25 ต.ค.2565 - ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม นักกฎหมายมหาชน กล่าวถึงกรณี นายมงคลกิตต์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เตรียมทำกิจกรรมว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อให้ประชาชนร่วมกันบริจาคช่วยเหลือน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ ในวันที่ 8 พ.ย.นี้ ว่าการทำกิจกรรมว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงที่ผ่านมาโครงการ “One Man and The River หนึ่งคนว่ายหลายคนให้” เพื่อระดมทุนหาเงินสนับสนุน 2 โรงพยาบาลฝั่งไทยและฝั่งลาวของ “โตโน่” ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ ดารานักแสดง กับเตรียมฟิตร่างกิจกรรมว่ายน้ำ ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ของ ส.ส.เต้ มงคลกิตติ์ฯ เพื่อนำเงินบริจาคไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมนั้น มีความแตกต่างกัน คือ “โตโน่” ภาคินฯไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองใดๆ และไม่ได้เล็งเห็นผลให้คนได้รับประโยชน์ทางการเมืองใดๆ
ทั้งไม่เป็นกรณีผู้ซึ่งจะประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ตามข้อ 5 (เพิ่มเติม ข้อ 18/1) ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2565 หากได้เทียบเคียงกับ ส.ส.เต้ มงคลกิตต์ฯ นั้น เป็นหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรครบวาระ ได้ประกาศเสนอตัวแก่ประชาชนทั่วไป เป็นซึ่งกรณีประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ตามระเบียบ กกต.ฯ ข้อ 18/1 จึงอยู่ในเกณฑ์ข้อบังคับของ กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. คือ พรป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กำกับควบคุมโดย กกต.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 224 ,225 และตามกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 73 เป็นบทบัญญัติเด็ดขาด เป็นบทบังคับ กกต.ไม่อาจใช้ดุลพินิจอนุมัติหรืออนุญาตได้ เพราะเป็นบทบัญญัติห้ามเด็ดขาด หากบุคคลใดฝ่าฝืนมีโทษตามมาตรา 158,159 มีโทษทางอาญาและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 20 ปี หากเป็น กก.บห.พรรคการเมือง เป็นผู้กระทำผิดเอง ตามกฎหมายพรรคการเมืองมีโทษยุบพรรค
ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่าการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในเหตุอุทกภัยต่างๆนั้น ประชาชนเดือดร้อนต้องการขอความช่วยเหลือ เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและส.ส.ต้องเข้าใจไปดูแลให้ทั่วถึง โดยปัจจุบัน กระทรวงมหาดไทยได้ปลดล็อกให้องค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น กทม. ,เมืองพัทยา,อบจ.,เทศบาล.,อบต. สามารถนำงบประมาณท้องถิ่นไปช่วยเหลือประชาชนได้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะประชาชนได้รับการช่วยเหลือหรือเยียวยาได้โดยพลัน ส่วนนักการเมืองระดับชาติ ส.ส. มาจากตัวแทนภาคประชาชน มีหน้าที่หลัก คือ ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนและเป็นปากเป็นเสียงแทน
ส่วนที่สื่อมวลชนถาม จะขยายเนื้อหาข้อกฎหมายให้ประชาชนผู้สนใจการเมือง คอการเมือง และแฟนคลับแต่ละฝ่าย ให้เข้าใจถึงกฎหมายเลือกตั้งส.ส.เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่เขียนไว้ในกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. เชื่อว่า ผู้ปฎิบัติหรือนักการเมืองย่อมสับสนว่าสิ่งไหนทำได้ สิ่งไหนทำไม่ได้ ดังนี้
(1)มาตรา 68(1) กำหนดกรอบเวลา 180 วันนับแต่วันที่ 24 กันยายน 2565 ถึงก่อนวันเลือกตั้ง ส.ส. แต่มีข้อยกเว้นไว้ในมาตรา 68(2) กรณียุบสภาให้นับแต่วันที่ยุบสภา ยุบสภาวันไหนให้นับวันนั้นถึงก่อนวันเลือกตั้ง ปัจจุบันรัฐบาลไม่ได้ประกาศเป็นทางการว่า จะยุบสภาหรือไม่
