กำชับงบปี70ต้องโปร่งใส

นายกฯ มอบนโยบายงบฯ ปี 70 เม็ดเงิน 3.788 ล้านล้านบาท กำชับโปร่งใสตรวจสอบได้ นำไทยสู่เวทีโลกอีกครั้ง บ่นพึมอยากจะนามสกุลหลีกภัย แต่กลายเป็น "เจอภัย" เจอเข้าไป 4 ภัย ลั่นการซื้ออาวุธยังจำเป็น พิสูจน์แล้วเรือประมงเอาไปรบไม่ได้ "ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ" เผยหลังจากนี้จะทำงานใกล้ชิดกับปัญหาและประชาชนมากขึ้น โดยไม่มีคำว่าหอคอยงาช้าง

เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2568 ที่ห้องรอยัล จูบิลี ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานในงานมอบนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วม

นายอนุทินกล่าวมอบนโยบายว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 โดยยึดแนวทางจากแผนการคลังระยะปานกลาง  ซึ่งอยู่ในช่วงปี 2570-2573 ปีนี้แม้จะเป็นงบประมาณที่ถูกจัดทำแบบขาดดุล แต่รัฐบาลก็ตั้งใจที่จะลดการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในอนาคต และรักษาสัดส่วนหนี้สาธารณะให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสม โดยอยู่บนหลักการรักษาวินัยการเงินการคลัง รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งปีงบประมาณ 2570 เป็นปีที่ประเทศไทยเจอกับความท้าทายทุกด้าน และต้องใช้งบประมาณอันมหาศาลในการปรับตัวป้องกันภัยพิบัติและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ

ขณะเดียวกันภาครัฐต้องปรับตัวให้ทันสมัย โดยการนำระบบดิจิทัลและเทคโนโลยีมาใช้ในการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพ มีการติดตามและประเมินผลเพื่อใช้จ่ายงบประมาณอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ ดังนั้นงบประมาณปี 2570 เราจะต้องตอบโจทย์ได้ครบ สร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจ การดูแลสังคม และการรักษาวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด

นายอนุทินกล่าวว่า รัฐบาลได้กำหนดนโยบายสำคัญที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศออกเป็น 5 ด้าน  ดังนี้ 1.ด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลจะดำเนินมาตรการให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างเป็นระบบ โดยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะสั้น ควบคู่ไปกับการวางรากฐานเศรษฐกิจในระยะยาวตามนโยบาย Quick Big Win ซึ่งในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการเติบโตในช่วงไตรมาสที่ 4 ได้แก่ กระตุ้นกำลังซื้อโดยเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, โครงการคนละครึ่งพลัส, โครงการเที่ยวดีมีคืน มีการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจของเราไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท

2.ด้านความมั่นคง รัฐบาลมุ่งเน้นแนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหาข้อพิพาทระหว่างประเทศของเราและประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ยังมุ่งดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นำประเทศไทยกลับคืนสู่จอเรดาร์อีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจและสร้างบทบาทประเทศไทยในเวทีโลก

3.ด้านสังคม เราจะจัดการกับปัญหาเร่งด่วนอย่างสแกมเมอร์ หรือการหลอกลวงทางเทคโนโลยี อาชญากรรมข้ามชาติ ยาเสพติด รวมถึงการแก้ปัญหาการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือพวกพ้อง โดยต้องยึดหลักนิติธรรมและความโปร่งใสเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน

4.ภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นโยบายที่ได้แถลงมานี้ ปีนี้อาจจะต้องมีการมุ่งเน้นในเรื่องของการแก้ปัญหา 4 ภัย

"ที่ผมได้กล่าวเมื่อสักครู่ ผมอยากจะนามสกุลหลีกภัย  แต่กลายเป็นนามสกุลเจอภัย เจอเข้าไป 4 ภัย คือภัยเศรษฐกิจ ภัยความมั่นคง ภัยสังคม และภัยธรรมชาติ"

นายอนุทินกล่าวต่อไปว่า สำหรับภัยความมั่นคงเรามีปัญหาข้อพิพาทกับกัมพูชา ซึ่งเห็นถึงความเสียสละทุ่มเทอดทนเป็นอย่างยิ่งของคนไทย ตลอดจนความอดทนความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาปกป้องอธิปไตย รักษาบ้านรักษาเมือง ของทางกองทัพ ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง และฝ่ายปกครอง

"ในการพัฒนาประเทศและพัฒนาทุกอย่างในความเจริญของประเทศ แต่เราต้องดูด้วย สมัยก่อนเราอาจจะคิดว่าซื้อทำไมอาวุธทำได้หรือไม่ ซื้อทำไมอาวุธเดี๋ยวนี้เขารบกับใคร เป็นเรื่องเศรษฐกิจทั้งนั้น เป็นดิจิทัลหมดแล้ว ไม่มีแล้วการเผชิญหน้า เรือรบอะไรก็ไม่ต้องซื้อ เอาเรือประมงอะไรไปสู้ก็ได้ วันนี้พิสูจน์หมดแล้วว่าทุกอย่างยังเหมือนเดิม  ยังเกิดขึ้นได้หมด ดังนั้นการพัฒนาความมั่นคง พัฒนากองทัพก็ต้องเร่งให้เกิดความพร้อมด้วย ฉะนั้นการจัดทำงบประมาณปี 2570 นี้ จึงขอให้สำนักงบประมาณร่วมมือและดูถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล"

ทั้งนี้ งบประมาณรายจ่ายปี 2570 กำหนดกรอบวงเงินงบประมาณไว้ที่ 3.788 ล้านล้านบาท ต้องไม่เพิ่มรายจ่ายประจำที่เป็นภาระงบประมาณในระยะยาวด้วย ข้อจำกัดของวงเงินงบประมาณรัฐบาลขอความร่วมมือจากทุกท่าน ให้ร่วมกันปรับเปลี่ยนการทำงานของภาครัฐ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด ต้องเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

นายกฯ กล่าวด้วยว่า สุดท้ายนี้ตนยังให้ความเชื่อมั่นกับพวกท่าน รัฐบาลจะยึดหลักการทำงานที่จะดำรงไว้ซึ่งการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยึดมั่นในหลักนิติธรรม การบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวในงานปาฐกถาพิเศษ 'คู่หูเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน (Fiscal-Monetary Synergy in Sight' ในหัวข้อสนทนา ‘คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน’ ว่า  นโยบายการเงินและนโยบายการคลังจะต้องสอดประสานกัน  เพื่อเดินหน้าในการฟื้นและกระตุ้นเศรษฐกิจไทย โดยยืนยันว่านโยบายการเงิน ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังต้องมีอิสระในเชิงเครื่องมือ แต่ในแง่มุมของเศรษฐกิจในฐานะที่รับผิดชอบนโยบาย ทั้งคลังและ ธปท.จะต้องสอดประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยในส่วนนโยบายการคลังยืนยันจะเดินหน้าอย่างเข้มแข็งภายใต้กรอบวินัยการคลังอย่างเข้มข้น

ขณะที่นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าฯ ธปท. เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ธปท.และกระทรวงการคลังทำงานสอดประสานกันด้วยดีมาตลอดไม่มีปัญหา ทั้งหมดทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่ โดยหลังจากนี้ ธปท.จะมีการปรับบทบาท ไม่ได้ดูเพียงนโยบายการเงิน หรือด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจมหภาคแต่เพียงอย่างเดียว แต่พร้อมที่จะใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ ขับเคลื่อนนโยบายการเงิน ควบคู่กับการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการเร่งผลักดันมาตรการแบบเฉพาะเจาะจง เพื่อเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย

"ยืนยันว่าหลังจากนี้แบงก์ชาติจะเข้ามาทำงานใกล้ชิดกับปัญหา ใกล้ชิดกับสังคม และใกล้ชิดกับประชาชนมากขึ้นโดยไม่มีคำว่าหอคอยงาช้าง เพราะหวังว่านโยบายการเงินจะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยประชาชน และช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้มากขึ้น ภายใต้ความมีอิสระในการตัดสินใจใช้นโยบายการเงิน ที่จะไม่ใช่อิสระแบบหลุดลอย แต่ต้องมีเป้าหมายและคำนึงถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย" ผู้ว่าฯ ธปท.ระบุ

นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มธุรกิจการเงิน เกียรตินาคินภัทร  กล่าวในหัวข้อ ‘วิเคราะห์เศรษฐกิจไทยปีม้าไฟ จะ ‘ปัง’ หรือต้อง ‘ระวัง’ ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์’ ในงานปาฐกถาพิเศษ ‘คู่หูเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติสู่ความยั่งยืน (Fiscal-Monetary Synergy in Sight’ จัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569 มีแนวโน้มการเติบโตช้า โดยคาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) จะขยายตัวที่ 1.6-1.8% ลดลงจากคาดการณ์ในปี 2568 ที่ 2% และยังเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญปัญหาความท้าทายต่อเนื่องจากปีนี้

 “ปีหน้าเศรษฐกิจไทยโตช้า เพราะบุญเก่าอ่อนแรงและบุญใหม่ยังไม่มี คำถามคืออะไรจะเป็นเครื่องยนต์ใหม่ที่ช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว หลังจากที่เครื่องยนต์หลักอย่างการท่องเที่ยว และความสามารถในการผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ คำตอบคือ ตอนนี้ไทยยังไม่เจอว่าอะไรจะเป็นเครื่องยนต์ในการดึงให้เศรษฐกิจกลับขึ้นไป” นายพิพัฒน์กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน

'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ 'เบน สมิธ' ต้องรุกกลับปราบสแกมเมอร์ให้สิ้นซาก

'จตุพร' แนะ 'อนุทิน' อย่าพะวงกับรูปถ่ายร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อย่ามัวแต่พูดอธิบายภาพ อ้างไม่สนิท จี้ปฏิบัติให้จริง รุกกลับปราบ'แก๊งสแกมเมอร์' ให้ราบคาบจากไทย ลั่นรู้นะ คนปล่อยรูปหวังทำลายการเมือง