กมธ.งบฯปี66 ถกจบแล้ว ปรับลดกว่า 7.6พันล้านบาท คาดเข้าสภาวาระ 2- 3 วันที่ 17-19 ส.ค.นี้

กมธ.งบประมาณฯ ถกจบแล้ว ชี้ ปรับลดงบปี 66 กว่า 7,600 ล้านบาท เผย 'กลาโหม-อปท.-ศึกษา'ปรับลดเยอะสุด คาดเข้าสภาวาระ 2- 3 วันที่ 17-19 ส.ค.นี้

10ส.ค.2565 - ที่รัฐสภา นพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 แถลงว่า เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยคณะกรรมาธิการฯได้พิจารณาเป็นครั้งสุดท้าย โดยได้มีการลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯเป็นรายมาตรา และพิจารณารับรองบันทึกการประชุม และรายงานของคณะกรรมาธิการฯ ทั้งนี้ในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ได้มีมติปรับลดงบประมาณของหน่วยงานต่าง ๆ จำนวน 7,644,243,800 บาท โดยหน่วยงานที่ถูกปรับลดมากที่สุด 3 อันดับ คือ 1.กระทรวงกลาโหม ลดลงจำนวน 2,778,134,500 บาท 2.องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลดลงจำนวน 742,208,000 บาท และ 3.กระทรวงศึกษาธิการ ลดลงจำนวน 737,486,100 บาท

นพ.บัญญัติ กล่าวว่า ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ได้เสนอแปรเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 โดยใช้งบประมาณที่มีการปรับลดจำนวน 7,644,243,800 บาท มาแปรเพิ่มงบประมาณจำนวน 10 รายการ ดังนี้ 1.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จำนวน 500,000,000 บาท 2.เงินอุดหนุนการพัฒนาคุณภาพการให้บริการด้านสาธารณสุขของสถานีอนามันถ่ายโอน (องค์การบริหารส่วนจังหวัด 49 แห่ง) จำนวน 1,840,550,000 บาท 3.เงินอุดหนุนการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงขั้นพื้นฐาน จำนวน 2,359,853,000 บาท 4.กรมการข้าว โครงการปรับปรุงการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์ข้าวปี 2566 จำนวน 1,256,000,000 บาท 5.กรมการข้าว โครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าว จำนวน 1,021,656,000 บาท 6.สำนักงานอัยการสูงสุด เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายดำเนินงาน จำนวน 230,000,000 บาท

7.สำนักงานศาลยุติธรรม เงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายดำเนินงาน จำนวน 192,284,300 บาท 8.สำนักงาน ป.ป.ช. เงินอุดหนุนผลผลิตการดำเนินการป้องกันปราบปรามการทุจริต จำนวน 154,123,100 บาท 9.สำนักงาน คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต. )เงินอุดหนุนแผนงานบุคลากร จำนวน 81,577,400 บาท 10.ค่าใช้จ่ายพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่รัฐและบุคลากรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ ศอ.บต. จำนวน 8,200,000 บาท ขณะที่หน่วยงานที่ไม่มีการปรับลดงบประมาณ คือ กระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานอื่นของรัฐ สภากาชาดไทย และส่วนราชการในพระองค์

นพ.บัญญัติ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ทางคณะกรรมาธิการฯจะจัดทำเอกสารเพื่อเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม ซึ่งคาดว่าจะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาในวาระที่ 2 และ 3 ในวันที่ 17-19 ส.ค. 2565 เพื่อให้เป็นไปตามกรอบเวลาตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรจะต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 105 วัน นับแต่วันที่ร่าง พ.ร.บ.มาถึงสภา ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการฯ ยังได้มีข้อสังเกตว่าการจัดทำงบประมาณของรัฐบาลยังไม่ค่อยสอดคล้องกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน จึงได้มีข้อเสนอให้รัฐบาลควรหามาตรการเพิ่มรายได้ให้รัฐ เช่น การเพิ่มจำนวนคนที่เข้าสู่ระบบภาษีรายได้ การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีที่ดิน และภาษีมรดก รวมทั้งการพิจารณาภาษีรูปแบบใหม่ เช่น ภาษีลาภลอย และภาษีกำไรจากเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงรัฐบาลควรหามาตรการเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงสร้างงบประมาณในระยะยาว ผ่านการลดสัดส่วรของงบประมาณรายจ่ายที่ตายตัวและเปลี่ยนแปลงไม่ได้ในแต่ละปีให้เหลือเท่าที่จำเป็น และการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นจากเงินนอกงบประมาณ

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ก้าวไกล' ชูร่างกฎหมายจัดระเบียบกลาโหม ปฏิรูปกองทัพ คืนอำนาจให้รมต.

ร.ท. ธนเดช เพ็งสุข สส.กทม.พรรคก้าวไกล ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงแนวคิดการแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม และกฎหมายศาลทหาร

เปิดภาพนักการเมืองหลายพรรคร่วมประชุม 'ผู้ช่วยรัฐมนตรี'

นายสุทิน คลังแสง รมว.กห. ให้การต้อนรับคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ในการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 3/2567 ซึ่งกระทรวงกลาโหมได้รับโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ โดยมี พล.อ.อ.สุรพล พุทธมนต์ และ นายจำนงค์ ไชยมงคล ผช.รมต.ประจำ กห. เป็นประธาน

'ก้าวไกล' หนุนแก้กฎหมายสกัดรัฐประหาร ลั่นกองทัพต้องอยู่ใต้รัฐบาลพลเรือน

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม มีข้อเสนอให้สภากลาโหมเห็นชอบร่างแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…)

'สุทิน' ควง 'เจ้าสัวธนินท์' สักขีพยาน MOU กลาโหมจับมือซีพี

นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหม กับบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด