ห้ามครม.เอื้อเลือกตั้ง หนูสั่งหาเสียงลาราชการ ดร.เชนปลื้มDNAชินวัตร

“อนุทิน” กำชับ ครม.อย่าใช้อำนาจ-ทรัพยากรรัฐเอื้อประโยชน์เลือกตั้ง บอกช้าๆ ได้พร้าเล่มงามเรื่องเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ  “กลุ่มเพื่อนต่อ” ซบกล้าธรรม “นฤมล” ชูผู้กองนัสนั่งแคนดิเดตเบอร์ 1 ส่วนเพื่อไทยหมดมุกหากิน  งัด “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” อีกรอบ พร้อมขุดนโยบายเก่าที่ทำไม่ได้ใน 2 ปีมาสานต่อ “ยศชนัน” ลั่นเป็นผลดีเกี่ยวพันตระกูลชินวัตร “ปชน.”  คาดส่งหน้าเก่าชิงชัย 80% “มาร์ค” รับอาจส่งเลือกตั้งไม่ครบ 400 เขต ส่วนแคนดิเดตนายกฯ  ยังไม่สรุป “พปชร.”  ดันบิ๊กป้อมขึ้นเบอร์ 1  รัฐบาลส่งด่วนจี๋ประเด็นประชามติถึง กกต.แล้ว

เมื่อวันอังคารที่ 16 ธันวาคม 2568 มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างคึกคักเพื่อเตรียมความพร้อมลงสู่สนามในช่วงต้นปี 2569 โดยนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับ ครม.ทุกคนให้ดำเนินการทุกอย่างตามกติกา ไม่ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อให้มีผลต่อการเลือกตั้ง รวมถึงไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐเอื้อประโยชน์ต่อการเลือกตั้ง ส่วนรัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หากมีความประสงค์จะลงพื้นที่หาเสียงให้ไปนอกเวลาราชการ หรือลาราชการให้ถูกต้อง

 “ในวันที่ 19-21 ธ.ค.นี้ รัฐบาลได้ยกเลิกกิจกรรมสื่อสัญจร (เพรสทัวร์) จ.ศรีสะเกษ เนื่องจากมีข้อกังวลจากทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เรื่องการใช้ทรัพยากรของรัฐและอาจทำให้ถูกมองว่าเป็นเรื่องของการหาเสียง โดยนายกฯ จะลงพื้นที่ศรีสะเกษในวันที่ 20 ธ.ค.นี้ เพื่อเปิดงานแข่งขันวงโยธวาทิตโลกชิงถ้วยพระราชทาน และเยี่ยมประชาชนที่ศูนย์อพยพในพื้นที่” นายสิริพงศ์ระบุ

ขณะที่นายอนุทินกล่าวถึงการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ว่า ยังมีเวลาอยู่ เมื่อถามอีกว่านางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ได้ตอบรับหรือยัง นายอนุทินกล่าวว่า  เดี๋ยวก็คุยๆ กันอยู่ ส่วนท่าทีนางศุภจีดูเหมือนไม่มั่นใจนั้น ก็ต้องคุยกัน ตอนนี้ตอบรับมีอยู่คนเดียว

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายอนุทินใช่หรือไม่ที่ตอบรับ นายอนุทินกล่าวว่า อืม

เมื่อถามว่า พรรคภูมิใจไทยเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ช้าไปหรือไม่ เพราะเวลานี้พรรคเพื่อไทย พรรคกล้าธรรม และพรรคประชาชน ได้เปิดตัวหมดแล้ว นายอนุทินยิ้มพร้อมกล่าวว่า ยึดถือคติช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม

เมื่อถามว่า มีแคนดิเดตพรรคไหนน่ากลัวบ้าง นายอนุทินกล่าวว่า คนไหนน่ากลัวเหรอ ก็พรรคภูมิใจไทย ส่วนพรรคอื่นน่ากลัวหรือไม่ ถามแล้วตอบยาก กลัวทุกคนแหละครับ

