แจงยิบสางผบ.คุกฉาว 28พ.ย.สรุปชงรมว.ยธ.

โฆษกกรมราชทัณฑ์เผยคืบหน้าปมตรวจสอบ "คุก VIP เทา" แย้มไล่กวดเอกสารลาพักร้อน “มานพ” อดีต ผบ.คุก-เอกสารการเงินปรับปรุงห้องลับใต้บันได อาสาตรวจสอบปมรับเงิน 4 หมื่นล็อกคิวเยี่ยมบอสกันต์ ขอโซเชียลส่งสลิปโอนเงินตัวจริง จะได้รู้เป็นญาติใคร แต่ถ้าไม่ใช่ให้รับผิดชอบด้วย

เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร นายยุทธนา   นาคเรืองศรี รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ รักษาการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีคุกวีไอพีจีนเทาแล้วนั้น ซึ่งเมื่อพบข้อเท็จจริง จากนี้จะขยับไปสอบสวนเรื่องวินัยร้ายแรงและโทษทางอาญา ซึ่งตอนนี้มีเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้ถูกคำสั่งย้ายไปแล้วรวมทั้งสิ้น 20 ราย 

ประกอบด้วย ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เลขานุการ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร  หัวหน้าฝ่ายควบคุมแดน และเจ้าหน้าที่ผู้คุม แต่จะมี ผบ.เรือนจำฯ และเลขานุการ ผบ.เรือนจำฯ ที่ถูกคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งคำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้มายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือมามีส่วนได้ส่วนเสียต่อคำให้การของเจ้าหน้าที่ตัวเล็ก เพื่อที่เขาจะได้กล้าตอบคำถามของพนักงานสืบสวนดีเอสไอ และหลักฐานเอกสารต่างๆ จะได้ไม่ถูกซุกซ่อนด้วย

โฆษกกรมราชทัณฑ์ได้เล่าถึงไทม์ไลน์การเปิดปฏิบัติการตรวจค้นจู่โจมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 พ.ย.ว่า การเข้าตรวจค้นจู่โจมได้มีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่เรือนจำอื่นๆ กว่า 100 นาย โดยมีการตรวจทุกแดน ยกเว้นแดน 3 และแดน 5 เนื่องจากกำลังไม่เพียงพอ ซึ่งในการเข้าตรวจค้นแดนขัง จึงทำให้พบสิ่งของต้องห้ามและสิ่งของเกินความจำเป็น จนนำมาสู่คำสั่งย้ายเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จำนวน 20 ราย ทั้งนี้ ในวันอังคารที่ 18      พ.ย.68 ตนได้มีการตรวจค้นจู่โจมอีกครั้ง โดยเน้นเฉพาะแดนที่มีผู้ต้องขังจีนเทาอยู่ และจัดระเบียบเรือนจำ เอาสิ่งของเครื่องใช้ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ไม่อนุญาตตามกฎหมายราชทัณฑ์ออกมาให้หมด ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น พัดลม เนื้อ อาหารสด ไฟแช็ก เหล็กแหลม มีดดัดแปลง มีดคัตเตอร์ เป็นต้น ซึ่งเจอสิ่งของต้องห้ามเหล่านี้ในแดนใดก็ต้องโยกเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบแดนนั้นออกไป

สำหรับโทษทัณฑ์ของผู้ต้องขังระหว่าง หากพบ ผู้ต้องขังรายดังกล่าว ก็จะโดนจะมีเพียงการภาคทัณฑ์และงดเยี่ยม แต่ถ้าจะย้ายเรือนจำฯ ต้องเป็นอำนาจศาลเท่านั้น นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีจำนวนกว่า 270 ราย  และที่ระบุว่าเป็นเรือนจำพิเศษ ก็พิเศษจริง เพราะต้องมีการควบคุมผู้ต้องขังระหว่าง และมีส่วนที่ต้องไปขึ้นศาล ซึ่งผู้ต้องขังระหว่างในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครจะต้องถูกเบิกตัวไปศาลถึง 18 ศาล ดังนั้น เมื่อผู้ต้องขังต้องถูกเบิกตัวออกไป เรือนจำจะส่งเจ้าหน้าที่ไป 3 ราย และถ้าหนึ่งวันมีหลายคน เราก็ต้องใช้เจ้าหน้าที่เรือนจำออกไปจำนวนมาก ซึ่งก็จะทำให้เหลือเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในเรือนจำน้อย

นายยุทธนากล่าวด้วยว่า หลักของการเดินทางไปยังต่างประเทศของข้าราชการ มีดังนี้ หากเป็นผู้บริหารระดับต่ำกว่าซี 9 จะต้องขออนุญาตอธิบดี   แต่ถ้าระดับสูงกว่าซี 9 จะต้องขออนุญาตปลัดกระทรวง เพราะอาจเป็นการละเว้น ปล่อยปละละเลยการปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะถ้าหากไม่ใช่การไปราชการหรือการประชุม จะต้องขออนุญาตทุกครั้ง ถ้าหากส่วนกลางสั่งการใดมาแล้วตัวผู้บังคับบัญชาไม่อยู่ ก็จะมีเหตุความผิดได้ จึงต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่เดินทางไปต่างประเทศนั้น มีจุดหมายปลายทางไปที่ใด ไปที่ซ้ำๆ หรือไปที่ใหม่ เราจะดูในเชิงของการใช้ตรรกะ ถ้าไปพื้นที่เดิมซ้ำๆ จะเป็นเรื่องปกติหรือไม่ เพราะถ้าเราไปเที่ยว เราคงไม่เที่ยวที่เดิมซ้ำๆ ถ้าจะซ้ำ จะใช้วิธีเที่ยวปีหน้าแทน

กรณีที่มีกระแสข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่า นายมานพ อดีตผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้มีการเดินทางไปยังต่างประเทศประมาณ 70-80 ครั้งใน 1 ปี ส่วนนี้ยังไม่มีข้อมูล แต่เชื่อว่าข้อมูลที่สื่อได้มาคือแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ อย่างไรก็ตาม จะต้องไปตรวจสอบแฟ้มข้อมูลการแจ้งขอลาพักร้อนของนายมานพ ซึ่งส่วนนี้ก็ยังไม่ได้รับข้อมูลเช่นเดียวกัน แต่ตามหลักการแล้วในเวลา 1 ปี จะสามารถขอลาพักร้อนได้ 20 วัน (ไม่นับรวมวันหยุด) ซึ่งหากเดินทางไปในวันหยุด ไม่ถือว่าเป็นการลางาน แต่ตอนนี้ก็ยังติดปัญหาเรื่องการค้นหาเอกสาร เพราะขณะนี้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเอกสารเหล่านี้ก็ถูกโยกย้ายเช่นกัน ทำให้การตรวจสอบเอกสารล่าช้า

นายยุทธนายังกล่าวถึงเรื่องนายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ ที่ถูกกล่าวหาพาดพิงว่ามีการปรากฏตัวอยู่ในแดน 1 เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ไม่มีการเปิดให้เยี่ยมญาติ ทั้งยังมีการกล่าวถึงสลิปโอนเงินจำนวน 40,000 บาท จากภรรยาของนายกันต์ ที่โอนไปยังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ อ้างว่าเป็นเงินล็อกคิวตีเยี่ยมในวันอาทิตย์ว่า ขอตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยการถามกลับไปยังคนที่เป็นคนโพสต์ข้อมูลดังกล่าว ว่าได้รับข้อมูลมาจากแหล่งไหน หรือเพจใด ยิ่งกรณีที่เป็นการโพสต์ข้อความและรูปภาพสลิปการโอนเงิน   ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นของบุคคลใด เพราะว่ามีการปิดชื่อและสกุล แต่เปิดเพียงยอดจำนวนเงิน 

"ผมขออาสาตรวจสอบให้เลย โดยผมจะหาชื่อในสลิปโอนเงินให้ได้ว่าเป็นคนหรือญาติของใคร ขอแค่เอาข้อมูลมาให้ผม ผมจะเอาไปดูในทะเบียนงานเยี่ยมญาติของผู้ต้องขังให้เลย แต่ถ้ามันไม่ใช่ เขาจะรับผิดชอบให้หรือไม่ ในการกล่าวพาดพิงเช่นนี้"

