'อรรถวิชช์' ค้านกกต.แบ่งเขตเลือกตั้งกทม. รูปแบบ 6-8 ชี้ผิดปกติเหมือนจัดวางให้ใครชนะ

"อรรถวิชช์" ค้านกกต.แบ่งเขตเลือกตั้งกทม.รูปแบบ 6-8 มาแบบลอยฟ้าผิดกฎหมาย แบ่งเขตพิสดาร โดยคำสั่งภายในสำนักงาน หวั่นหากเคาะกระทบไพรมารี เลือกตั้งเลื่อนทำประชาชนสับสน

10 ก.พ.2566 - เวลา 13.00 น.ที่สำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ยื่นคำร้องต่อกกต.เพื่อคัดค้านการประกาศแบ่งเขตเลือกตั้งเพิ่มเติมแบบที่ 6 - 8 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า การแบ่งเขตเพิ่มเติมรูปแบบที่ 6 - 8 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เป็นการดำเนินการที่ผิดกฎหมาย และขัดต่อพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. หากยังคงประกาศรูปแบบที่ 6 - 8 เกรงว่าจะกระทบกับปฏิทินจัดการเลือกตั้ง เนื่องจากทั้ง 3 รูปแบบ เป็นการแบ่งตามคำสั่งหนังสือภายใน ไม่ได้ดำเนินตามประกาศกกต.เกี่ยวกับรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 31 ม.ค.2566 โดยเห็นว่าการแบ่งเขต 5 รูปแบบเดิมก่อนหน้านี้ ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และสมบูรณ์แบบ

แต่เมื่อวันที่ 9 ก.พ.2566 กกต.ประกาศรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งรูปแบบที่ 6 - 8 ขึ้นมา เห็นว่าดำเนินการผิดขั้นตอน โดยขัดต่อมติกกต.เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่จะต้องดำเนินการแบ่งเขตให้แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 3 ก.พ.2566 ไม่สามารถที่จะมาแบ่งเขตเพิ่มเติมได้ เนื่องจากขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและพรรคการเมือง ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 13 ก.พ. แต่การแบ่งเขตเพิ่มเติมเป็นการดำเนินการตามหนังสือภายในคือประกาศสำนักงานกกต.เรื่องรูปแบบการแบ่งเขตเลือกตั้งส.ส.กทม.เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และพรรคการเมือง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพิ่มเติม ลงวันที่ 9 ก.พ.2566 ซึ่งเป็นเอกสารภายใน แล้วให้กกต.กทม.แบ่งเขตเพิ่มเติม โดยเอกสารฉบับดังกล่าวไม่ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา แล้วไม่ได้เปิดเผยสู่สาธารณะชน ซึ่งไม่สามารถทำได้ จึงทำให้การแบ่งเขตเพิ่มเติมรูปแบบที่ 6-8 ผิดกฎหมาย

นายอรรถวิชช์ ยังกล่าวว่า การแบ่งเขตเลือกตั้งเพิ่มเติมรูปแบบที่ 6-8 มีความผิดปกติ ซึ่งตามหลักพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 27 (1) การแบ่งเขตต้องคำนึงถึงสภาพของเขตเลือกตั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันเป็นการเลือกตั้งแบบส.ส. 1 คน ต่อ 1 พื้นที่ จึงต้องใช้เกณฑ์แบ่งเขตเมื่อปี 2554 และ2557 มาเป็นเกณฑ์ แต่แบบที่ 6 - 8 ไม่ได้นำมาใช้ และ (2) การแบ่งเขตให้เป็นลักษณะชุมชนเดียวกัน แต่การแบ่งเขตเลือกตั้งยกตัวอย่างในรูปแบบที่ 6 ที่มีการเลือกรวมบางแขวง จาก 4 เขตการปกครอง เช่นเขตพญาไท ยกเว้นแขวงสามเสนใน นำไปรวมกับเขตจตุจักร เฉพาะแขวงจอมพล รวมกับเขตดินแดง ยกเว้นแขวงดินแดง รวมกับเขตห้วยขว้าง เฉพาะแขวงห้วยขวาง ซึ่งเป็นการเลือกเฉพาะบางแขวง และนำมารวมเป็นเขตเลือกตั้งใหม่ ซึ่งไม่มีใครทำกัน และประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวไม่เคยอยู่ในพื้นที่เลือกตั้งเดียวกันมาก่อน จะทำให้ประชาชนสับสน ฝั่งถนน ฝั่งหนึ่งอยู่เขตเดียวกัน เคยเลือกอีกที่แต่ครั้งนี้ก็จะไปเลือกอีกที่ จึงตั้งข้อสังเกตว่า 4 เขตปกครองรวมอยู่ในเขตเลือกตั้งเดียวกันได้อย่างไร และเลือกเฉพาะเป็นแขวงๆ

"พญาไทมี 2 แขวง แต่เอามาแค่แขวงเดียว เขตจตุจักรมี 5 แขวงแต่เอามาแค่ 2 แขวง เขตดินแดงยกเว้น 1 แขวง เขตห้วยขวาง เอาเฉพาะแขวงห้วยขวาง เหมือนการดีไซน์ให้ใครคนใดคนหนึ่งชนะ เลือกตรงนั้นมาที ตรงนี้มาที และเป็นเขตเลือกตั้งที่ไม่เคยอยู่ด้วยกันซึ่งทำทำไม บางอันขนาดเป็นเขตพวงใหญ่สมัยโบราณยังไม่เคยอยู่ด้วยกันเลย อันนี้เป็นแบบส.ส.คนเดียว เขตเดียวยังเอามาชนกันได้ ผมได้คุยกับเพื่อนต่างพรรค หลายพรรคก็มีปัญหา และแปลกใจรูปแบบที่ 6 - 8 ส่วน 5 รูปแบบแรกผมว่าพรรคการเมืองก็พร้อมยอมรับเพราะมีความยึดโยงกับการแบ่งเขตเลือกตัเงส.ส.คนเดียว เขตเดียว มาตั้งแต่ปี 2554 - 2557 ถึงแม้ไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่ก็อยู่ในจุดที่ทุกพรรครับได้หมด แต่ 6 - 8 ผิดปกติอย่างยิ่ง"นายอรรถวิชช์ กล่าว

นายอรรถวิชช์ กล่าวอีกว่า ขณะที่เขตจตุจักรในรูปแบบ 1 - 4 ประชากรอยู่ที่ 153,000 กว่าคน ซึ่งสัดส่วนส.ส.1 คน ต่อประชากร 160,000 คน โดยเขตนี้มีประชาชนเลื่อมล้ำอยู่ 7 เปอร์เซ็นต์ ปรากฎว่ารูปแบบที่ 6 - 8 ย่อยสลายเขตเดียวกันทิ้งหมด แล้วนำไปกระจายเป็นสามเขตเลือกตั้ง ความผิดปกตินี้ตนคิดว่ากกต.จะต้องมีความชัดเจน เพราะอันนี้มันลอยฟ้ามา เป็นคำสั่งที่เป็นคำสั่งภายในแล้วมาแบ่งเขตที่ 6-8 เพิ่มเติม แบบนี้ผิดปกติ ถึงยื่นหนังสือให้กกต.ตรวจสอบวิธีการแบ่งเขต โดยอยากให้ถอนการแบ่งเขตเพิ่มเติมรูปแบบที่ 6-8 เพราะขัดพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.อย่างชัดเจน และหากปล่อยให้ยังอยู่และให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นใน 3 รูปแบบนี้ หากมีการเลือกออกมาและมีการร้องตามมาภายหลังว่ากระบวนการดำเนินการโดยไม่ถูกต้อง จะทำให้กระบวนการนี้ช็อต จะทำให้พรรคการเมืองอื่นๆไม่สามารถทำไพรมารีโหวตได้ เพราะแบ่งเขตไม่เสร็จในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เมื่อทำไดรมารีโหวตไม่ได้ก็ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้

