จีน-เมกาแห่หย่าศึก/ไทยยํ้ากัมพูชาหยุดก่อน

สองชาติมหาอำนาจ "สหรัฐอเมริกา-จีน" ช่วงชิงเป็นตัวกลางหย่าศึกไทย-เขมร “หวัง อี้” ยกหูโทร.คุย “สีหศักดิ์-ปรัก” แสดงความปรารถนาที่จะคลี่คลายความตึงเครียดและหยุดยิง “มาร์โค” ก็โทร.มาแต่ไม่กดดันไทย จับตา 22 ธ.ค.ประชุม รมต.ต่างประเทศอาเซียนที่กัวลาลัมเปอร์ “นายกฯ-รมว.ต่างประเทศ” ของไทยประสานเสียง หยุดยิงต้องเริ่มจากเขมร ให้แจ้งล่วงหน้า 1 วัน

เพจสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน เปิดเผยเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ที่ผ่านมาว่า "หวัง อี้" สมาชิกกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้โทรศัพท์คุยกับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และปรัก สุคน รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศของกัมพูชา

โดยทั้งสองฝ่ายได้แจ้งความคืบหน้าล่าสุดของสถานการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาต่อหวัง อี้ และแสดงความปรารถนาที่จะคลี่คลายความตึงเครียดและหยุดยิง

หวัง อี้ กล่าวว่า ในฐานะมิตรประเทศและเพื่อนบ้านใกล้ชิดของไทยและกัมพูชา จีนเป็นประเทศที่ไม่อยากเห็นทั้งสองฝ่ายปะทะกันมากที่สุด และเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนของทั้งสองประเทศ ความรุนแรงของสถานการณ์การปะทะครั้งนี้เกินกว่าครั้งก่อนๆ มาก และหากยังคงดำเนินต่อไปจะไม่มีประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย และบั่นทอนความสามัคคีของอาเซียน ภารกิจเร่งด่วนในปัจจุบันคือต้องมีการตัดสินใจหยุดยิงโดยเร็วที่สุด ลดความเสียหายให้ทันเวลา และฟื้นฟูความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

จีนยึดมั่นในหลักการส่งเสริมการเจรจาและความเป็นธรรมในเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา และสนับสนุนความพยายามในการไกล่เกลี่ยของอาเซียน "ทูตพิเศษ" ด้านกิจการเอเชียของกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้เดินทางไปไทยและกัมพูชาเพื่อประสานงาน ฝ่ายจีนจะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมต่อไป รวมทั้งมีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในการฟื้นฟูสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา  หวังว่าทั้งสองประเทศจะใช้มาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อรับประกันความปลอดภัยของโครงการและบุคลากรของจีน  และเฝ้าระวังผู้ที่เผยแพร่ข่าวลือเท็จเพื่อทำลายความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนกับทั้งสองประเทศ

นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว และนายปรัก สุคน ต่างชื่นชมท่าทีที่เป็นกลางและไม่ลำเอียงของจีนอย่างสูง รวมถึงบทบาทของจีนในการไกล่เกลี่ย ยินดีกับการเดินทางมาไกล่เกลี่ยของทูตพิเศษจีน และหวังว่าฝ่ายจีนจะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในการคลี่คลายความตึงเครียดและฟื้นฟูสันติภาพ

หยุดยิงต้องไปบอกเขมร

ที่พรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่นายหวัง อี้ ได้คุยโทรศัพท์กับนายสีหศักดิ์ว่า นายสีหศักดิ์ได้รายงานมา ว่าได้โทรศัพท์หารือกับนายมาร์โค รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ และเห็นว่ากำลังจะมีการพูดคุยกับทูตพิเศษจีนด้วย ซึ่งนายสีหศักดิ์บอกว่าจะรับมือเองและจะรายงานให้ทราบ ซึ่งขณะนี้มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดี โดยไทยได้อธิบายถึงเหตุผลถึงการดำเนินการที่ทำอยู่ในปัจจุบัน และยืนยันด้วยว่าไทยไม่เคยเป็นฝ่ายรุกราน ซึ่งหากการหารือบอกว่าให้มีการหยุดยิง ก็ต้องไปบอกฝ่ายกัมพูชาที่เป็นฝ่ายเริ่ม ให้ดำเนินการที่เป็นรูปธรรม จนกว่าจะทำให้ฝ่ายไทยรู้สึกว่าความเป็นอันตรายต่อประเทศไทยนั้นหมดไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ ยังไม่มีท่าทีกดดันไทยเข้าสู่โต๊ะเจรจาใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คำว่ากดดันหมายความว่าคุณต้องไปทำอะไรผิดก่อน หรือไม่เข้าท่า หรือทำไปแล้วคนอื่นเดือดร้อน เอาเปรียบคนอื่นก่อน ถึงต้องใช้คำว่ากดดัน แต่ประเทศไทยไม่ได้อยู่ในบริบทที่จะใช้คำว่ากดดันเลย ย้ำว่า ความกดดันต้องไปอยู่กับประเทศผู้รุกราน และผู้ที่ละเมิดสัญญา

“วันนี้ผู้สื่อข่าวต้องช่วยย้ำ ไทยและกัมพูชามีสัญญาร่วมกันไว้คือ 1.การถอนอาวุธ  2.การถอนทุ่นระเบิด 3. การปราบสแกมเมอร์ 4.การบริหารจัดการพื้นที่เขตแดนบริเวณบ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งทั้ง 4 ข้อนี้ประเทศไทยทำครบ”

เขากล่าวว่า แม้ขณะนี้จะมีการสู้รบกันอยู่ ประเทศไทยก็ยังดำเนินการตาม 4 ข้อตกลงนี้อย่างเต็มที่ ยกเว้นข้อ 1 ที่เราไม่สามารถถอนได้เพราะถูกกลั่นแกล้ง โจมตี และคุกคามอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าหากใครมาบอกว่า ประเทศไทยต้องกลับไปยึดถือปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ ซึ่งไทยอยู่ในนั้นอยู่แล้ว แล้วเราจะกลับไปไหน เราไม่เคยออกไปเลย ต้องบอกให้กัมพูชากลับไปทำตามปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ แต่วันนี้ก็ต้องมีการเพิ่มเงื่อนไขเข้ามา เช่น การถอนกำลัง การถอนอาวุธ  ต้องเป็นที่ไว้วางใจและพึงพอใจจากไทย ว่าไม่เป็นอันตรายต่อไทย และคนที่ละเมิดต้องแสดงท่าที ที่ต้องถูกกำหนดมากหน่อย

ด้านนายสีหศักดิ์เปิดเผยถึงกรณีที่นายมาร์โค รูบิโอ โทรศัพท์มาพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นสถานการณ์ไทย-กัมพูชาว่า ขณะนี้หลายฝ่ายมีความเป็นห่วงว่าสถานการณ์ การสู้รบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาจะบานปลายหรือไม่ เพราะเหตุการณ์ดําเนินมาสักพักหนึ่งแล้ว สหรัฐอเมริกาจึงอยากทราบว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร มีโอกาสที่จะลดความรุนแรงได้อย่างไรบ้าง และมีความปรารถนาที่จะเข้ามาช่วย ซึ่งในส่วนของไทยก็ยืนยันว่าพร้อมในเรื่องของการลดความรุนแรง แต่ขณะเดียวกันการหยุดยิงเป็นเรื่องที่ฝ่ายกัมพูชาต้องเป็นผู้เสนอมาก่อน เพราะไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มเหตุการณ์ และหากกัมพูชาเริ่มมีความพร้อมที่จะเจรจาหยุดยิงก็ต้องแสดงให้เห็น โดยต้องมีการหยุดยิงก่อนเพื่อให้เห็นว่าพร้อมจริงๆ หลังจากนั้นก็ต้องมาคุยกัน ซึ่งย้ำว่าการหยุดยิงจะมาด้วยการประกาศเพียงอย่างเดียวไม่ได้  แต่จะต้องมีการกําหนดมาตรการว่าจะหยุดยิงอย่างไร และมีการตรวจสอบอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ทหารของทั้งสองฝ่ายน่าจะต้องพูดคุยกัน

แจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน

"หนึ่ง-เขาต้องยื่นเรื่องเสนอมาที่เรา ว่าต้องการจะเจรจาหยุดยิง สอง-เขาต้องทําการหยุดยิงก่อน ให้เรามั่นใจว่าเขามีความจริงใจ และจริงจังที่จะหยุดยิง เมื่อเราคิดว่าเขามีความจริงใจแล้ว เราก็ต้องให้ฝ่ายทหารของทั้งสองฝ่ายมานั่งพูดคุยกัน แล้วตกลงกันถึงมาตรการการหยุดยิงว่าคืออะไรบ้าง เริ่มเมื่อไหร่ จะมีกระบวนการตรวจสอบอย่างไรบ้าง ว่าทุกคนปฏิบัติตามคํามั่นสัญญาการหยุดยิง ไม่ได้มาด้วยการแสดงเจตนาอย่างเดียวหรือการประกาศ ต้องมาจากการพูดคุยลงในรายละเอียดว่าจะหยุดยิงอย่างไร จะหยุดยิงแบบไหน มีมาตรการที่จะเข้าไปควบคุมดูแลอย่างไรบ้าง"

ด้าน รมว.การต่างประเทศยืนยันว่า ที่รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาโทร.มานั้นไม่ได้กดดันไทย เพียงแต่บอกว่ามีความเป็นห่วง และความจริงแล้วสหรัฐอเมริกาพูดน้อยมาก โดยส่วนใหญ่ตนเป็นคนพูด เพราะทราบอยู่แล้วว่าสหรัฐอเมริกาต้องการพูดอะไร ไม่ต้องรอให้ขยายความ และดูแล้วรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอยากจะฟังจากไทย และไม่ได้อยากที่จะมาทําให้รู้สึกว่ากดดันไทย ซึ่งตนได้ย้ำชัดถึงท่าทีของไทย คือต้องการลดความรุนแรง แต่ไทยทําฝ่ายเดียวไม่ได้ และการจะหยุดยิงนั้นเป็นเรื่องที่ฝ่ายกัมพูชาต้องเป็นฝ่ายแสดงเจตจํานงมาที่ไทยโดยตรง  ไม่ใช่ไปติดต่อที่ฝ่ายที่สาม เพราะไทยเปิดประตูอยู่แล้ว และเมื่อแสดงเจตนาพร้อมที่จะหยุดยิงและพูดคุย ก็ควรต้องแสดงความจริงใจไปก่อนด้วยการหยุดยิงอย่างน้อยหนึ่งวันล่วงหน้า เพราะนอกจากจะเป็นการแสดงความจริงใจแล้ว ยังเป็นการสร้างบรรยากาศที่ดี จากนั้นให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องคือฝ่ายทหารมาพูดคุยกันในรายละเอียด โดยกระทรวงการต่างประเทศพูดได้เพียงในหลักการ และการหยุดยิงจะเกิดขึ้นได้จริงไม่ใช่มาจากการประกาศของประเทศที่สาม แต่ต้องมาจากคู่กรณีทั้งสองฝ่าย

ประชุม รมต.ต่างประเทศอาเซียน

นายสีหศักดิ์กล่าวว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ฯ บอกว่า ดีใจที่ทราบถึงท่าทีของไทยเช่นนี้ และตนยังบอกว่าจะมีโอกาสพูดคุยกันถึงประเด็นปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ในช่วงที่ไปประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนสมัยพิเศษ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ ซึ่งก็หวังว่าจะมีข่าว แต่ไทยก็ควรจะต้องทราบว่ากัมพูชาพร้อมที่จะพูดคุยโดยต้องแจ้งโดยตรงมาที่ไทย จะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือทางโทรศัพท์ก็ได้ ไม่ใช่แจ้งผ่านฝ่ายที่สาม

ส่วนกรณีที่นายหวัง อี้ ระบุว่าคุยกับไทยแล้ว และทั้งสองฝ่ายแสดงความเต็มใจที่จะลดความตึงเครียด และบังคับใช้การหยุดยิง นายสีหศักดิ์ ยืนยันว่า ไทยยังไม่ได้รับปากเรื่องของการหยุดยิง เพียงแต่ยอมรับว่าพร้อมที่จะลดความรุนแรง และไม่อยากให้สถานการณ์ยืดเยื้อ แต่การที่จะหยุดยิงต้องมาจากการเสนอของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเมื่อเสนอแล้วต้องแสดงถึงความพร้อมหยุดยิง และแสดงให้เห็นถึงความจริงใจว่าพร้อมจะหยุดยิงจริงๆ จากนั้นค่อยมาพูดจากันในรายละเอียด มีข้อตกลงกันว่าจะหยุดยิงอย่างไร เมื่อไหร่ แบบไหน และมีมาตรการตรวจสอบอย่างไร         

 นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า ไทยจะชี้แจงให้สมาชิกอาเซียนทราบถึงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  และไทยจะแจ้งจุดยืนของไทยพร้อมปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1.กัมพูชาจะต้องเป็นฝ่ายประกาศหยุดจริงก่อน 2.การหยุดยิงของฝ่ายกัมพูชาจะต้องเกิดขึ้นจริงและต่อเนื่อง จะมีการสังเกตการณ์ด้วย 3.ฝ่ายกัมพูชาจะต้องร่วมมือเก็บกู้ทุ่นระเบิดกับฝ่ายไทยอย่างจริงจัง

ฝ่ายที่เริ่มต้นคือกัมพูชา

ขณะที่พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ว่า ฝ่ายไทยต้องการสันติภาพมาตั้งแต่ต้นและกัมพูชาก็รับทราบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ 2 ประเทศต้องคุยกัน ขณะเดียวกันขอบคุณประเทศต่างๆที่มีความปรารถนาดี ก็คิดเช่นเดียวกันว่าการประชุมวันที่ 22 ธันวาคม ประเทศต่างๆ คงอยากให้ไทย-กัมพูชา หยุดยิงแล้วมาพูดคุยกัน แต่ประเทศเหล่านั้นต้องพูดคุยกับกัมพูชาด้วย เพราะฝ่ายที่เริ่มต้นคือกัมพูชา และเคลื่อนกำลังมาก่อน โดยประเทศมหาอำนาจก็มีดาวเทียม สามารถตรวจสอบได้ว่ากัมพูชาเคลื่อนกำลังมาก่อน ถ้าจะหยุดยิงถาวร สิ้นสุดความเป็นปฏิปักษ์อย่างเปิดเผยและต่อเนื่อง กัมพูชาก็ต้องถอนกำลังออกไป พร้อมปฎิบัติตามเงื่อนไขที่ฝ่ายไทยเสนอ ฝ่ายไทยก็พร้อมหยุดยิง เพื่อสู่กระบวนการสันติภาพ

"เราจะหยุดยิงเมื่อกัมพูชาสิ้นสุดความเป็นปฏิปักษ์ชัดเจน ต่อเนื่อง และเปิดเผย หากครบองค์ประกอบ 3 ข้อนี้ ก็สามารถดำเนินต่อไปได้“

พลเอก ณัฐพล ยังบอกด้วยว่า กระทรวงกลาโหมได้มีการสนับสนุนข้อมูลให้แก่กระทรวงต่างประเทศ เพื่อจะใช้ประกอบการหารือในวันที่ 22 ธันวาคมนี้ และมอบหมายให้ พลเอก ณัฐพงษ์ เพราแก้ รองเสนาธิการทหาร เป็นผู้แทนของกองทัพไทยร่วมคณะไปด้วย นอกจากนี้ยังมีการพูดคุยระดับนโยบายกับกระทรวงต่างประเทศ ว่าท่าทีของไทยในวันที่ 22 ธันวาคมควรจะเป็นอย่างไร ส่วนการปฏิบัติการทางอากาศในพื้นที่ปอยเปตนั้น พล.อ.ณัฐพลย้ำว่า ได้ให้หลักการชัดเจนหลีกเลี่ยงเป้าหมายพลเรือน ซึ่งการปฎิบัติการเช่นนี้ต้องได้รับการพิสูจน์ทราบว่าเป็นเป้าหมายทางทหารหรือพลเรือน ยืนยันว่ากองทัพไทยจะโจมตีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น เรามีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบได้ ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาโจมตีโดยไม่ได้สนใจเป้าหมาย ส่งผลให้คนไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บ ข้อเท็จจริงตรงนี้สามารถยืนยันกับนานาชาติได้.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นายกฯ ทุบโต๊ะ! ประเทศมหาอำนาจกดดันไทยหยุดยิงไม่ได้ ต้องไปบอกฝ่ายกัมพูชา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณี ที่นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนชนจีน ได้คุยโทรศัพท์กับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