(2)กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ห้ามผู้สมัคร แต่ในระเบียบ กกต.ห้ามถึงผู้ซึ่งประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้งด้วยใน มาตรา 73 ห้ามจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าจะ”โดยตรง”หรือ”โดยอ้อม”แก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิ วัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด
ผลทางกฎหมาย หากเป็นการกระทำทุจริตการเลือกตั้ง ตามมาตรา 73 นอกจากมีโทษทางอาญาและตัดสิทธิทางการเมือง 20 ปี แล้ว กกต.ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 225 ก่อนประกาศผลการเลือกตั้ง อาจแจกใบส้ม ระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวไม่เกิน 1 ปี ตาม มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 224(4) ได้ คำสั่ง กกต.เป็นที่สุด ตามมาตรา 225 วรรคสอง ตัวอย่าง กรณีนายสุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต 8 เชียงใหม่ แม้ชนะในคดีแล้วไม่สามารถกลับมาเป็น ส.ส.ได้ เพราะ รัฐธรรมนูญให้อำนาจ กกต.ใช้อำนาจกึ่งตุลาการ เสร็จเด็ดขาดในองค์กร ทั้ง หากพบว่าผู้สมัครฯ ทุจริตการเลือกตั้งชัดแจ้ง ตามมาตรา 73 กกต.แจกใบแดง หรือใบดำ ตามพฤติการณ์ร้ายแรงแห่งคดี
ตามมาตรา 73(2) คำว่า “โดยตรง” หมายความถึง บริจาคด้วยตนเอง ส่วนคำว่า “ทางอ้อม “หมายความว่า ไม่ได้บริจาคเอง แต่มีพฤติการณ์หรือการกระทำ ส่วนหนึ่งส่วนใด เป็นเหตุจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมกันบริจาค ซึ่งกฎหมายบังคับเด็ดขาดว่า บริจาคให้แก่สาธารณกุศลหรือสถาบันใดๆ ไม่ได้ จะบริจาคเอง หรือรู้เห็นเป็นใจ สนับสนุนให้บริจาคก็ตาม เข้าใจง่ายๆ คือ ให้คนอื่นบริจาคแทน แต่ตนเองได้รับผลประโยชน์ทางอ้อมทางการเมือง ตัวอย่างเช่น สร้างคะแนนนิยม เพื่อเอาเปรียบผู้สมัครคนอื่นหรือพรรคการเมืองอื่น กฎหมายจึงห้ามเด็ดขาดทั้งโดยตรงและทางอ้อม เป็นต้น
ส่วน กรณี ส.ส.เต้ มงคลกิตติ์ ฯ ใช้เทคนิคหรือช่องว่างกฎหมาย คือ ให้ประชาชนบริจาคให้แก่สำนักนายกรัฐมนตรี หรือกู้ภัยต่างๆ หรือองค์กรอื่นใด โดยให้ผู้บริจาคโอนเงินบริจาคโอนตรงให้แก่หน่วยงานต่างๆ เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี หน่วยกู้ภัย เป็นต้น โดยเทียบเคียงกับ ส.ส.ไปเป็นประธานงานกฐิน แต่ไม่ได้บริจาค เห็นว่า ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ว่าด้วยการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงเลือกต้ังสมาชิกสภาผผู้แทนราษฏร (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2565 ข้อ 5 (18/1) และแนวทางการปฏิบัติและข้อควรระวังในช่วงระยะเวลาการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้สมัครและพรรคการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและหน่วยงานของรัฐ ที่กกต.ได้กำหนดแนวทางไว้ ในข้อ 1 (1.1) กรณีการระบุชื่อไว้เป็นประธานในงานกฐิน โดยผู้สมัครและ/หรือพรรคการเมืองไม่ได้มอบเงินหรือทรัพย์สินของตนเอง สามารถกระทำได้
แต่ทั้งนี้ เจ้าภาพงานจะประกาศชื่อ หมายเลขสมัครของผู้สมัครและ/หรือพรรคการเมืองในลักษณะช่วยผู้สมัครหรือพรรคการเมืองนั้นหาเสียงเลือกตั้งไม่ได้”ตามแนวทางที่ กกต.ได้กำหนดไว้ มีความแตกต่างในวิธีจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ในระหว่างประธานงานกฐิน กับ กิจกรรมว่ายน้ำเจ้าพระยา เพราะ หากไม่ได้ดำเนินกิจกรรมดังกล่าว การบริจาคย่อมไม่เกิดขึ้น หมายความว่า การจูงใจประชาชนทั่วไปไม่เกิด โดยเฉพาะตัว นายมงคลกิตติ์ฯ มีสองสถานะ คือ ส.ส.บัญรายชื่อและหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์
ดังนั้นการโพสต์ทางเฟซบุ๊กของ ส.ส.เต้ มงคลกิตต์ฯ เชิญชวนทำกิจกรรมให้ประชาชนร่วมกันบริจาค ตั้งเป้าไว้ 300 ล้าน แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการบริจาคของประชาชน และตนเองไม่ได้บริจาค เป็นการสร้างคะแนนนิยมให้กับตนเองและพรรคการเมืองของตนเอง การเชื้อเชิญให้ประชาชนร่วมกันบริจาคให้แก่หน่วยงานหรือองค์กรสาธารณกุศลใดๆ ซึ่งเป็นการกระทำโดยทางอ้อม จูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งผิดกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 73(2) ทั้งสิ้น แม้จะอ้างว่า อยู่ระหว่างขออนุญาต กกต. แต่เล็งเห็นได้ว่า เป็นบทบัญญัติห้ามเด็ดขาด ประกอบกับ ซึ่งอยู่ในช่วง 180 วัน นับแค่วันที่ 24 กันยายน เป็นต้นไปจนถึงวันก่อนวันเลือกตั้ง การสร้างคะแนนนิยมให้กับตนเองหรือพรรคการเมืองของตนเองโดยทางอ้อม เป็นการจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งเอาเปรียบผู้สมัครหรือพรรคการเมืองอื่น ตรงนี้พูดกันในข้อกฎหมาย คือ ไม่สามารถกระทำได้ สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายเลือกตั้ง
ถามว่า กิจกรรมดังกล่าวสามารถขออนุญาต กกต.กระทำได้หรือไม่ ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่า โดยสภาพข้อกฎหมายไม่สามารถเปิดช่องให้กระทำได้ และกกต.ไม่สามารถใช้ดุลพินิจในการอนุญาตได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2560 เพราะการบริจาค แม้ไม่ได้บริจาคเองโดยตรง แต่เป็นการบริจาคโดยทางอ้อมให้แก่องค์กรสาธารณกุศลหรือสถาบันใดๆ เพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เป็นข้อห้ามมาตรา 73(2) มีบทลงโทษฝ่าฝืนตามมาตรา 158 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 73(1) หรือ(2) มาตรา 75 มาตรา 76 หรือมาตรา 94 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดยี่สิบปี ซึ่งจะเห็นได้ว่า แนวทางที่ กกต.ให้ไว้ เป็นการตีความโดยเคร่งครัด
ดังนั้นกิจกรรมว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ถือเป็นการจูงใจอย่างหนึ่ง ให้ประชาชนร่วมกันบริจาคเพื่อหวังผลทางการเมือง ปั่นกระแสให้แก่ตนเอง เพราะหาก ส.ส.เต้ มงคลกิตติ์ฯ จะทำกิจกรรมดังกล่าวเพื่อให้ประชาชนบริจาค ตั้งข้อสังเกตว่า นับตั้งแต่ กกต.ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.ในปี 2562 ถึงวันที่ 23 กันยายน 2565 ระยะเวลาเกือบ 4 ปี เหตุใดถึง ส.ส.เต้ มงคลกิตติ์ฯ ถึงไม่ระดมทุนช่วยเหลือประชาชนในช่วงเวลาดังกล่าวสามารถเล็งเห็นได้ว่า ฤดูน้ำหลาก มีโอกาสน้ำท่วมทุกปีตามพื้นที่ต่างๆทั่วประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ประกาศแล้ว! จำนวน สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง-เขตเลือกตั้งของแต่ละจังหวัดจะพึงมี
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ คณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเ
สส.บริจาคภัยพิบัติเต็มที่ ท้องถิ่นระวังช่วง180วัน!
กกต.ไฟเขียวบริจาคช่วยภัยพิบัติ สส.-สมาชิกพรรค ทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท
กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด
กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก
กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ
กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้
กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568
สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444
ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต
ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)