"เนื่องจากกกต.กทม.เป็นคนแบ่งเขต และแบ่งโดยคำสั่งภายใน และไม่มีใครเคยเห็นคำสั่งนี้ว่าเป็นอย่างไร เพราะตามหลักการ ต้องลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้ประชาชนรับทราบ ขั้นตอนรูปแบบที่ 1-5 ชัดมากโดยกกต.มีมติและนำไปประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา แต่อันนี้เป็นคำสั่งภายใน เป็นคำสั่งภายในของใครมันผิดกฎหมายชัดเจน มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรในองค์กรที่จะต้องเป็นองค์กรกลางที่จะต้องกำหนดการเลือกตั้ง และการที่กกต.พยายามบอกว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งคำนึงถึงเกณฑ์ 10เปอร์เซ็นต์ เลยทำให้ต้องมีการออกรูปแบบที่ 6-8 เพิ่มเติม ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรเขตจตุจักรห่างกันไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ มันอยู่ที่ 7 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง ไปเอาเขตจตุจักรหั่น ให้กลายเป็น 3 เขตเลือกตั้ง คนจะไปเลือกตั้งอย่างไร ซึ่งแปลกมาก ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นได้กับการแบ่งเขตโดยใช้คำสั่งภายในแล้วไม่เปิดเผยต่อสาธารณชน" นายอรรถวิชช์ ระบุ

เมื่อถามว่าจะตั้งกรอบให้กกต.พิจารณาเรื่องดังกล่าวเสร็จภายในกี่วัน นายอรรถวิชช์ ต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด แต่แบ่งเขตเพิ่มเติมออกมาเมื่อวันที่ 9 ก.พ.2566 และเปิดโอกาสให้แสดงความเห็น 10 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 19 ก.พ. ซึ่งเห็นว่ามีความซ้ำซ้อน คิดว่าการแสดงความคิดเห็นควรสิ้นสุดตั้งแต่ 13 ก.พ. ดังนั้นควรต้องรีบดำเนินการในช่วงเวลานี้ ส่วนตัวเกรงว่าหากกกต. หยิบยกรูปแบบที่ 6-8 เห็นว่ามีความผิดปกติแน่นอน จึงขอให้กกต.จัดการเลือกตั้งให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม แล้วต้องคำนึงถึงการแบ่งเขตที่ไม่เป็นภาระของประชาชนในการไปใช้สิทธิใช้เสียง ดังนั้นขอให้การแบ่งเขตยึดตามกฎหมายโดยดูการแบ่งเขตในอดีต ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้เหมือนกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2554 และ 2557 โดยขอให้นำรูปแบบนี้มาเป็นตัวตั้ง แล้วปรับจำนวนประชากรให้เกิดความเหมาะสมสอดคล้อง อย่าคิดพิสดารเพราะจะทำให้ประชาชนสับสน อีกทั้งความผูกพันในพื้นที่ที่ผู้สมัครในพื้นที่นั้นๆได้ทำมา ก็จะยิ่งมีความห่างเหินกับประชาชนไปอีก เพราะถ้ากกต.เปลี่ยนเขตเลือกตั้งทุกครั้งแบบนี้ ส.ส.จะดูแลประชาชนได้อย่างไร จึงขอร้องให้ปรับเปลี่ยนเพื่อไม่ให้เกิดการฟ้องร้องและส่งผลกระทบต่อปฏิทินในการจัดการเลือกตั้ง รวมถึงการจัดทำไพรมารีโหวตไม่มีพรรคไหนทำได้เลย เพราะแบ่งเขตเลือกตั้งไม่เสร็จ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด

กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)