ถามอีกว่า กลัวเด็กรุ่นไหมหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า กลัวหมดแหละครับ

เมื่อถามว่า มีรายงานว่าพรรค ภท.คาดหวังถึง 200 ที่นั่ง นายอนุทินหัวเราะพร้อมกล่าวว่า  ใครรายงาน ไม่ใช่ตนเอง เราทำดีที่สุด เท่าไหร่ก็เท่านั้น ประชาชนตัดสินเราก็ต้องเลือกคนที่ดีที่สุด คนที่เหมาะสมกับคนที่มีความสามารถ ถามมา 6 ปี คำตอบก็เหมือนเดิม

ถามอีกว่า อยากได้ สส.บัญชีรายชื่อครั้งนี้เท่าไหร่ นายอนุทินกล่าวว่า ก็อยากได้ 500 ใช่ไหม แต่เราจะทำได้เท่าไหร่อีกเรื่องหนึ่ง อยู่ที่ประชาชน ความอยากก็อยากได้เยอะใช่ไหม แต่ความจริงเราต้องทำการบ้านของเราให้ดี เลือกคนให้ดี ทำนโยบายให้ดี สร้างความเชื่อมั่นให้ดี และประชาชนเป็นคนตัดสินใจก็เป็นสไตล์แบบนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯ มั่นใจใช่หรือไม่ที่จะทำให้พรรคใหญ่ขึ้นในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ นายอนุทินกล่าวว่า ดูๆ แล้วการเตรียมการเลือกตั้งในครั้งหน้านี้ และองค์ประกอบต่างๆ ค่อนข้างจะเป็นไปในแนวโน้มพรรคน่าจะใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ตาม อยู่ที่พี่น้องประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือก ส่วนจุดขายของพรรค ภท.ในการเลือกตั้งครั้งนี้ คือการทำงานตอบสนองคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น เน้นเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การที่เราจะเปิดกว้างให้มีที่ยืนในนานาชาติ สร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่คิดว่าประเทศไทยสามารถมาลงทุนสร้างรายได้ มาท่องเที่ยว ถ้าจะถามมันมีเป็นเล่มๆ หนาๆ อยู่แล้ว

เสี่ยหนูถึงขั้นร้องอู้ย

ถามอีกว่า มีการพูดกันว่าหาก ภท.ได้ที่ 2 จะชิงจัดตั้งรัฐบาล นายอนุทินกล่าวว่า อู้ย อย่าเพิ่งคิดยาว ยังไม่สมัคร สส.เลย

สำหรับที่มีการวิเคราะห์ให้ ภท.เป็นพรรคอันดับ 1 พอบอกได้หรือไม่ทำไมประชาชนถึงต้องเลือกเป็นนายกฯ สมัยหน้านั้น นายอนุทินกล่าวว่า ไม่มีคำว่าประชาชนต้องเลือกหรอก พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้ประชาชนมั่นใจว่าตนเองทำให้พวกท่านได้ ถ้าท่านมั่นใจว่าทำงานให้พวกท่านได้ภายใต้สถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้ การได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่มีความดีใจและภูมิใจอยู่เงียบๆ ว่าการเข้ามาทำงานของตนเอง ทุกคนรู้วันมาและวันไปอย่างชัดเจน และทุกฝ่ายทั้งข้าราชการประจำ ฝ่ายกองทัพ ภาคเอกชน องค์กรอิสระ ต่างๆ ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่ได้รู้สึกเลยว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากใคร ฉะนั้นการขับเคลื่อนประเทศถึงแม้ว่ามีเวลาเพียง 3-4 เดือนก็ขับเคลื่อนประเทศไปได้มากพอสมควร ทั้งเรื่องระยะยาว การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เรื่องการปกป้องอธิปไตยของประเทศ เราก็ทำด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย

 เมื่อถามถึงการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าพรรค ภท.ชิงจังหวะจากเหตุการณ์ปะทะไทย-กัมพูชา และอาศัยความเป็นชาตินิยมสร้างคะแนนนิยมให้พรรค นายอนุทินหัวเราะในลำคอพร้อมส่ายหน้าก่อนตอบว่า “อย่ามองโลกในแง่ร้าย คงใจไม่ถึงพอที่จะเอาอธิปไตยของบ้านเมือง เอาชีวิตของพี่น้องทหารของประชาชนมาแลก เพื่อให้ตัวเองได้คะแนนเสียง หรือได้ประโยชน์ใดๆ คิดแบบนี้ก็ไม่ถูก ยืนยันว่าไม่ถูก

 ส่วนที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ไปพูดคุยกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เกี่ยวกับวันเลือกตั้งมีการคิดเผื่อหรือไม่หากไม่เป็นไปตามไทม์ไลน์ เนื่องจากยังมีเหตุการณ์ปะทะชายแดน นายกฯ กล่าวว่า เราเสนอไปทุกอย่างขอให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ส่วนการตัดสินใจเป็นเรื่องของ กกต.

ถามอีกว่า มั่นใจหรือไม่ภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลครั้งหน้าปัญหาชายแดนจะจบโดยสิ้นเชิง นายอนุทินกล่าวว่า พยายามทำให้จบโดยเร็วที่สุด

ด้าน น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ในฐานะเหรัญญิก และแกนนำ กทม. พรรค ภท. กล่าวถึงความพร้อมการคัดเลือกส่งผู้สมัครในพื้นที่ สส.กทม. ว่าได้หารือกับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ ซึ่งมีผู้สมัครมากกว่าเขตทั้ง 33 เขตใน กทม. และคัดเลือกแล้ว 70% คาดว่าภายใน 1-2 วันนี้ จะได้ผู้สมัครเกือบครบทั้ง 33 เขต และถ้าพร้อมอาจเปิดตัววันที่ 17 ธ.ค. แต่ยืนยันว่าจะชัดเจนก่อน 27 ธ.ค. ทั้งนี้ยังไม่ได้ดูเรื่องตัวเลข แต่เมื่อทุกคนลงเลือกตั้งแล้วแพ้ไม่ได้

ส่วนเรื่องกระแสชาตินิยมจะส่งผลในพื้นที่ กทม.หรือไม่นั้น จริงๆ เราไม่ได้คิดเรื่องนี้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นบวกหรือลบ แต่ทุกอย่างทำด้วยความจริงใจและอยากจะแก้ไขปัญหาจริงๆ เรามีหน้าที่แก้ปัญหา ไม่ได้คิดว่าทำแล้วได้หรือเสียคะแนน แต่ที่สำคัญต้องไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯ และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ในฐานะแกนนำ ภท. กล่าวถึงความพร้อมในการจัดตัวผู้สมัคร สส. ว่าจังหวัดที่รับผิดชอบเป็นหลักคือชลบุรี และมีจังหวัดที่รับผิดชอบเพิ่มเติมคือ จ.จันทบุรี ทั้ง 3 เขต และ จ.ตราด 1 เขต รวมแล้วดูแลเกือบ 20 คน

'เพื่อนต่อ' ซบกล้าธรรม

ด้านความเคลื่อนไหวของพรรคกล้าธรรม (กธ.) นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ในฐานะหัวหน้าพรรคกล้าธรรม ได้ต้อนรับอดีต สส.และอดีต สจ.กลุ่มนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรค กธ. 11 ราย โดยมี จ.อ.ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รมช.อุตสาหกรรม มาร่วมด้วย แต่นายเฉลิมชัย และนายเดชอิศม์ ขาวทอง อดีตเลขาธิการพรรค ปชป.ไม่ได้เดินทางมาในครั้งนี้ด้วย

โดยนางนฤมลกล่าวว่า มาต้อนรับกลุ่มเพื่อนต่อของนายเฉลิมชัย ที่จะมาอยู่กับพรรค กธ. เราจะร่วมมือกันทำงานการเมืองเพื่อประชาชน ส่วนเป้าหมายที่นั่ง สส. เราไม่ได้โฟกัสที่ตัวเลข แต่จะทำให้ดีที่สุด ส่งผู้สมัครครบ 400 เขต มั่นใจว่าทุกคนมีความตั้งใจที่จะเอาชนะการเลือกตั้งให้ได้

เมื่อถามว่า จะเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ เมื่อไหร่ นางนฤมลกล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกัน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคเป็นแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1 แน่นอน ส่วนตนเองจะเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่นั้น ยังไม่ได้พูดคุยกัน ส่วนจะส่งแคนดิเดตครบทั้ง 3 คนหรือไม่นั้น คงไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น ดูที่ความเหมาะสมมากกว่า

ส่วนพรรคเพื่อไทย (พท.) มีการจัดกิจกรรมยกเครื่องประเทศไทย เพื่อไทยทำได้ เพื่อเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย โดยมีแกนนำพรรคเข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้เปิดตัวในฐานะหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ  ของพรรคเพื่อไทยคนแรก ระบุว่า พรรคต้องการสร้างพรุ่งนี้ที่ดีกว่า โดยสร้างหลักประกันเงินออมการปลดหนี้ และสร้างรายได้ใหม่ เพราะนิยามประชาชนในสังคมประชาธิปไตย คือ ความมั่นคง อิสรภาพ และโอกาสของประชาชน นี่ตรงกันกับความคิดของพรรคที่ว่า มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ความปรารถนาคือคนไทยต้องไร้จน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จึงมาเสนอ 2 นโยบายเร่งด่วนที่สามารถทำได้ทันที หวยเกษียณที่จะทำให้ได้ภายใน 3 เดือนแรกของการเป็นรัฐบาล และการล้างหนี้ให้กับประชาชนคนไทย ทั้งกลุ่มหนี้นอกระบบ กลุ่มที่เป็นหนี้เสีย NPL กลุ่มเกษตรกร รวมไปถึงกลุ่มที่เป็นลูกหนี้ดี

ต่อมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ผู้อำนายการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย กล่าวขอบคุณผู้บริหารที่คัดเลือกให้เป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯ โดยหากพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาลพร้อมสานต่อภารกิจทันที คือ รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย และรถเมล์แอร์ 10 บาท ส่วนนยโบายคือ บ้านเพื่อคนไทย

ส่วนนายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ กล่าวว่า มีเป้าหมายยกระดับประเทศไทยสู่ประเทศรายได้สูงให้เร็วที่สุด ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ AI เป็นแกนหลัก ขณะเดียวกันบทบาทภาครัฐเองต้องปรับตัว เพื่อรองรับเศรษฐกิจมูลค่าสูง สิ่งรัฐบาลต้องเดินหน้า 3 ด้าน คือ 1.สร้างความมั่นคงรอบด้าน 2.สร้างความเชื่อมั่นผ่านการฟื้นฟูหลักนิติธรรมคืนความยุติธรรมให้ประชาชน และ 3.การวางรากฐานโครงสร้างพื้นฐานสมัยใหม่

นายจุลพันธ์ให้สัมภาษณ์ภายหลังอีกครั้งถึงลำดับแคนดิเดตนายกฯ ว่า นายยศชนันคือคนที่เราจะเสนอเป็นนายกฯ เมื่อเราประสบชัยชนะจากการเลือกตั้ง ส่วนอีก 2 คน ไม่ได้เรียงลำดับ แต่พร้อมในการทำงานกรณีที่มีความจำเป็น

ยกยุคยิ่งลักษณ์ข่ม

เมื่อถามว่า เวลา 2 เดือนเพียงพอหรือไม่ ที่จะดึงกระแสพรรคเพื่อไทยให้กลับมา นายจุลพันธ์กล่าวว่า เราไม่ได้เริ่มเพียงแค่ 2 เดือน เราเดินหน้ามาระยะหนึ่งแล้ว และถ้าย้อนเวลากลับไปในสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ลงสมัครเลือกตั้งครั้งนั้น มีเวลาเพียงแค่กว่า 40 วันเท่านั้นก็ขับเคลื่อนจนประสบชัยชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายได้ เชื่อมั่นว่าการทำงานของแคนดิเดตทั้ง 3 คน จะสามารถเดินสู่ชัยชนะได้

