"อนุทิน" เผยทูลเกล้าฯ ยกฎีกาพระราชทานอภัยโทษ "ทักษิณ" ตามแนวทาง “ทวี” แล้ว ปัด "รมว.ยธ." สั่งปรับปรุงระเบียบราชทัณฑ์รื้อระบบพักโทษนอกเรือนจำสกัด "แม้ว" ช่วย พท.หาเสียงเลือกตั้ง แย้มเตรียมร่าง พ.ร.ฎ.ยุบสภาแล้ว แนะฝ่ายค้านตรวจสอบ รบ.ยื่นซักฟอกแบบไม่ลงมติตาม ม.152 หากใช้ ม.151 ก็เป็นสิทธิของนายกฯ เผย 3 แคนดิเดตนายกฯ ภูมิใจไทย มาครบ หนู-เอกนิติ-ศุภจี “บวรศักดิ์” ชี้ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายยังยุบได้ เหตุต้องอิงข้อบังคับตรวจสอบญัตติก่อน เตือน “วันนอร์” ตีความญัตติซักฟอกอย่างที่เคยทำมา “ปธ.สภาฯ” สวนพิจารณามีความเห็นตามคำเสนอฝ่าย กม. ถือได้ข้อยุติ ย้ำบรรจุญัตติแค่พิธีกรรมทางธุรการ “ศาล รธน.” นัดไต่สวนพยานคดีสถานะ "ภูมิธรรม-ทวี" จุ้นคดีฮั้วเลือก สว. 24 ธ.ค. พร้อมตีตกคำร้อง MOA “หนู-เท้ง” ไม่ใช่ข้อตกลงยินยอมให้ครอบงำ "กมธ.แก้ รธน.” เคาะเวลาทำ รธน.ใหม่ภายใน 360 วัน เตรียมโหวตกำหนดกรอบ “ม.256/26” 20 พ.ย.นี้ รับข้อห่วงใยไม่แก้หมวด 1-2 ไว้พิจารณา
ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 19 พ.ย.2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีการทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าได้ตรวจสอบแล้ว เป็นเรื่องที่ค้างมาตั้งแต่สมัย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อดีต รมว.ยุติธรรม ได้เสนอยกฎีกา ซึ่งเราก็ได้ดำเนินการตามนั้น
ถามว่า นายกฯ ได้ลงนามแล้วเรียบร้อยใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ลงนามเรียบร้อยแล้ว ตามที่ได้มีการดำเนินการก่อนหน้านี้ และได้เสนอขึ้นไป เมื่อถามว่าได้รับทราบผลหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เรามิบังอาจ การเสนอขึ้นไปก็สุดแล้วแต่ขั้นตอน ไม่สามารถก้าวล่วงได้
นายกฯ กล่าวถึงเรื่องเสียงวิจารณ์กระทรวงยุติธรรมให้กรมราชทัณฑ์ทบทวนระเบียบหลักเกณฑ์ และแนวทางการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ เป็นการสกัดนายทักษิณไม่ให้สามารถออกมาช่วยเลือกตั้งว่า ไม่เชื่อว่าใครจะคิดแบบนั้น รัฐบาลนี้เข้ามาเพื่อไม่ให้การใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐในการกลั่นแกล้งคนใดคนหนึ่งที่เป็นคู่แข่งหรือฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เหมือนที่พวกตนเคยโดนมา
“วันนี้ที่เข้ามาตรงนี้ สิ่งที่ควรทำไม่ใช่การแก้แค้นหรือเคยโดนอะไรมาก็จะทำแบบเดิมกลับไป มีแต่จะเข้ามาก็จะทำให้มีความถูกต้อง เป็นไปตามกลไกกฎหมายของผู้ที่มีอำนาจมีบารมี สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้ เรามีความตั้งใจที่จะมาแก้ไข ทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ให้มีความยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย” นายกฯ กล่าว
ถามว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยมองเป็นนัยการสกัดกั้นทางการเมือง นายกฯ กล่าวว่า ไม่มี ตนทำตามกฎหมายทุกอย่าง ต้องไม่เอาสิ่งที่ตนเองชอบทำป้ายว่าคนอื่นจะทำแบบนั้นหลายครั้งแล้ว
นายกฯ กล่าวถึงความพร้อมหากฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ว่า เรามี MOA กับพรรคประชาชน ดังนั้นพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชนรักษาคำพูด และรักษาพันธะใน MOA อย่างเคร่งครัด ส่วนการยุบสภา ตนเคยพูดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้นไม่เกินวันที่ 31 ม.ค.2569 แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องรอไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค.2569 ถ้ามีเหตุที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เพราะตนเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จะมาบอกว่าให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าลงคะแนนเมื่อไหร่ก็แพ้เมื่อนั้น ดังนั้นจึงเป็นรัฐบาลแรกที่ประกาศเรื่องการยุบสภาให้ประชาชนทราบ อะไรที่ทำให้เราทำงานไม่ได้ก็ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน
"ยินดีพร้อมที่จะถูกอภิปราย แต่ถ้ากลัวว่าผมจะหนีก็ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 พวกผมพร้อมจะโต้ตอบอยู่แล้ว แต่ถ้ายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ 151 ต่อให้โต้ตอบดีแค่ไหน เมื่อไหร่จะชนะ โหวตเมื่อไหร่ก็ไม่ได้ ฉะนั้นถ้าอยากให้รัฐบาลโต้ตอบและชี้แจงอย่างชัดเจน ก็ให้ยื่น 152 แต่ถ้าโอเคไม่สนใจอะไรแล้ว เอาเสียงมากล้มเสียงน้อยก็ยื่น 151 ซึ่งรัฐบาลต้องดูตัวเองว่าจะยอมให้เสียงมากมาล้มเสียงน้อยหรือไม่ ไม่ได้เป็นการหนี ซึ่งผมยืนยันว่าไม่ได้หนีเลย เพราะถ้ายื่น 152 จะอยู่จนครบ แล้วจะไปวันที่ 31 ม.ค.2569 แต่ถ้ายื่น 151 ก็เป็นสิทธิ์ของผม" นายกฯ กล่าว
นายกฯเตรียมร่างพ.ร.ฎ.ยุบสภาแล้ว
ถามว่า นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุแค่ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกฯ จะไม่สามารถยุบสภาได้ นายอนุทินกล่าวว่า มีรายละเอียดอยู่ในนั้นเยอะ เมื่อถามว่านายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ระบุต้องตรวจสอบญัตติให้ถูกต้อง และแจ้งนายกฯ ก่อน แบบนั้นนายกฯ จึงจะยุบสภาไม่ได้ นายอนุทินกล่าวว่า มันมีรายละเอียดอยู่ ซักว่าจะยึดความเห็นของนายบวรศักดิ์หรือไม่ นายกฯ ระบุเพียงว่า “ยึดตามอนุทิน”
พอถามว่า ขณะนี้นายกฯ เตรียมร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภาแล้วหรือยัง นายอนุทินยิ้มพร้อมหัวเราะก่อนพยักหน้าแล้วชี้มาที่สื่อที่ถามก่อนตอบว่า “รู้ใจ” จากนั้นได้เดินขึ้นห้องทำงานที่ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า
ต่อมานายอนุทินในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ภท.ว่า แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคมีทั้ง 3 คน ประกอบด้วย ตน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกฯ และ รมว.คลัง และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ โดยทั้ง 3 รายชื่อจะต้องถูกเสนอเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ของพรรค ซึ่งหากทันในวันอาทิตย์ที่ 23 พ.ย.นี้ ก็จะเสนอทันที โดยจะพิจารณาจากกรอบระยะเวลาอีกครั้ง
“ทั้งนายเอกนิติและนางศุภจีเป็นคนที่ทำงานดี เข้าใจงาน ส่วนในมุมการเมืองมองว่าเป็นคนทำงาน ซึ่งในส่วนของนางศุภจีผมไม่ได้ทาบทาม แต่บังคับให้มาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ภท. ซึ่งเป็นการหาแคนดิเดตให้ครบถ้วน 3 คน เนื่องจากแต่ก่อนพรรคยังเป็นพรรคเล็ก จึงมีผมเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียว แต่ตอนนี้พรรคน่าจะดีขึ้น และใหญ่ขึ้น ก็น่าจะมีคนช่วยทำงาน ตอนนี้พูดได้เต็มปากว่านายเอกนิติและนางศุภจีจะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ภท.ก็ได้” นายอนุทินกล่าว
หัวหน้าพรรค ภท.กล่าวว่า ทั้งสองคนเป็นคนทำงาน และตอนที่เชิญมาร่วมงาน ทั้งสองคนก็อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่เวลาก็มีน้อย จากที่รัฐมนตรีหลายคนที่เข้ามาทำงาน ทั้งคนนอกและคนใน ต้องบอกว่าเก๋าเกม เมื่อเข้ามาก็สามารถทำงานได้เลย เป็นนักบริหารมืออาชีพ และเมื่อได้รับการมอบหมายงานก็ทำงานอย่างเต็มที่ ทุกวันนี้แทบไม่ได้เจอหน้ารัฐมนตรีหลายคน มีเพียงแค่การยกหูโทรศัพท์หากันเท่านั้น หากมีปัญหาอะไร แม้อยู่ที่ไหนของมุมโลกก็สามารถติดต่อหากันได้
“เราได้คนที่เก่งๆ คนที่ดีมาทำงานให้บ้านเมือง เราก็สบาย ประเทศก็ดี ประชาชนก็ดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น ได้คนที่เข้าใจคนที่มีประสบการณ์มากเข้ามาทำงาน แล้วเราจะไปมัวหวงอำนาจทำไมมากมาย ไม่ได้หรอก” หัวหน้าพรรค ภท.กล่าว
ถามว่า ในการประชุมใหญ่จะมีข่าวดีที่นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา จะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทยหรือไม่ นายอนุทินพยักหน้ารับพร้อมตอบว่า "อืม" ขอให้รอดูวันอาทิตย์ เมื่อซักว่ารวมถึงนายสนธยา คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีและบ้านใหญ่ชลบุรีด้วยหรือไม่ นายกฯ ย้ำว่า ขอให้รอดูวันอาทิตย์ หากพูดไปแล้วเขาไม่มาจะทำอย่างไร
เวลา 14.25 น. นายอนุทินได้ร่วมถ่ายภาพกับคณะอาจารย์และนิสิตคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่มาเยี่ยมชมและศึกษาดูงานที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล โดยนักศึกษาได้บอกกับนายกฯ ว่า จะเลือกพรรคภูมิใจไทย ถ้ามีโครงการคนละครึ่งพลัสต่อ ทำให้นายกฯ หัวเราะ จากนั้นนักศึกษาถามอีกว่า จะมีโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 3 หรือไม่ นายกฯ จึงกล่าวว่า “ถ้าเลือกกลับมาจะมีเฟส 3, 4, 5”
ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกฯ ในฐานะแกนนำพรรค ภท. พร้อมด้วย น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะหัวหน้าทีม กทม. พรรค ภท. ต้อนรับนางลลิตา ฤกษ์สำราญ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง สส.กทม. ที่มาสมัครสมาชิกพรรคภูมิใจไทย
นายพลพีร์ สุวรรณฉวี สส.นครราชสีมา พรรค ภท. โพสต์ภาพ สส.จาก 4 พรรคการเมือง ประกอบด้วย น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย, นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์, นายศุภโชค ศรีสุขจร สส.นครปฐม พรรคชาติไทยพัฒนา, นายอัคร ทองใจสด สส.เพชรบูรณ์ พรรคพลังประชารัฐ และนายชลัฐ รัชกิจประการ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย พร้อมรูปหัวใจสีน้ำเงิน #ภูมิใจไทย
บวรศักดิ์ชี้ยื่นซักฟอกยังยุบสภาได้
ขณะที่ นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ระบุหากฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 จะทำให้นายกฯ ไม่สามารถใช้อำนาจยุบสภาได้ว่า ข้อบังคับการประชุมสภาเขียนไว้ชัดในข้อ 176 ว่าเมื่อประธานสภาฯ ได้รับญัตติไม่ไว้วางใจแล้วให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาฯ แจ้งให้ผู้เสนอญัตติทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ได้รับญัตติ และในวรรคสองบอกว่า เมื่อประธานสภาฯ ตรวจสอบความถูกต้องของญัตติแล้วให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องเร่งด่วน และแจ้งให้นายกฯ ทราบ
“แปลว่าต้องมีการตรวจสอบว่าญัตตินั้นครบถ้วนถูกต้องสมบูรณหรือไม่ ทำกันอย่างนี้ มาจนถึงรัฐบาลที่แล้ว พอมาถึงรัฐบาลนี้บอกว่าไม่ได้ พอรับปั๊บ ฝ่ายค้านยื่นปั๊บ ยุบสภาไม่ได้เลย ด้วยความเคารพ ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง เพราะที่รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ชัด ในมาตรา 151 วรรคสองว่า เมื่อมีการเสนอญัตติตามวรรคหนึ่งแล้ว จะมีการยุบสภาไม่ได้ เว้นแต่มีการถอนญัตติหรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งตามวรรคสี่” นายบวรศักดิ์กล่าว
รองนายกฯ กล่าวว่า ความจริงตนเป็นเขียนมาตรานี้เองในรัฐธรรมนูญปี 2540 ก่อนหน้านั้นตั้งแต่ปี 2475-2534 ไม่มีบทบัญญัติห้ามยุบสภาทั้งที่มีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว เพราะเคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นในปี 2538 ซึ่งมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ และมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 17 ถึง 18 ธ.ค.38 เรื่อง สปก.4-01 เมื่ออภิปรายเสร็จสิ้นลง พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งประกาศงดออกเสียงในการลงมติ และรัฐมนตรีพรรคนั้นจะถอนตัวทั้งหมด เป็นเหตุให้นายกรัฐมนตรีในเวลานั้นยุบสภาผู้แทนราษฎรตอนเวลา 12.00 น. ของวันที่ 19 ธ.ค.38 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนการลงมติในเวลา 13.30 น. เป็นเหตุให้สภาผู้แทนราษฎรในเวลานั้นไม่สามารถลงมติได้ ตนจึงเสนอให้บัญญัติไว้ในมาตรา 185 วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญ 2540 ว่า "เมื่อได้มีการเสนอญัตติแล้ว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรมิได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติหรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงตามวรรคสาม" ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างอำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจอันเป็นการตรวจสอบรัฐบาลของสภาผู้แทนราษฎร และอำนาจของฝ่ายบริหารในการถ่วงดุลสภาด้วยการยุบสภาบทบัญญัติมาตรานี้ของรัฐธรรมนูญปี 40 ก็มาปรากฏในรัฐธรรมนูญปี 50 มาตรา 158 วรรคหนึ่ง และในรัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับปัจจุบันในมาตรา 151 วรรคสอง
“ปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลานี้ก็คือ การห้ามยุบสภา เพราะการยื่นญัตติไม่ไว้วางใจดังกล่าว จะเริ่มเมื่อใด และสิ้นสุดลงเมื่อใดนั้น ถ้าพิจารณาแต่ตัวหนังสือของมาตรา 151 ที่ใช้คำว่า "เมื่อได้มีการเสนอญัตติตามวรรคหนึ่งแล้ว จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ก็อาจจะบอกว่า ยื่นญัตติไม่ไว้วางใจก็ห้ามยุบสภาแล้ว ยื่นปั๊บก็ห้ามยุบปุ๊บ ไม่ต้องดูอย่างอื่น นี่เป็นการตีความที่ง่ายแบบตัวอักษรล้วนๆ ไม่ได้ดูอย่างอื่นเลย คนไม่ต้องเรียนกฎหมายก็พูดได้ ดูจะง่ายเกินไป แต่ต้องอ่านให้จบวรรค เขาบอกว่าห้ามยุบสภา เว้นแต่จะมีการถอนญัตติ หรือการลงมติไม่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ก็จะเข้าใจได้ว่าจะเริ่มห้ามยุบได้ต่อเมื่อญัตตินั้นถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ บรรจุระเบียบวาระและแจ้งให้นายกฯ ทราบตามข้อบังคับการประชุม” รองนายกฯ กล่าว
นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ที่ต้องใช้ข้อบังคับการประชุมสภาว่าด้วยการเปิดประชุมสภา ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 151 วรรคสอง เขียนเรื่องการถอนญัตติ ซึ่งการถอนญัตติไม่เคยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญตรงไหนเลย ซึ่งการถอนญัตติจะถอนได้หรือไม่ได้ ต้องย้อนไปข้อบังคับการประชุมสภาเท่านั้น เพราะในรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติเรื่องนี้ไว้แต่อย่างใด ฉะนั้น ที่พูดว่าต้องดูรัฐธรรมนูญซึ่งใหญ่กว่าข้อบังคับเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องดูข้อบังคับ จึงไม่ถูกต้อง เพราะการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจจะทำได้หรือไม่ ต้องใช้ข้อบังคับการประชุมสภาข้อ 62 ซึ่งบอกว่า “การถอนชื่อจากการเป็นผู้ร่วมกันเสนอญัตติใด หรือจากการเป็นผู้รับรองกระทำได้เฉพาะก่อนที่ประธานสภาฯ สั่งบรรจุญัตติเข้าระเบียบวาระการประชุม ในกรณีที่ประธานสภาฯ สั่งบรรจุญัตตินั้นเข้าระเบียบวาระการประชุม แล้วจะถอนชื่อได้ต่อเมื่อได้รับการยินยอมของที่ประชุม” ดังนั้น เมื่อต้องไปดูข้อบังคับการประชุม ก็ต้องเอาข้อ 62 มาใช้ ประกอบรัฐธรรมนูญมาตรา 151 วรรคสอง จะเอาเฉพาะข้อ 62 มาใช้ข้อเดียว แต่ไม่นำข้อบังคับการประชุมข้อ 176 มาใช้ด้วยก็ดูจะประหลาด เพราะเลือกใช้เฉพาะข้อบังคับที่เป็นประโยชน์ อันไหนไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ใช้ โดยมาบอกว่ารัฐธรรมนูญใหญ่กว่า
สำหรับข้อบังคับข้อ 176 ซึ่งอยู่ในหมวด 9 ส่วนที่ 1 การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจบัญญัติว่า "เมื่อประธานสภาฯ ได้รับญัตติตามข้อ 175 แล้ว ให้ทำการตรวจสอบ หากมีข้อบกพร่องให้ประธานสภาฯ แจ้งให้ผู้เสนอทราบภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับญัตติ และวรรคสองระบุว่า เมื่อประธานสภาฯ ได้ตรวจสอบความถูกต้องของญัตติแล้ว ให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องด่วนและแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ เหตุที่ข้อ 176 เขียนแบบนี้ เพราะในอดีตญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ยื่นนั้นมีความไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ไม่สมบูรณ์หลายประการ ล่าสุดญัตติที่ยื่นต่อรัฐบาล น.ส.แพทองธาร สั่งให้ไปแก้หลายครั้ง หรือสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ 3 ครั้ง แต่ทุกครั้งมีการถอนชื่อ ทำให้ญัตตินั้นไม่ครบจำนวนผู้ยื่น แปลว่าไม่ใช่ว่าพอยื่นปั๊บ ไม่ต้องตรวจสอบอะไรเลย แสดงให้เห็นว่าแล้วลำพังการยื่นญัตติตามมาตรา 151 วรรคสองแต่เพียงอย่างเดียว โดยยังไม่รู้เลยว่า ญัตติดังกล่าวมีความถูกต้องสมบูรณ์ตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมหรือไม่ ซึ่งข้อบังคับข้อ 176 จึงบังคับประธานสภาฯ ให้ตรวจสอบ เมื่อตรวจสอบแล้วไม่มีข้อบกพร่องก็บังคับประธานสภาฯ ทำ 2 เรื่องคือ บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเป็นเรื่องด่วน และแจ้งให้นายกฯ ทราบ เพื่อบอกนายกฯ ว่าบัดนี้อำนาจยุบสภาหมดแล้ว และให้เตรียมตัวมารับการอภิปราย
“ฉะนั้นผมเห็นว่าสิ่งที่ประธานสภาฯ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือทำมาโดยตลอดจนรัฐบาลแพทองธารนั้น ต้องทำต่อ จะมาเปลี่ยนการตีความบอกว่าฝ่ายกฎหมายเสนอว่าไม่ต้องดูญัตติสมบูรณ์หรือไม่สมบูรณ์ ยื่นวันไหนก็เอาวันนั้น ยุบสภาไม่ได้ มันต้องเอาญัตติที่สมบูรณ์แล้ว บรรจุเข้าระเบียบวาระแล้ว และแจ้งให้นายกฯ ทราบ ไม่อย่างนั้นจะแจ้งให้นายกฯ ทราบได้อย่างไร แล้วอำนาจยุบสภามันจะหมดไปได้อย่างไร เพราะนายกฯ ยังไม่ได้รับแจ้ง ดังนั้น ผมว่าตีความตามที่เคยทำมาเถอะครับ เป็นการตีความตามรัฐธรรมนูญและข้อบังคับที่ชอบแล้ว แต่ฝ่ายกฎหมายที่มาเสนอต่อประธานสภาฯ ในคราวนี้ดูแปลกๆ ย้ำว่าตีความไปแบบที่เคยทำมาเถอะครับ” นายบวรศักดิ์ระบุ
วันนอร์สวนความเห็นปธ.สภาถือยุติ
อย่างไรก็ตาม นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวถึงนายบวรศักดิ์ตั้งข้อสังเกตสวนทางการใช้อำนาจยุบสภาว่า นายบวรศักดิ์เป็นนักกฎหมาย ก็สามารถตีความไปตามความเข้าใจ แต่สภาได้ตีความตามรัฐธรรมนูญ โดยตนได้มอบหมายให้สำนักกฎหมายพิจารณาและหาข้อมติในประเด็นดังกล่าว ซึ่งฝ่ายกฎหมายได้ประชุมและลงมติร่วมกันว่า การยุบสภาจะกระทำได้โดยตลอดในฐานะที่เป็นรัฐบาล แต่จะกระทำไม่ได้เมื่อฝ่ายค้านจำนวน 1 ใน 5 ได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 หนึ่งวรรค เพราะรัฐธรรมนูญระบุว่า เมื่อมีการยื่นอภิปรายไว้วางใจ ตามเสียงฝ่ายค้านจำนวน 1 ใน 5 แล้ว รัฐบาลจะยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ส่วนข้อโต้แย้งที่บอกว่าจะต้องรอให้ประธานบรรจุญัตติก่อนนั้น ถือเป็นกระบวนการทางธุรการ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้เปิดให้มีการตรวจสอบในกระบวนการก่อน แต่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่า เมื่อยื่นญัตติแล้ว รัฐบาลจะไม่สามารถยุบสภาได้
ประธานสภาฯ กล่าวว่า ญัตตินี้จะไม่ดำเนินการได้ เมื่อผู้ยื่นขอถอนญัตติออกไป หรือกรณีที่ชื่อไม่ครบ 1 ใน 5 ก็จะให้สมาชิกเติมชื่อเข้ามาภายใน 7 วัน แต่หากครบกำหนด 7 วันแล้ว ยังไม่เติมชื่อเข้ามา ประธานสภาฯ ก็ไม่บรรจุญัตติ แต่กรณีนี้ฝ่ายค้านยังสามารถยื่นญัตติเข้ามาใหม่ในภายหลังได้ ตรงนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 151 วรรคสอง ส่วนใครจะตีความอย่างไร ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล” นายวันมูหะมัดนอร์กล่าว และว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้กำหนดไว้เหมือนสมัยก่อน ที่แม้ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติแล้ว และพรุ่งนี้จะมีการอภิปรายฯ แต่ตอนเย็นรัฐบาลก็สามารถประกาศยุบสภาได้ หรือจะเปิดอภิปรายในเวลา 10 โมง แต่รัฐบาลประกาศยุบสภาตอน 8 โมงก็ทำได้
“การตีความอาจจะไม่ตรงกันได้ เช่นเดียวกับคำพิพากษาของศาลต่างๆ ก็อาจจะไม่ต้องตรงกัน ขึ้นอยู่กับว่าท้ายที่สุดจะไปสิ้นสุดที่ใด ซึ่งในส่วนของสภาก็เป็นไปตามฝ่ายกฎหมายที่มีการตีความ ซึ่งเมื่อส่งให้ประธานสภาฯ พิจารณา และมีความเห็นตามคำเสนอของฝ่ายกฎหมาย ก็ถือว่าได้ข้อยุติ ยืนยันว่าผมถือเอาตามรัฐธรรมนูญและผลของฝ่ายกฎหมาย หากมีการลงมติแล้วคะแนนไว้วางใจของรัฐบาลไม่ถึงเกณฑ์ก็ยุบสภาไม่ได้ แต่ถ้าคะแนนผ่านเกณฑ์รัฐบาลก็ทำงานต่อหรือจะยุบสภาก็ได้” ประธานสภาฯ กล่าว
ที่รัฐสภา นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สว. ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม รัฐสภา กล่าวหลังประชุม กมธ.ว่า ที่ประชุมมีข้อสรุปที่ชัดเจนต่อกรอบการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ต้องทำให้แล้วเสร็จภายใน 360 วัน ซึ่งเป็นไปตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่พรรค ภท.เสนอ ส่วนประเด็นเรื่องสูตรการคำนวณของที่มา กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ ด้วย 20 หยิบ 1 ที่มีการท้วงติงจากบางฝ่ายที่มองว่าไม่ช่วยกันเสียงข้างมากลากไปได้จริงนั้น กมธ.ไม่ได้นำมาพิจารณาหรือทบทวนแต่อย่างใด
“การประชุมในวันที่ 20 พ.ย.นี้ กมธ.จะพิจารณาในประเด็นสำคัญ ในร่างมาตรา 256/26 ว่าด้วยกรอบของการเขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่คุยกันมานานแล้ว ดังนั้นคงถึงเวลาที่ต้องใช้มติของ กมธ.ตัดสินแล้ว และไม่มีเหตุอะไรที่ต้องดึงเวลา” นายพิสิษฐ์กล่าว
ถามกรณีมีนักวิชาการเสนอควรเขียนกรอบว่าไม่แก้หมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 เพราะหากไม่เขียนชัดอาจทำให้เป็นปัญหาได้ โฆษก กมธ.กล่าวว่า เป็นประเด็นที่รับทราบแล้ว ดังนั้น กมธ.ต้องคุยกัน
วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของ สว. ที่ขอให้ศาล รธน.วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ เนื่องจากผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) เป็นการแทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการตรวจสอบการเลือกสมาชิกวุฒิสภา อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ขัดต่อหลักการแบ่งแยก อำนาจและฝ่าฝืนหลักนิติธรรม จึงถือได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5)
โดยศาล รธน.อภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา กำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลในวันพุธที่ 24 ธ.ค.68 เวลา 10.30 น. ณ ห้องพิจารณาคดีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ โดยศาลจะอนุญาตให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนและฟังคำวินิจฉัยเป็นรายบุคคล
อย่างไรก็ตาม ก่อนพิจารณาเรื่องนี้ นายสราวุธ ทรงศิวิไล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ขอถอนตัวจากการพิจารณาคดี เนื่องจากได้รับความเห็นชอบเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจากวุฒิสภา ที่ประชุมคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วไม่อนุญาต เพราะไม่เกี่ยวข้องต่อการพิจารณาคดี ทั้งนี้ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 33 และมาตรา 34
นอกจากนี้ ศาล รธน.พิจารณาคำร้องที่ขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 กล่าวอ้างว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ผู้ถูกร้องที่ 1 และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ผู้ถูกร้องที่ 2 ร่วมกันจัดทำบันทึกข้อตกลง (MOA) ตกลงให้ สส.ปชน.ให้ความเห็นชอบผู้ถูกร้องที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกฯ และให้ผู้ถูกร้องที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายค้านเพื่อนำไปสู่การแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยมิได้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน โดยมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันไว้ล่วงหน้า เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 114 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49
ศาล รธน.พิจารณาแล้วเห็นว่า MOA ระหว่างผู้ถูกร้องที่ 1 กับผู้ถูกร้องที่ 2 เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องทั้งสองกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และเมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้ว คำขออื่นย่อมเป็นอันตกไป.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก
'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง
เปิดสภา10ธค. แก้รธน.วาระ2 แนะโหวตต้นมค.
"ปธ.วันนอร์” นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้ รธน.วาระสอง
ปลุกชรบ.ชายแดนพร้อมรุกรบ
กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121,089,300 บาท
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
จ่ายศพละ2ล.อีก8จว. ขยายเยียวยานํ้าท่วมใต้ ตั้ง5อนุครบวงจรใช้ทุกที่
นายกฯ ประเดิมนั่งหัวโต๊ะถอดบทเรียนรับมือมหาอุทกภัย ตั้ง 5 อนุกรรมการแก้ครบวงจร พยากรณ์-เตือนภัย-เยียวยา


