‘ยธ.’จ่อคุ้ยMOUสิงคโปร์

“รุทธพล” รับกำลังตรวจผลการลงนามเอ็มโอยูสแกนม่านตากับสิงคโปร์ ผวาถูกนำไปเบิกบัญชีม้า “สีหศักดิ์” หวังต่อยอดประชุมปราบอาชญากรรมออนไลน์ในเวทีเวียนนาปีหน้า “ศูนย์ต่อต้านฉ้อโกง” จับมือเมตา และรวมงานระดับโลกทั้งสหรัฐฯ-ออสเตรเลียทลายเครือข่ายกลโกงข้ามชาติ

เมื่อวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม 2568 พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ปาฐกถาพิเศษเรื่อง “นโยบายและมาตรการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี” ระบุว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยบูรณาการทุกภาคส่วน ซึ่งในส่วนของ ยธ.มีแนวทางสำคัญสรุปได้ดังนี้ 1.เสริมสร้างขีดความสามารถทางดิจิทัลของหน่วยงานยุติธรรม โดยผลักดันการยกระดับความสามารถด้านดิจิทัลของเจ้าหน้าที่ 2.พัฒนากฎหมายและมาตรการทางนโยบายที่ทันสมัย สอดรับกับอาชญากรรมยุคใหม่ 3.เสริมสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคม ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ธนาคาร สถาบันการเงินและผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์และโทรคมนาคม เพื่อพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยการแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกและมาตรการป้องกันล่วงหน้า 4.การขยายความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อรับมืออาชญากรรมข้ามพรมแดน และ 5.การคุ้มครองประชาชน และผู้เสียหายอย่างเป็นระบบ

พล.ต.ท.รุทธพลกล่าวอีกว่า ผลการปฏิบัติที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมา (24 ต.ค.-16 ธ.ค. 2568) สามารถยึดอายัดทรัพย์สินผู้กระทำความผิดมูลค่ากว่า 19.6 ล้านบาท ช่วยเหลือเหยื่อ 118 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 61.9 ล้านบาท ดำเนินคดีสำคัญที่น่าสนใจ เช่น คดีเฉิน จื้อ ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัท Prince Holding Group กลุ่มธุรกิจข้ามชาติในกัมพูชา ที่หลอกลวงผู้เสียหายมูลค่ากว่า 373 ล้านบาท, คดีก๊ก อาน ขบวนการเครือข่ายสแกมเมอร์ มูลค่าความเสียหายกว่า 467 ล้านบาท, คดี น.ส.แตงไทย บ้านมะหิงษ์ ขบวนการเครือข่ายสแกมเมอร์ เกี่ยวโยงผู้มีอิทธิพลในกัมพูชา มูลค่าความเสียหายกว่า 9,279 ล้านบาท และปฏิบัติการทลายเหมืองบิตคอยน์เถื่อน เครือข่ายจีนเทาและเมียนมา มูลค่าความเสียหายกว่า 3,000 ล้านบาท

 “สิ่งที่รัฐบาลดำเนินการอยู่คือ กรณีการสแกนม่านตาแลกเงินดิจิทัล ซึ่งกำลังตรวจสอบการลงนามบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยูกับบริษัทสิงคโปร์ เพราะม่านตาถือว่าเป็นอัตลักษณ์ส่วนบุคคล เรากังวลว่าหากมีการนำข้อมูลตรงนี้ไปเปิดบัญชีม้าจะได้บัญชีม้ากว่า 1.2 ล้านบัญชี อาจนำไปสู่การทำนิติกรรมที่ผิดกฎหมายหรือการหลอกลวงประชาชน ซึ่งอาชญากรรมทางเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องไกลตัว” พล.ต.ท.รุทธพลกล่าว