เมื่อถามว่า สังคมตั้งคำถามว่าอย่างไรก็ไม่พ้นตระกูลชินวัตร แม้เป็นตระกูลวงศ์สวัสดิ์ แต่ก็เป็นเครือญาติกับชินวัตรอยู่ดี นายยศชนันกล่าวว่า เรื่องที่เป็นลูกหลานใคร คิดว่าเป็นเรื่องได้เปรียบ ซึ่งการที่วันนี้เรามุ่งมั่นที่จะทำบางอย่างให้กับคนไทยและทำเรื่องนี้มาโดยตลอด ไม่เคยหยุดที่จะทำเรื่องนี้ แต่วันนี้หากเราได้รับโอกาสที่ดีกว่าคนอื่น ทำไมเราจะไม่รับ ซึ่งเรื่องนี้คิดว่าเป็นจุดเด่น ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

ถามถึงเป้าหมายจำนวน สส.ของพรรคเพื่อไทยยังเป็น 200 คนอยู่หรือไม่ หลังมีหลายคนไปเปิดตัวกับพรรคการเมืองอื่นๆ นายสุริยะกล่าวว่า มั่นใจว่าไปถึง 200 หรือบวกลบอย่างมากไม่เกิน 10% แต่จะมีการกำชับผู้สมัครให้ลงพื้นที่ให้เข้มข้นขึ้น

ก่อนหน้านี้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ในฐานะบิดานายยศชนัน กล่าวถึงการถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของลูกชาย ว่าไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องหรือบงการ เนื่องจากเรื่องนี้ใหญ่กว่าระดับครอบครัว และเป็นเรื่องของระดับชาติ และแม้เป็นคนหน้าใหม่ แต่หากได้รับการสนับสนุนก็สามารถนำพาพรรคและประเทศชาติบ้านเมืองได้ ซึ่งเจ้าตัวต้องไปพิสูจน์และแสดงให้เห็นเพื่อให้ได้รับการสนับสนุน

ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคประชาชน (ปชน.) นั้น ได้มีการคัดสรรตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ของพรรค โดยจะประชุมว่าที่ผู้สมัคร สส.ทั่วประเทศ ในวันที่ 17-18 ธ.ค.2568 และจะเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ทั่วประเทศ ภายในสัปดาห์นี้ และที่ผ่านมาได้เปิดคัดสรรว่าที่ผู้สมัคร สส.แบบแบ่งเขตใหม่ทั้งหมด 41 เขต จากทั้งหมด 112 เขตที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 โดยคาดว่าจะส่งผู้สมัคร สส.เขตหน้าเดิมในการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ราว 70-80% ลงสมัครรับเลือกตั้งต่อในปี 2569

ปชป.ชู 3 หลัก

ด้านพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ปชป. กล่าวถึงการเปิดตัวผู้สมัคร สส.และแคนดิเดตนายกฯ ว่า อยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น โดยจะเสร็จสิ้นในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ จากนั้นจะให้กรรมการสรรหาดำเนินการต่อ และเมื่อทำเสร็จแล้ว จะเสนอ กก.บห.พรรคเพื่อพิจารณาได้สัปดาห์หน้า โดยมั่นใจว่าจะทันพร้อมกับวันเปิดรับสมัครผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.ช่วงวันที่ 27-28 ธ.ค.นี้ ขณะที่บัญชีของผู้ที่พรรคสนับสนุนให้เป็นนายกฯ จะได้ข้อยุติสัปดาห์หน้า

เมื่อถามว่า พรรคจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.เขตครบทั้ง 400 เขตหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าใกล้เคียง เพราะบางเขตที่มีผู้เสนอตัว แต่ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบบางเขตที่มีปัญหา และอาจต้องคัดกรองเพิ่มเติม หากส่งไม่ครบ 400 เขต ก็ใกล้เคียง

นายพงศกร ขวัญเมือง โฆษกพรรค ปชป. กล่าวว่า สิ่งที่พรรคจะชูในการหาเสียงครั้งนี้ ประกอบไปด้วย 3 สิ่งหลัก ประการแรกคือ การเมืองสุจริต, ประการที่สองคือ ความเป็นมืออาชีพ และประการที่สามคือ ความไว้วางใจ

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีรายงานความเคลื่อนไหวแจ้งว่า คณะกรรมการบริหารพรรค พปชร.มีมติเตรียมส่ง 3 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ  ของพรรคสู้ศึกเลือกตั้งปี 2569 โดยแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค, เบอร์ 2 คือนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรค และ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง เลขาธิการพรรค เป็นแคนดิเดตนนายกฯ เบอร์ 3

นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่ารัฐบาลได้เห็นชอบกับการยื่นคำถามประชามติในเรื่องความต้องการให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่ โดยได้พิจารณาออกมาเป็น 2 แนวทาง แนวทางแรก เสนอโดยความเห็นของ ครม.ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ได้มีการแถลงนโยบายเอาไว้ และอีกหนึ่งช่องทางคือเสนอโดยใช้ตามมาตรา 9 (4) รัฐบาลเสนอด้วยความเห็นชอบของรัฐสภาที่นำเสนอต่อ กกต. ซึ่งทั้ง 2 แนวทางนี้สุดท้าย กกต.จะเป็นผู้พิจารณา โดยที่มีความเห็นไปจากรัฐบาลว่าอยากให้การลงผลประชามติเป็นในวันเดียวกันกับวันเลือกตั้งทั่วไป

มีรายงานว่า จากกรณีที่ ครม.มีมติเห็นชอบให้ทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ปรากฏว่าในช่วงเย็น ครม.ได้ส่งเรื่องที่จะจัดทำประชามติตามที่ ครม.กำหนดมายังสำนักงาน กกต.แล้ว เพื่อจัดทำข้อมูลเผยแพร่ให้กับประชาชนได้รับทราบ โดยหนังสือดังกล่าวมีเนื้อหา ซึ่งประกอบด้วย ชื่อเรื่องที่จะทำประชามติ เหตุผลความจำเป็น สาระสำคัญของกิจการที่จะทำประชามติ ค่าใช้จ่าย และที่มาของงบประมาณที่จะนำมาใช้ในการทำประชามติ ประโยชน์ที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับ ตามที่มาตรา 15 ของพระราชบัญญัติการออกเสียงประชามติ 2564 กำหนดไว้แล้ว หลังจาก 15 ธ.ค. กกต.และรัฐบาลเห็นตรงสามารถย่นเวลาการจัดทำประชามติ น้อยกว่า 60 วัน แต่ไม่เกิน 150 วัน ได้ ตามมาตรา 11 ของ พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 โดยหลังจากนี้รัฐบาลจะต้องเป็นผู้ประกาศวันออกเสียงประชามติ ซึ่งมาตรา 15 กำหนดว่าไม่น้อยกว่า 15 วัน นับแต่วันส่งข้อมูลให้กับ กกต. ซึ่งคาดว่าเป็นวันที่ 31 ธ.ค.2568

"ในแง่การบริหารจัดการออกเสียงประชามติ กรอบเวลาถ้านับจากวันนี้ที่ ครม.ส่งหนังสือมาถึง กกต. ไปจนถึงวันที่ 8 ก.พ.2569 ซึ่งรัฐบาลจะให้เป็นวันออกเสียงประชามติ พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปมีเวลารวมกว่า 50 วัน เราเอาอยู่ เราทำทัน เพราะที่ กกต.เป็นห่วงคือการให้ความรู้เกี่ยวกับประเด็นการจัดทำประชามติ ซึ่งควรมีเวลาเผยแพร่และส่งเอกสารนี้ถึงมือเจ้าบ้านพร้อมกับเอกสารที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ไม่น้อยกว่า 30 วันจนถึงเลือกตั้ง" แหล่งข่าว กกต.ระบุ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง