะได้ ซึ่งการตอบคำถามนี้เป็นการตอบที่ยังไม่ได้ดูข้อกฎหมาย” นายปกรณ์กล่าว และว่า การจะขอพักโทษได้ต้องรับโทษมาแล้ว 1 ใน 3 หรือจำคุกมาแล้ว 6 เดือน ขั้นตอนการพักโทษไม่มีหลักเกณฑ์การจำคุกขั้นต่ำกว่านี้แล้ว
เมื่อถามว่า หากนายทักษิณได้รับการพักโทษออกมา จะสามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้งได้หรือไม่ เลขาธิการกฤษฎีการะบุว่า อันนี้ไปไกลแล้ว ขอดูรายละเอียดก่อน และไม่กล้าตอบ เพราะอาจผิดพลาดได้
ส่วนนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับความเห็นของ อสส. ว่าควรยื่นอุทธรณ์คดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง สกัดนายทักษิณไม่ให้ออกจากเรือนจำในช่วงใกล้การเลือกตั้งว่า ไม่อยากให้เอาประเด็นนี้มาเป็นประเด็นทางการเมือง และพรรคจะไม่ใช้ประเด็นนี้ไปในมิตินั้น แต่ข้อสังเกตของนายชูวิทย์ก็เป็นข้อสังเกตที่สังคมคิดและสงสัยได้ เพราะเหตุการณ์ประจวบเหมาะ 2 คดีในวันเดียวกัน และเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนก็รู้ว่ากำลังเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง เป็นข้อสังเกตที่มีนัย เราก็คงต้องเฝ้าติดตามว่าข้อสังเกตของนายชูวิทย์จะนำไปสู่อะไร มีกระบวนการในการตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นหรือมีความคืบหน้าอย่างไรต่อไป
“พรรคยอมรับว่ามีความผูกพันและสนิทสนมกับครอบครัวชินวัตร แต่สิ่งสำคัญกว่าคือการมองสถานการณ์นี้ด้วยความเข้าใจและเห็นใจ ซึ่งปัญหาทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นจากการรัฐประหาร ทั้งในยุค คสช. และการรื้อฟื้นคดีในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นต้นเหตุให้กระบวนการยุติธรรมในคดีนี้เดินมาถึงปัจจุบัน” นายจุลพันธ์กล่าว
สำหรับประเด็นศาลฎีกาพิพากษากลับในคดีภาษีของนายทักษิณ ต้องจ่ายภาษีจากการขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1.76 หมื่นล้านบาทนั้น นายปกรณ์ระบุว่า กระทรวงการคลังไม่ต้องทำอะไร แต่ต้องขอศาลออกหมายบังคับคดี ซึ่งเป็นกระบวนการปกติไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
ขุนคลังให้รอสรรพากร
เมื่อถามว่า สามารถยึดจากทรัพย์สินของนายทักษิณได้เลยหรือไม่ เลขาธิการกฤษฎีกายืนยันว่า ดำเนินการตามขั้นตอนปกติ และทรัพย์สินที่ได้มาก็ตกเป็นของแผ่นดิน ไม่ใช่กรณีใดกรณีหนึ่ง ส่วนจะใช้เวลาเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการสืบทรัพย์ ต้องถามรายละเอียดจากกรมบังคับคดี
ขณะที่ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และ รมว.การคลัง กล่าวในเรื่องนี้ว่า ได้หารือกับปลัดกระทรวงการคลังว่าเรื่องนี้ต้องทำตามคำพิพากษา โดยได้มอบให้กรมสรรพากรไปพิจารณาในรายละเอียดและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ส่วนขั้นตอนและรายละเอียดต่างๆ นั้น กรมสรรพากรกำลังดูอยู่
ถามว่า ตามขั้นตอนจะเรียกเก็บเงินเมื่อไหร่ นายเอกนิติกล่าวว่า ก็มีกระบวนการ ตอนนี้ให้กรมสรรพาดูรายละเอียดอยู่ ขอเวลาให้กรมสรรพากรศึกษา เพราะคำพิพากษาเพิ่งออกมาเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ซึ่งทุกคดีต้องทำเหมือนกัน
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้องดำเนินการตามขั้นตอน โดยอัยการสูงสุดจะมีการดำเนินการสืบทรัพย์ และเข้าสู่การดำเนินการของกรมบังคับคดี แล้วมาที่การดำเนินการของกรมสรรพากร ยืนยันว่าที่ผ่านมากรมสรรพากรมีแนวปฏิบัติในการฟ้องคดีในเรื่องเหล่านี้เป็นจำนวนมาก
เมื่อถามว่า วงเงินเยอะขนาดนี้จะต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาโดยเฉพาะหรือไม่ รวมถึงต้องมีกรอบเวลาในการดำเนินการอย่างไร นายลวรณกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอให้กรมสรรพากรมารายงาน และเมื่อมีความชัดเจนก็จะแถลงให้รับทราบ
ถามว่า หากทรัพย์สินอยู่ในต่างประเทศจะสืบทรัพย์ได้หรือไม่ นายลวรณกล่าวว่า อัยการสูงสุดสามารถสืบทรัพย์ได้
เมื่อถามว่า กรณีดังกล่าวจะเทียบเคียงกับการยึดทรัพย์ในโครงการจำนำข้าวได้หรือไม่ นายลวรณกล่าวว่า กรณีจำนำข้าว โจทก์ไม่ใช่กรมสรรพากร แต่รอบนี้โจทก์คือกรมสรรพากร ซึ่งเป็นคนละบริบทกัน
สำหรับคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีที่นายทักษิณ โดยนายสมบูรณ์ คุปติมนัส ผู้รับมอบอำนาจช่วง โจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากร จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 4 คน เรื่องภาษีอากรคดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ปลดและยกเลิกหรือเพิกถอนการประเมินของจำเลยที่ 1 ตามหนังสือแจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12 ) ไม่ระบุเลขที่ใบแจ้ง ลงวันที่ 28 มี.ค.2560 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 เลขที่ สภ.3 (อธ.3)/309/2563 ลงวันที่ 25 เม.ย.2560 งดหรือลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้องเมื่อวันที่ 17 พ.ย.นั้น
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.12) เลขที่ ภงด.12-03025250-25700328-001-00005 ลงวันที่ 28 มี.ค.2560 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2-4 ในฐานะคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ สภ.3(อธ.3 )/309/2563 ลงวันที่ 25 เม.ย.2560 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ขณะที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ แต่จำเลยทั้งสี่ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยแยกเป็นประเด็น ดังนี้ ประเด็นที่ 1 ศาลฎีกาต้องส่งคำร้องของโจทก์ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 5/2551 เคยวินิจฉัยไว้แล้วว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฯ มิได้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 2550 จึงไม่มีเหตุส่งคำร้องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ขาดคุณธรรมทางภาษี
ประเด็นที่ 2 เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกำหนดเวลาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ซึ่งเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จากการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797 เมื่อเจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อในใบหุ้น อันเป็นหนังสือสำคัญโดยไม่ทราบมาก่อนว่านายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาถือหุ้นแทนโจทก์ ประกอบกับภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่าโจทก์ยังคงถือไว้ซึ่งหุ้นของชินคอร์ป โจทก์จึงอยู่ในฐานะเป็นตัวการไม่เปิดเผยชื่อที่ยอมให้นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาซึ่งเป็นตัวแทน แสดงออกหน้าเป็นตัวการซื้อขายหุ้น เมื่อคดีนี้โจทก์ได้กลับแสดงตนให้ปรากฏว่าเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงแล้ว นิติกรรมใดๆ เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นดังกล่าวของนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาย่อมผูกพันโจทก์ในฐานะตัวการ ดังนั้น เมื่อเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ออกหมายเรียกนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์ภายใน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ยื่นรายการ จึงถือได้ว่าออกหมายเรียกโดยชอบด้วยกฎหมายและภายในกำหนดเวลา
ประเด็นที่ 3 โจทก์เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร และต้องรับผิดชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นว่า เงินได้พึงประเมินตามความหมายในประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดเท่านั้น แต่หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงินด้วย เมื่อนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาซื้อหุ้นชินคอร์ปมาจากบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด ในราคาหุ้นละ 1 บาท รวมกัน 329,200,000 หุ้น ในขณะที่ในวันดังกล่าวหุ้นชินคอร์ปมีราคาซื้อขายตามกระดานซื้อขายหุ้นรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หุ้นละ 49.25 บาท และในวันเดียวกันนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาขายหุ้นดังกล่าวให้แก่กลุ่มเทมาเส็กในตลาดฯ ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท เมื่อไม่มีเหตุผลอันใดที่บริษัทแอมเพิล ริช อินเวสท์เม้นท์ จำกัด จะยอมขายหุ้นให้นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดถึงสี่สิบเท่า พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นจากธุรกรรมการขายหุ้นดังกล่าวแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์มีเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2549 จำนวน 15,883,900,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 มีอำนาจเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ถูกต้องครบถ้วนได้ การประเมินภาษีชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ฟังขึ้น
ประเด็นที่ 4 กรณีมีเหตุลดหรืองดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มหรือไม่ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า การที่โจทก์ให้บุคคลอื่น รวมถึงนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทาถือหุ้นแทน เป็นการกระทำที่ขาดคุณธรรมทางภาษี และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร ส่งผลให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างถูกต้องและแน่นอนตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย ทั้งเป็นธุรกรรมที่ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่นรวมถึงภาษีเงินได้ และเป็นธุรกรรมที่ทำขึ้นเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง กรณีจึงไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มแก่โจทก์ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