ด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.การต่างประเทศ กล่าวถึงการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ที่ไทยเป็นเจ้าภาพเมื่อวันที่ 17-18 ธ.ค.ว่า เราได้ประกาศกลุ่มที่เรียกว่า Global Partnership หรือกลุ่มความร่วมมือระดับโลกระหว่างองค์กร เพื่อต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์และสแกมเมอร์ จึงอยากให้กลุ่มนี้ทํางานเป็นแกนกลางขับเคลื่อน ในกรอบความร่วมมือต่างๆ เพราะกลุ่มนี้เป็นตัวแทนจากทั้งในภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่น และในที่ประชุมได้มีการเสนอมาตรการต่างๆ ที่จะปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์และสแกมเมอร์ให้เข้มข้นขึ้น โดยสิ่งเหล่านี้จะมีการประชุมร่วมกันในปี 2026 ที่เวียนนา ประเทศออสเตรีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของสํานักงานสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรม จึงหวังว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นผลลัพธ์ของการประชุมที่ไทยจะได้รับการต่อยอดในการประชุมที่เวียนนา

 “ในที่ประชุมที่ไทยเป็นเจ้าภาพครั้งนี้ได้พูดกันหลายเรื่อง และสิ่งสําคัญคือการไปตัดวงจรแหล่งเงินทุนในการก่ออาชญากรรมออนไลน์ ซึ่งถือเป็นสิ่งสําคัญมาก ดังนั้นจึงต้องทํางานร่วมกับธนาคารต่างๆ โดยสืบที่มาที่ไปของแหล่งเงินทุน ซึ่งหากสามารถตัดวงจรตรงนี้ได้ จะช่วยแก้แก้ไขปัญหาตรงนี้ให้ลดลงได้มาก ถือว่ามาถูกทาง” นายสีหศักดิ์กล่าว

ขณะเดียวกัน ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. ได้ผนึกความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับแพลตฟอ์มระดับโลก Meta ร่วมด้วยหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายระดับโลก ได้แก่ หน่วยปฏิบัติการศูนย์ปราบปรามการหลอกลวงของสหรัฐอเมริกา, สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ), สำนักงานสืบสวนความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐอเมริกา, หน่วยข่าวกรองสหรัฐอเมริกา, สำนักงานตำรวจสหพันธ์ออสเตรเลีย, หน่วยข่าวกรองอาชญากรรมแห่งชาติของออสเตรเลีย และหน่วยงานปราบปรามอาชญากรรมแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ได้ร่วมมือและปฏิบัติการพิเศษ Joint Disruption Week ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย ส่งผลให้เกิดการปราบปรามเครือข่ายกลโกงอาชญากรรมข้ามชาติออนไลน์ครั้งใหญ่ นอกจากนี้กองกำลังตำรวจสิงคโปร์ยังเข้าร่วมหารือ เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ซึ่งส่งผลกระทบต่อเหยื่อในหลายประเทศ

“ผลการปฏิบัติงานเชิงรุกที่เป็นความร่วมมือระหว่างศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์และพันธมิตรหลัก ดังนี้ ลบเพจปลอมและเพจเสี่ยงสูงกว่า 59,000 รายการ รวมถึงบัญชีเฟซบุ๊กเชื่อมโยงกับการฟอกเงินและการรับสมัครงานผิดกฎหมาย พัฒนาระบบตรวจจับร่วมกันบล็อกโฆษณาหลอกลวงได้มากกว่า 4,000 รายการต่อวัน และสามารถระบุผู้ต้องสงสัยสำคัญ 6 ราย รวมถึงนายหน้าหางานที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายสแกมเมอร์ในกัมพูชา โดยเจ้าหน้าที่ได้เตรียมดำเนินการจับกุมทันที”

ทั้งนี้ ในปี 2026 ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ร่วมกับ Meta และพันธมิตรหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย มีแผนขยายความร่วมมือและจัดกิจกรรมปราบปรามร่วมกันเพิ่มเติม พร้อมเชิญบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอื่นๆ เข้าร่วมความพยายามอย่างต่อเนื่องในการปกป้องประชาชนไทยและประชาชนทั่วโลกจากภัยออนไลน์.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง