กกต.พร้อมเลือกตั้ง/พท.กั๊ก

กมธ.แก้ รธน.เครื่องร้อน เผยได้ข้อสรุปทุกมาตรา รอเข้าวาระ 2 ขณะที่ พท.หัวชนฝาตั้ง ส.ส.ร. ยืนยันสงวนความเห็นนำไปอภิปรายแก้  รธน.วาระ 2-3 ชงแก้สูตร 20 หยิบ 1 ให้เพิ่มผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ มาถ่วงดุล กั๊กยื่นอภิปราย อ้างกลัวตกเป็นจำเลยการเมืองหากอนุทินยุบสภาฟ้าผ่า ด้าน กกต.โวหนักพร้อมเลือกตั้งทุกเมื่อ “ส้ม-น้ำเงิน” กอดคอกันเฮ MOA รอดบ่วงศาล

เมื่อวันพุธ ที่รัฐสภา นายนรเศรษฐ์ ปรัชญากร  สว. และ น.ส.พนิดา มงคลสวัสดิ์ สส.สมุทรปราการ พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐสภา ร่วมกันแถลงความคืบหน้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายนรเศรษฐ์กล่าวว่า ที่ประชุม   กมธ.พิจารณาครบทุกมาตราแล้ว วันนี้ (26 พ.ย.)  จะเป็นการทบทวนถ้อยคำ และเชิญผู้แปรญัตติมาชี้แจง ซึ่งหวังว่าทุกอย่างจะทำให้เสร็จได้ภายในวันนี้ เพื่อที่จะส่งให้ประธานรัฐสภาบรรจุวาระต่อไป

เมื่อถามว่า ส่วนการเปิดประชุมสมัยวิสามัญวันที่ 10-11 ธ.ค. จะเพียงพอหรือไม่นั้น นายนรเศรษฐ์กล่าวว่า ที่ประชุม กมธ.ยังไม่ได้เริ่มจัดเวลา แต่ได้คำนวณไว้ว่า ถ้าการพิจารณาในวันที่ 10 ธ.ค.และ 11 ธ.ค.ไม่เพียงพอ ก็จะใช้วันที่ 12 ธ.ค.ที่เป็นวันเปิดสมัยประชุมสภาสามัญพอดี เพื่อจะได้พิจารณาต่อไปได้เลย

ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ระบุว่า กรรมาธิการของพรรคเพื่อไทยจึงสงวนความเห็นว่า ขอให้มี ส.ส.ร.ตามร่างที่เราเคยนำเสนอ เพราะเห็นว่าจะเป็นคำตอบของสภาที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เราเชื่อว่า ส.ส.ร.จะทำหน้าที่ได้ดีกว่ามีเพียงกรรมาธิการ ส.ส.ร.ที่เสนอโดยพรรคเพื่อไทยให้มีการเลือกตั้งโดยประชาชนมา 300 คน รัฐสภาคัดเลือกให้เหลือ 100 คน เป็น ส.ส.ร. จากนั้น  ส.ส.ร.จะตั้งกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา

นายชูศักดิ์กล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่ 2 เมื่อกรรมาธิการไม่เห็นชอบให้มี ส.ส.ร. และกำหนดให้มีกรรมาธิการ 2 ประเภท คือกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการรับฟังความเห็นและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน กรรมาธิการชุดละ 35 คน แต่เราเห็นว่าเขาตัดการเลือกตั้งโดยประชาชนออก จึงไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่ยึดโยงกับประชาชน การให้รัฐสภาคัดเลือกโดยตรงด้วยระบบ 20 หยิบ 1 เสี่ยงทำให้ในที่สุดผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่จะมีขึ้น จะเป็นผู้ร่างรัฐธรรมนูญของรัฐสภาเสียงข้างมาก เราจึงได้สงวนความเห็นในประเด็นนี้ไว้ด้วย

"แทนที่จะใช้ 20 หยิบ 1 ทั้งหมด เราเสนอให้มาจากรัฐสภาเพียง 25 คน จึงต้องใช้สูตรคำนวณ 28 หยิบ 1 แต่ที่เหลืออีก 10 คน ให้มาจากการแต่งตั้งโดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ให้เป็น 35 คน เพราะเราต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถมาถ่วงดุลในกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เป็นกรรมาธิการของรัฐสภาเสียทั้งหมด ส่วนคณะกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ ก็ใช้วิธีแบบเดียวกัน  คือให้มาจากการคัดเลือกขององค์กรหรือสมาคมต่างๆ ด้วย 10 คน" นายชูศักดิ์กล่าว

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย  กล่าวว่า เราจึงเสนอสงวนความเห็นดังนี้ เรื่องที่มาของผู้เป็นกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ และกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ ซึ่งมีที่มาจะแตกต่างกับร่างของกรรมาธิการ แต่ส่วนของตนคือมีลักษณะเป็นการทั่วไป ตามความเชี่ยวชาญ และแบ่งสัดส่วนชัดเจนคือ คุณสมบัติทั่วไป 20 คน และผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาต่างๆ อีก 15 คน

นพ.ชลน่านกล่าวว่า ส่วนกรณีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ในสัดส่วนกรรมาธิการยกร่างฯ  และกรรมาธิการรับฟังความเห็นฯ นั้น กรรมาธิการทำร่างแบบเปิดกว้างให้มีเฉพาะเรื่องสัญชาติการเกิด คือสัญชาติไทย มีอายุ 18 ปีขึ้นไป แต่ส่วนตัวเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญ การกําหนดถิ่นที่อยู่ภูมิลําเนามีผลสําคัญ จึงขอสงวนความเห็นไว้ว่า ผู้ที่จะเข้ามาเป็นจะต้องมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย หรือมีทะเบียนบ้านในประเทศไทยที่ตรวจสอบได้ แม้ตัวอยู่ต่างประเทศ แต่ต้องมีทะเบียนบ้านในประเทศ เพื่อเป็นหลักประกันในการตรวจสอบ เรื่องความเป็นอยู่ และที่มาที่ไป ความรับผิดรับผิดชอบที่เกิดขึ้น จะต้องติดตามได้

นพ.ชลน่านระบุว่า สำหรับการคัดเลือกกรรมาธิการของรัฐสภา เพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมาธิการ สูตร 20 หยิบ 1 นั้น เราเห็นภาพแล้วว่าอนาคตรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้นอย่างไร หากผ่านวาระ 2 เราพอเห็นเงาแล้วว่า กรรมาธิการ 35 คนนั้น จะถูกเสมือนจัดตั้งในระบบรัฐสภาชุดหน้า และเห็นภาพว่าใครคุมเสียงข้างมาก ซึ่งเสียงข้างมากก็ย่อมเลือกกรรมาธิการยกร่างฯ ในสัดส่วนที่เป็นกรรมาธิการเสียงข้างมากได้เช่นกัน แม้มีเพียงแค่ 20 คน ก็สามารถกําหนดเกณฑ์วิธีการเขียนรัฐธรรมนูญด้านใดด้านหนึ่งได้อยู่แล้ว

"เราจึงเป็นห่วง และเป็นที่มาที่ผมจะสงวนความเห็น ให้เลือกจากรัฐสภาโดยการลงคะแนนจากเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่แสนยากนี้มาใช้  เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นไปไม่ได้เลย คือการปกป้องรักษารัฐธรรมนูญให้อยู่ ซึ่งมีหลักการว่า ทุกภาคส่วนของสมาชิกรัฐสภาต้องให้ความเห็นชอบ คือมีเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่ง และต้องมี สว. เห็นชอบด้วยในกึ่งนั้น แต่ข้อเสนอของผมใช้แค่ 1 ใน 5 หรือคือ 40 คน และสัดส่วนฝ่ายค้านอีกไม่น้อยกว่า 20% มาเลือก 1 คน เชื่อว่าเสียงข้างมากไม่สามารถครอบงําชี้นําได้ ถ้า สส. สว. ตามสัดส่วนดังกล่าวไม่เห็นด้วย ก็จะไม่มีทางได้เป็น"  นพ.ชลน่านกล่าว

กั๊กยื่นอภิปราย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคเพื่อไทยจะชะลอการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจใช่หรือไม่ เพื่อให้รัฐสภาได้พิจารณาวาระ 2 และ 3 ต่อไป นายชูศักดิ์ตอบว่า  ข้อสรุปในขณะนี้คือเราเข้าใจว่าจะยังไม่ยื่นจนกว่าจะถึงวาระ 2 เสียก่อน แต่หลังจากนั้นจะยื่นหรือไม่ยื่น ก็เป็นเรื่องที่พรรคกําลังพิจารณาในรายละเอียดอยู่

"สิ่งที่สําคัญที่สุดคือเราไม่อยากเห็นว่าการยื่นหรือไม่ยื่นจะเป็นการขัดขวางการอภิปรายในวาระ 2 เช่นหากเราไปทําอะไรแล้วท้ายที่สุดมีการยุบสภา  ก็จะไปอ้างว่าเพราะพรรคเพื่อไทยจะยื่น" นายชูศักดิ์กล่าว

ที่โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง อบต.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 11 ม.ค.2569 ว่า เราได้ตื่นตัวและสื่อสารไปยังพื้นที่และหน่วยงานองค์การบริหารส่วนตำบลที่จะทำการเลือกตั้ง รวมทั้งถ้าจะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ซึ่งเป็นชุดความรู้เดียวกัน อีกทั้งปฏิทินงานก็ชัดเจนตามกฎหมายอยู่แล้ว และเราเองก็ได้ทำไปตามปกติ เราจึงมีความพร้อมในทุกๆ การเลือกตั้ง

เมื่อถามถึงช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่ ที่เตรียมตัวจะสมัครเลือกตั้งท้องถิ่น ต้องระมัดระวังด้วยหรือไม่ นายแสวงกล่าวว่า การแจกของถ้าอยู่ในช่วงประกาศให้มีการเลือกตั้งอย่างไรก็ผิดอยู่แล้ว  ซึ่งกำลังครบวาระอยู่แล้ว แต่ไม่ว่าจะแจกของในช่วงเวลาไหน มีคนร้องเรียนแน่ แต่ต้องดูว่าข้อเท็จจริงเกิดขึ้นอย่างไร

ทั้งนี้ นายแสวงยังกล่าวถึงความพร้อมเลือกตั้งทั่วไปหากรัฐบาลยุบสภาว่า เราพร้อม ถ้าวันพรุ่งนี้ยุบเราก็พร้อม เราไม่รู้ว่าจะวันไหน แต่เราพร้อม  พร้อมทุกเงื่อนไข ทั้งทำประชามติด้วย แต่ต้องเป็นเวลาตามกฎหมาย

นายแสวงยังกล่าวถึงการแบ่งเขตเลือกตั้งทั่วไปว่า ถ้ามีการยุบสภา ถ้าก่อนปีนี้ก็จะใช้จำนวนประชากรของปี 67 ซึ่งเราเตรียมไว้แล้ว แต่ถ้าหลังจากปีใหม่ต้องใช้ประชากรสิ้นปี 68 ต้องแบ่งเขตใหม่ จริงๆ เราเห็นจำนวนประชากร ปี 67 แล้วปี 68 ก็คงไม่ได้ต่างกันมาก อาจจะมีบางเคสที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย มีเพิ่มมีลด จังหวัดหนึ่งเพิ่งก็จะไปลดอีกจังหวัดหนึ่ง

ติดปีก MOA

วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ในคดีที่ บริษัท ไอเอ็มที กรุ๊ป จำกัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 กล่าวอ้างว่า การกระทำของพรรคประชาชน ผู้ถูกร้อง ที่จัดทำบันทึกข้อตกลงทางการเมือง (MOA) กับพรรคภูมิใจไทย เป็นการทำข้อตกลงนอกกรอบรัฐธรรมนูญ ผูกพันอำนาจอธิปไตยของประชาชนและองค์กรตามรัฐธรรมนูญล่วงหน้าโดยไม่ผ่านกระบวนการปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญ หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง นอกจากนี้ ผู้ถูกร้องสนับสนุนนโยบายสกุลเงินดิจิทัลของรัฐ และแนวคิดการคลังแบบกระจายศูนย์ กระทบต่อหลักความมั่นคงทางเศรษฐกิจและอธิปไตยทางการคลังของรัฐ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 และมาตรา 174 ละเมิดหลักการมีส่วนร่วมของประชาชนตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 77 เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองในฐานะวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีหน้าที่ดำเนินการเพื่อการปฏิรูปประเทศ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213

โดยศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นของผู้ร้องเกี่ยวกับการจัดทำบันทึกข้อตกลงทางการเมือง (MOA) ซึ่งเป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกันของผู้ถูกร้องกับพรรคภูมิใจไทย ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่าผู้ถูกร้องกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดมีหนังสือแจ้งว่า การกระทำของผู้ถูกร้องยังไม่เข้าข่ายเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง จึงมีคำสั่งไม่รับดำเนินการตามที่ร้องขอ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ในคดีที่นายสุรพล ผิวบาง และนายอธิทัชร์ โภควรรณวิทย์ ผู้ร้อง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 โดยกล่าวอ้างว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 มาตรา 14 (24) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 มาตรา 26 และมาตรา 252 คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่สั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องทั้งสอง ไว้เป็นการชั่วคราวเป็นระยะเวลา 1 ปี และการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกา ผู้ถูกร้องที่ 2 ที่สั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ร้องทั้งสองเป็นระยะเวลา 10 ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา เป็นอันใช้บังคับมิได้ เนื่องจากเป็นการจำกัดสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

หนูคาดเบลต์กั๊กยุบสภา12ธ.ค.

"อนุทิน" ส่งสัญญาณ 12 ธ.ค. คาดเข็มขัดนิรภัย ปัดญาติดีเพื่อไทยหลีกทางยื่นซักฟอก บอกทำงานทุกวันไม่ได้คุย ขีดเส้นอยู่ไม่เกิน 31 ม.ค.