เพื่อไทยขู่ยื่นฟันจริยธรรมก่อนดันซักฟอก!

"ไตรศุลี” โพสต์ อุ๊ย! สมัยเป็นเลขาฯ  มท.1 ยืนยันข่าว "อนุทิน" ปฏิเสธสัญญาณบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ให้สัญชาติ "เบน สมิธ" 2 ครั้ง ทำให้โกรธแล้วเขี่ย ภท.ออก "พท." จ่อร้องศาล รธน.เอาผิดจริยธรรม รมต. ก่อนยื่นซักฟอกต่อ "สุทิน"   รอดูถกร่าง รธน.วาระ 2 ก่อนเคาะวัน เตือนฝ่ายค้ำระวังล้มทับกันเอง “อนุสรณ์” ดักคอความกลัวทำให้เสื่อม อย่าชิงยุบสภาหนี คนร้อยเอ็ดนับหมื่นร่วมเวทีปราศรัยเพื่อไทยหนุนพี่น้อง "สินธุไพร" ขณะที่ "ณัฐวุฒิ" ปลุกสู้ระบบน้ำเงินกินรวบ "พีระพันธุ์" นำ  รทสช.คัดคนร่วมอุดมการณ์สู้ศึกเลือกตั้ง ลั่นใครเป็นลูกน้องนายทุนเชิญออกไป 

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล  เลขาธิการนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมแชร์โพสต์ข้อความข่าวที่นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ หรือ หมาแก่ ผู้ดำเนินรายการข่าวอาวุโส  เปิดเผยเบื้องหลังกรณีกระทรวงมหาดไทย ยุคอนุทินปฏิเสธการขอสัญชาติไทยของนายเบน สมิธ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า “ยุคอนุทินเป็น รมว.มหาดไทย เบน สมิธ ขอสัญชาติไทย 2 ครั้ง แต่ถูกปฏิเสธและตีตกทั้งสองครั้ง ทั้งที่มีสัญญาณจากบ้านจันทร์ส่องหล้า นั่นทำให้บ้านจันทร์ส่องหล้าโกรธและเขี่ยภูมิใจไทยออก”

 โดย น.ส.ไตรศุลีระบุข้อความว่า “อุ๊ยยยยย ตอนนั้นดิฉันเป็น เลขานุการ รมว.มหาดไทย ค่ะ”

ด้านนายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงความคืบหน้าการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า พรรคเพื่อไทยขอดูทิศทางการอภิปรายในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 2 ก่อน จากนั้นจึงจะประเมินสถานการณ์กันว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อเลย  หรือยื่นหลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ผ่าน เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอด ดังนั้นหากฟังการอภิปรายในวาระ 2 แล้ว ก็พอจะประเมินได้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 จะผ่านหรือไม่ แล้วจะกำหนดวันเวลาที่จะยื่นอีกครั้ง

"ก่อนการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทยจะยื่นร้องศาลรัฐธรรมนูญเอาผิดจริยธรรมกับรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลก่อน ส่วนจะมีใครบ้างนั้น  เชื่อว่าสังคมพอคาดเดาได้ ทั้งเรื่องคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี พฤติกรรมก่อนและหลังการเป็นรัฐมนตรี ซึ่งคุณสมบัติมิชอบมีอยู่หลายคน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ก็อยู่ในข่ายด้วย" 

นายสุทินกล่าวอีกว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลที่มีประเด็นและข้อมูลเยอะที่สุดจากรัฐบาลที่เคยถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจมา วันนี้เรามีแต่คิดว่าจะตัดประเด็นไหนออก เพราะมีเรื่องเยอะจริงๆ เช่น เรื่องการจัดทำงบประมาณที่รัฐบาลชุดนี้อนุมัติงบแบบคาใจ ทำประชาชนตาค้าง เรื่องการจัดการเป็นเจ้าภาพกีฬาซีเกมส์ ซึ่งก็มีแต่ปัญหา รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยเวลาถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เขาจะยกธงท้าสู้  แอ่นอกไม่กลัวการตรวจสอบ แสดงความมั่นใจว่าไม่ผิด แต่รัฐบาลชุดนี้กลับยกธงขาวเตรียมเผ่น เป็นเรื่องแปลกที่สุดไม่เคยพบเจอ 

"ที่มาบอกว่าถ้าหากพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปราย จะยุบสภาหนีนั้น ท่านขู่เราเหมือนท่านภูมิใจทั้งที่เป็นเรื่องน่าอาย ต้องไว้เชิงบ้าง ส่วนเมื่อพรรคเพื่อไทยยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลแล้ว พรรคประชาชนจะร่วมด้วยหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ ขณะนี้พรรคประชาชนยังมีท่าทียึกยัก เราก็ไม่รอเดินหน้าเอง พวกท่านก็ตอบสังคมให้ได้ หากจะยังเป็นฝ่ายค้ำแล้วตัวเองดีขึ้นก็ไปค้ำ ระวังค้ำกันไปมาจะล้มทับกันเอง" นายสุทินกล่าว

ดักคออย่ายุบสภาหนี

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวว่า พท.จัดเตรียมขุนพลอภิปรายในการประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 2 เพื่อเดินหน้าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่นายอนุทินกลับส่งสัญญาณหลายครั้งถึงการเตรียมการที่จะยุบสภา หาก พท.ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ความกลัวทำให้เสื่อม นายอนุทินไม่ควรยุบสภาหนีการตรวจสอบ ไม่ต้องกลัวว่า พท.ในฐานะพรรคฝ่ายค้านจะใช้โอกาสในการอภิปรายแก้ไขรัฐธรรมนูญ อภิปรายความล้มเหลวของรัฐบาลเสียงข้างน้อย สิ่งที่นายอนุทินในฐานะหัวหน้ารัฐบาลเสียงข้างน้อยพึงทำ คือเร่งประสานขอความร่วมมือจากพรรคฝ่ายค้ำใน MOA ให้การันตีพร้อมค้ำรัฐบาลนายอนุทินทุกสถานการณ์

 “พรรคเพื่อไทยมีหลายฉากทัศน์ในการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แต่หัวใจสำคัญต้องเป็นการยื่นอภิปรายที่ประชาชนได้ประโยชน์ ปัญหาความเดือดร้อนต้องได้รับการแก้ไข รัฐบาลเสียงข้างน้อยอย่าชิงยุบสภาหนีปัญหาหนีการตรวจสอบเร็วเกินไปจนความเดือดร้อนของประชาชนไม่ได้รับการแก้ไข” นายอนุสรณ์กล่าว

ที่โรงเรียนพนมไพรวิทยาคาร อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย พร้อมด้วย น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย และ น.ส.ชญาภา สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด และรองโฆษกพรรค พท. ลงพื้นที่ อ.พนมไพร อ.อาจสามารถ และ อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมปราศรัยพูดคุยกับประชาชนนับหมื่นคนที่มาร่วมรับฟังการปราศรัย

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การเมืองวันนี้ประชาธิปไตยกำลังถอยหลัง จึงไม่สามารถปล่อยไปแบบนี้ได้ ดังนั้น พท.จึงจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างแน่นอน และถ้ารัฐบาลยุบสภาหนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ จากนายกฯ ชื่อหนู จะเปลี่ยนสระอูเป็นสระอี กลายเป็นนายกฯ หนี ถ้ามาลงเลือกตั้งขอเป็นนายกฯ อีกสมัย แล้วชาวบ้านถามว่าเพิ่งยุบสภาหนีมาจะกลับเข้าไปอีกทำไม หากปล่อยบ้านเมืองเป็นไปแบบนี้ต่อไป จะเป็นพิษภัยกับประชาธิปไตย โดยเฉพาะขณะนี้กำลังเกิดระบบกินรวบโดยรัฐบาลสีน้ำเงิน ซึ่ง สว.ก็เป็นสีน้ำเงิน แล้ว สว.ก็มีอำนาจแต่งตั้งองค์กรอิสระอีก หากอำนาจทั้งสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และองค์กรอิสระเป็นพวกเดียวกัน แล้วอำนาจประชาชนอยู่ หากเราปล่อยไปแบบนี้ สิ่งที่ต่อสู้กันมา 20 ปีจะเหลวเปล่า

"มีหลายคนมาถามว่าพรรคเพื่อไทยชั่วโมงนี้ยังไหวไหม ก็ยืนยันว่าไหว เพราะหลังพิงเดียวที่พรรคเพื่อไทยมีคือประชาชน พ่อใหญ่ทักษิณ มีความพยายามที่จะให้พ่อใหญ่ทักษิณอยู่ข้างใน ไม่ให้ออกมาในสนามเลือกตั้ง แต่คนร้อยเอ็ดบอกว่าจะเลือกพรรคการเมืองที่สืบทอดเจตนารมณ์ของนายกฯ ทักษิณ" นายณัฐวุฒิกล่าว

ด้าน น.ส.จิราพรกล่าวว่า ยืนยันว่าครอบครัวสินธุไพรจะไม่มีทางทรยศต่ออุดมการณ์และพี่น้องประชาชนที่เมตตามาตลอด แม้นายนิสิตซึ่งเป็นบิดาจะต้องอยู่ในเรือนจำ และถูกบีบคั้นทางการเมืองมากเท่าไร ครอบครัวสินธุไพรก็จะขออยู่สู้เคียงข้างพี่น้องประชาชนและพรรคเพื่อไทย ไม่มีทางทรยศต่ออุดมการณ์เด็ดขาด

ส่วน น.ส.ชญาภากล่าวว่า มีคนไปปล่อยข่าวว่าจิราพรและชญาภาย้ายพรรคไปอยู่สีน้ำเงินแล้ว วันนี้ขอยืนยันเลยว่าเราไม่มีทางขายอุดมการณ์ และขออยู่กับพี่น้องประชาชน อยู่กับพรรคเพื่อไทย   เพื่อทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน

ลูกน้องนายทุนเชิญออกไป

ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. พร้อมด้วยนายชัชวาลล์ คงอุดม เลขาธิการพรรค คณะผู้บริหารพรรค สส. และสมาชิกพรรค ร่วมกันแสดงพลังประกาศจุดยืน “เด็ดขาดแก้วิกฤต พลิกโฉมประเทศ” พร้อมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างเพื่อประโยชน์ที่มั่นคงและยั่งยืนของประเทศชาติและประชาชน โดยนายพีระพันธุ์กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ นโยบายสำคัญ และทิศทางการทำงานของพรรค ตอนหนึ่งยืนยันว่า เราเด็ดขาดและไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน แม้เราจะไม่ใช่พรรคใหญ่ในทางการเมือง เพราะเพิ่งเกิดมา 3-4 ปี  แต่ถ้าวัดกันด้วยความเด็ดขาด ผลงาน ความเอาจริงเอาจัง และความขาวสะอาดของสมาชิกพรรค  รทสช.คือพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศนี้

นายพีระพันธุ์ได้หยิบยกวิกฤตของประเทศที่ รทสช.มุ่งเน้นแก้ไขด้วยความเด็ดขาดใน 6 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย การพิทักษ์รักษาเอกราชและดินแดนของไทยไม่ให้ถูกรุกล้ำ การกำจัดคนโกงและคนชั่วให้หมดไปจากแผ่นดิน การค้ำจุนเศรษฐกิจฐานรากให้มั่นคง การลดภาระค่าพลังงานให้ประชาชน การสร้างสังคมที่มีคุณภาพ และการสนับสนุนให้เกษตรกรสร้างรายได้ที่ยั่งยืน

"ผมพร้อมมานานแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ อย่างจริงจัง ใครที่ทนกับสิ่งยั่วยุไม่ได้ หรือเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวพร้อมเป็นลูกน้องนายทุนเชิญออกไป ที่ผ่านมาจำนวน สส.ที่หายไปคือราคาที่ผมแลกกับการลดค่าไฟให้ประชาชน แต่ผมยังอยู่และยังมีคนที่ยืนหยัดเคียงข้างผม วันนี้ผมภูมิใจที่ไม่ได้สู้คนเดียว แต่ยังมีขุนพลที่ร่วมอุดมการณ์และพี่น้องประชาชนที่สนับสนุน รทสช.อีกมากมาย ท่านใดที่มีอุดมการณ์เหมือนกับเรา ก็อยากขอเชิญชวนมาร่วมแก้วิกฤตชาติ และพลิกโฉมประเทศไปด้วยกัน" นายพีระพันธุ์กล่าวทิ้งท้าย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประชาสัมพันธ์กรณีการประกาศจำนวน สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งและจำนวนเขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดจะพึงมี ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติมและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ดังนี้ 1.การกำหนดจำนวน สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน 400 เขต เป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 86 (1) ซึ่งบัญญัติให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง เฉลี่ยด้วยจำนวน สส. 400 คน โดยได้นำจำนวนราษฎรสัญชาติไทยทั่วราชอาณาจักร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2567 จำนวน 64,953,661 คน มาใช้เป็นฐานคำนวณ หารด้วยจำนวน สส. 400 คน ส่งผลให้มีค่าเฉลี่ย 162,384 คนต่อ สส. 1 คน

2.กรณีที่มีการยุบสภาและต้องจัดให้มีการเลือกตั้งเป็นการทั่วไป ปี พ.ศ.2569 และสำนักทะเบียนกลางได้มีประกาศ เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักรตามหลักฐานทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2568 จะกำหนดจำนวน สส. และเขตเลือกตั้ง สส. ในแต่ละจังหวัดใหม่ โดยนำจำนวนราษฎรสัญชาติไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2568 มาใช้เป็นฐานคำนวณตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ อาจส่งผลให้บางจังหวัดมีจำนวน สส.และเขตเลือกตั้งเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้

แบ่งเขตยึดรธน.-คำวินิจฉัย ศรน.