ส่วนกระแสข่าววงจรปิดว่า "บอสกันต์" เดิน "อู๋อี๋" กับผู้หญิงในแดน 1 หรือไม่นั้น ก็เชื่อว่าเป็นเพียงจินตนาการ ผู้หญิง 1 คนจะกล้าเข้าไปปรากฏในเรือนจำชายที่มีผู้ต้องขังจำนวนมากได้อย่างไร  รวมถึงปฏิเสธข่าวลือว่ามีการนำนักโทษหญิงจากทัณฑสถานหญิงกลางเข้าไปในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร

ด้านนายไพฑูรย์ มงคลหัตถี หัวหน้าผู้ตรวจราชการกรม กรมราชทัณฑ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กล่าวว่า สำหรับห้องลับใต้บันไดที่ถูกใช้เป็นห้องรับรองแขกนั้น พบว่าเป็นห้องที่มีมากับเรือนจำอยู่แล้วแต่เดิม ห้องนี้ใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์ระงับเหตุ พวกโล่ กระบอง หมวก จึงต้องไปตรวจสอบดูหนังสือว่ามีการปรับเปลี่ยนสภาพห้องอย่างไรหรือไม่ และมีการเริ่มใช้ผิดวัตถุประสงค์เมื่อใดอย่างไร ซึ่งต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ไม่เคยมีใครรู้ถึงห้องดังกล่าว แต่ในวันเข้าตรวจค้นจู่โจมจึงพบ ซึ่งลักษณะของห้องเป็นห้องที่ไม่สะดุดตามากนัก แต่ถ้าเดินเข้าประตูก็เจอเลย ดังนั้น หากเจอเอกสารแล้วไม่ปรากฏว่ามีการขอทำเรื่องปรับปรุงห้อง มีความเป็นไปได้ว่าเป็นการดำเนินการเองของผู้บัญชาการเรือนจำฯ ซึ่งต้องขยายต่อว่าแหล่งที่มาของเงินในการปรับปรุงห้องมาจากที่ใด

ขณะที่ นายกลยุทธ พานาสันต์ ผอ.กองทัณฑวิทยา ระบุว่า การปรับปรุงซ่อมแซมเรือนจำ  จะต้องมีการขออนุญาตกรมราชทัณฑ์ทุกครั้ง ส่วนเหตุการณ์ว่าใครเป็นคนไปเบิกตัวผู้ต้องขังจีนเทาออกจากแดนขังเพื่อไปยังห้องลับใต้บันไดนั้น พบข้อมูลว่าคนที่ไปรับเป็นคนใกล้ชิดของนายมานพ  ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่สามารถเดินผ่านได้ทุกแดนในเรือนจำ และเป้าหมายคือแดน 4 ซึ่งปัจจุบันหัวหน้าควบคุมแดน 4 รายนี้ได้ถูกคำสั่งโยกย้ายไปแล้วใน 20 รายชื่อก่อนหน้านี้ โดยในคำให้การของพยาน มีการระบุว่าเจ้าหน้าที่รายนี้อ้างว่า “นายสั่งให้มาเบิกตัวผู้ต้องขัง” ซึ่งในวันดังกล่าว นายมานพอยู่ในเรือนจำจริง เจ้าหน้าที่พัศดีเวรจึงเชื่อ แต่ถ้าผลสอบบอกว่าพัศดีรู้เห็น ต้องถูกตรวจสอบด้วยเช่นกัน

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันศุกร์ที่ 28 พ.ย.นี้ นายไพฑูรย์จะต้องรายงานความคืบหน้าการตรวจสอบให้ รมว.ยุติธรรมรับทราบ ซึ่งคาดว่าจะมีความคืบหน้าในบางส่วน และหากผลวินัยออกมาแล้ว พบว่าบุคคลใดที่เข้าข่ายความผิดทางคดีอาญาด้วย ต้องดำเนินการทั้งหมดต่อไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.