เลือก‘คำถามประชามติ’ สมควรมีรธน.ใหม่หรือไม่

ครม.เคาะเลือกคำถามประชามติ “สมควรมีรัฐธรรมนูญใหม่หรือไม่” ส่ง กกต.เดินหน้าพร้อมการเลือกตั้ง 8 ก.พ.69 นายกฯ หวังกาพร้อมวันเลือกตั้ง สส.ช่วยประหยัดงบ หวั่นหากไม่พิจารณาใหม่จะเกิดการตีความวุ่นวายภายหลัง เล็งนำเรื่องยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 เป็นนโยบายหาเสียง

ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 18 ธันวาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ซึ่งมีวาระพิจารณาให้ ครม.เห็นชอบการเลือกส่งคำถามประชามติ ระหว่างคำถามของรัฐสภาและคำถามของ ครม. ภายหลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตีกลับให้เลือกเพียงคำถามเดียว

นายอนุทินให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า ครม.มีมติเห็นชอบคำถามประชามติ ซึ่งเป็นคำถามของคณะรัฐมนตรี และส่งไปให้ กกต. ซึ่งเป็นไปตามความเห็นที่นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย เปิดเผยไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งการนำเข้าที่ประชุม ครม.วันนี้เพื่อให้ได้มติที่ถูกต้อง

ถามว่า นายบวรศักดิ์ระบุหากรัฐสภาเลือกคำถามประชามติของพรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะไม่ทำให้เกิดปัญหาจนต้องมาประชุม ครม.อีกครั้งในวันนี้ นายอนุทินกล่าวว่า คำถามคล้ายๆ กัน เพียงแต่วันนี้ต้องการทำให้ถูกต้องตามคำวินิจฉัยศาลธรรมนูญ หากส่งไปไม่ถูกต้องจะเกิดปัญหาเรื่องการตีความ และหากประชาชนลงมติไปแล้วเกิดปัญหาจะต้องลงมติใหม่อีก

ซักว่า การทำประชามติจะทำพร้อมกับวันเลือกตั้ง สส.ในวันที่ 8 ก.พ.2569 หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับ กกต. แต่ถ้าถาม ครม.ก็อยากให้ทำพร้อมกับวันเลือกตั้ง เพราะมีเหตุผลเรื่องความสะดวก และประหยัดงบประมาณ เท่าที่ฟังมาคือประมาณ 4,000 ล้านบาท จึงไม่อยากเสียงบประมาณโดยใช่เหตุ

พอถามว่า ขณะนี้ไม่สามารถทำประชามติเกี่ยวกับการยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 แล้ว พรรค ภท.จะทำเป็นนโยบายหาเสียงในเรื่องนี้แทนหรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า เป็นไปได้ เพราะพรรคชัดเจนเรื่องนี้อยู่แล้ว

ด้าน นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  เมื่อวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ครม.ได้ส่งคำถามไปให้ กกต. 2 คำถาม เนื่องจากมีการอภิปรายในที่ประชุม ครม. ซึ่งในส่วนของ ครม.เคยแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไว้ จึงต้องรักษาสัจจะ และตั้งคำถามที่ไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประชามติ แต่คำถามที่รัฐสภาส่งมาไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.บ.ประชามติ เพราะฉะนั้นเมื่อ กกต.ต้องการให้ ครม.เลือกเพียงคำถามเดียว ก็ต้องเลือกคำถามของ ครม.จึงไม่ถือเป็นเรื่องผิดปกติที่ ครม.เลือกแบบนี้

นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ส่วนที่มีนักวิชาการมาติง ว่าไม่สามารถทำประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้งได้ เนื่องจากระยะเวลาไม่ถึง 60 วัน คนที่พูดก็ไม่ใช่นักกฎหมาย คงจะอ่านกฎหมายประชามติ มาตรา 11 วรรค 3 ตอนท้ายข้ามไป หากมีเหตุจำเป็นเรื่องงบประมาณและเหตุผลอื่น ครม.สามารถกำหนดวันประชามติให้เร็วกว่านั้นได้ เพราะหากจัดการเลือกตั้งแยกกับการทำประชามติ จะเสียงบประมาณเพิ่ม 4 พันกว่าล้าน และประชาชนก็ต้องใช้สิทธิ์ 2 ครั้ง หากไม่ไปครั้งใดครั้งหนึ่ง ก็จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง รวมถึง กกต.ก็ต้องเสียบุคลากรไปจัดงานทั้ง 2 ครั้ง จึงไม่ใช่เหตุที่ไปทำความวุ่นวาย

"หาก ครม.เห็นชอบ คำถามประชามติของ ครม.ก็จะต้องส่งเรื่องไปให้ กกต.และ กกต.ต้องออกประกาศเกี่ยวกับการทำประชามติภายใน 15 วัน หรือวันที่ 2 ม.ค.69 เพื่อให้สามารถทำประชามติพร้อมกับวันเลือกตั้ง ในวันที่ 8 ก.พ.69" นายบวรศักดิ์กล่าว

ต่อมา น.ส.ลลิดา เพริศวิวัฒนา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุม ครม.ว่า ครม.เห็นชอบให้กำหนดวันออกเสียงประชามติเป็นวันเดียวกับการเลือกตั้ง สส. คือวันที่ 8 ก.พ.2569 เพื่อใช้ทรัพยากรของรัฐอย่างคุ้มค่า ลดภาระงบประมาณ อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการใช้สิทธิ์ในคราวเดียว และช่วยลดภาระด้านการจัดการของ กกต.

น.ส.ลลิดากล่าวว่า ประเด็นคำถามในการออกเสียงประชามติ ครม.มีมติเลือกใช้คำถามที่ ครม.กำหนด ซึ่งเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2568 และสอดคล้องกับมาตรา 9 วรรคสอง (2) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2564 โดยกำหนดคำถามว่า “ท่านเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”

"เพื่อให้การจัดทำข้อมูลประกอบการออกเสียงประชามติเป็นไปอย่างถูกต้อง ชัดเจน และสอดคล้องกับบริบทของคำถามที่ใช้ ครม.ได้มอบหมายให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีปรับปรุงและจัดทำข้อมูลประกอบการออกเสียงประชามติ ก่อนส่งให้ กกต.ดำเนินการเผยแพร่แก่ประชาชนตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป" รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

แนวรบสุดท้ายสู้สแกมเมอร์ ปัจจัยที่ต้องปิดจ๊อบชายแดน

แม้สถานการณ์สู้รบตามแนวชายแดน "ไทย-กัมพูชา" ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสานใต้ ฝ่ายไทยจะสามารถยึดเป้าหมายในหลายพื้นที่ และ มีแนวโน้มที่ดีใน 13 แนวรบ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้ เพราะดูเหมือนว่า "กัมพูชา"