3.จำนวน สส. และจำนวนเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดพึงมี ใช้ข้อมูลจำนวนราษฎรที่มีสัญชาติไทยเท่านั้น โดยไม่ได้นำข้อมูลจำนวนราษฎรที่ไม่มีสัญชาติมาใช้ในการคำนวณจำนวน สส.และจำนวนเขตเลือกตั้ง (ซึ่งเป็นไปตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 2/2566)

สำนักงาน กกต.ขอเรียนว่า การกำหนดจำนวน สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เป็นการดำเนินการโดยยึดหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ และคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ประชาชนอยากได้คนแบบไหนเป็น สส.และนายกรัฐมนตรี” กลุ่มตัวอย่าง 1,186 คน ระหว่างวันที่ 2-5 ธันวาคม 2568 พบว่า กลุ่มตัวอย่างเห็นว่าคุณสมบัติผู้สมัคร สส. ที่สำคัญคือ การพูดจริงทำจริง คะแนนเฉลี่ย 9.46 คะแนน รองลงมาคือ ความขยัน อดทน 9.44 คะแนน และความซื่อสัตย์ 9.42 คะแนน บริหารจัดการในสถานการณ์วิกฤตได้ 9.41 

ด้านคุณสมบัติของผู้จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี คือ มีอุดมการณ์ก้าวหน้า มีวิสัยทัศน์ กล้าทำอะไรใหม่ๆ ร้อยละ 40.71 รองลงมาคือ ไม่เล่นเกมการเมือง ทำเพื่อประชาชนจริง ร้อยละ 30.09 และไม่โกง ไม่เทา ซื่อสัตย์ สุจริต ร้อยละ 29.20                          

สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลการสำรวจเรื่อง โพลเลือกตั้งพรรคการเมือง ใจคนยังไม่นิ่ง จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,085 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 3-6 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา เมื่อตรวจสอบการรับรู้ด้านเศรษฐกิจของประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดการตัดสินใจทางการเมืองในปัจจุบัน พบว่า พรรคภูมิใจไทยได้รับการระบุว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุด” สูงถึง 72.8% ตามด้วยพรรคเพื่อไทยที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันคือ 69.2% ขณะที่พรรคประชาชนตามมาในระยะห่างที่มากกว่าคือ 42.3%       การที่ประชาชนร้อยละ 68.2 ระบุว่ามีพรรคการเมืองที่ชอบแล้ว ไม่ได้หมายความว่าการตัดสินใจนั้นถูกปิดผนึก ตรงกันข้าม การที่ยังมีอีก 31.8% ที่ “ยังไม่มีพรรคที่ชอบ” สะท้อนขนาดอันใหญ่โตของกลุ่มคะแนนลอยตัว (floating votes) ซึ่งเป็นกลุ่มที่พร้อมจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ และแม้ผู้ที่มีพรรคในใจก็ยังมิได้มั่นคงอย่างแท้จริง เพราะเมื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ในการ “เปลี่ยนใจในอนาคต” ถึง 70.6% ของประชาชนระบุชัดว่าตนเอง  “อาจเปลี่ยนใจไปเลือกพรรคใหม่ได้” ขณะที่มีเพียง 29.4% เท่านั้นที่หนักแน่นว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง

เมื่อมองโครงสร้างความคิดเชิงอุดมการณ์ ประชาชนเพียง 20.6% ที่จัดตัวเองอยู่ในกลุ่มพรรคแนวเสรีนิยม ขณะที่ 38.9% ระบุว่ามีแนวคิดโน้มไปทางอนุรักษนิยม แต่กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดกลับมิใช่สองขั้วนี้ หากเป็นกลุ่มที่ “อยู่กลางๆ”  สูงถึง 40.5% ตัวเลขนี้สะท้อนการลดลงของความคิดแบบแบ่งขั้วและการผงาดขึ้นของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับ “นโยบายที่ทำได้จริง” มากกว่าอุดมการณ์หรือวาทกรรมทางการเมือง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

คนรุ่นใหม่สำนึก พระราชปณิธาน ‘พระพันปีหลวง’

กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย “สมเด็จพระพันปีหลวง”  พสกนิกรทั่วถิ่นไทยกราบพระบรมศพ ชาวโพธารามน้อมสำนึกน้ำพระทัยแผ่ไพศาล

ทบ.เดือดจัด ซัด‘เฮงรัตนา’ จอมลวงโลก

โฆษก ทบ.จี้นานาชาติจับตา “เฮง รัตนา” ผอ. CMAC กัมพูชา เผยแพร่ข้อมูลเท็จ บ่อนทำลายความไว้วางใจและสันติภาพในภูมิภาค ใช้จินตนาการปั้นแต่งเรื่องราวเพื่อหลอกลวงสังคมโลก

‘ราชินี’แรงบันดาลใจคนรุ่นใหม่

ในหลวงพระราชทานถ้วยรางวัลนักกีฬาเรือใบ “ภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า” ครั้งที่ 37 พระราชินีทรงแข่งเรือใบรอบชิงชนะเลิศ ทำให้เรือวายุมีคะแนนดีที่สุดในการแข่งขัน