'ชัยชนะ' ซัด 'เด็จพี่' ป้องดิจิทัลวอลเล็ตแบบหมาหางด้วน ยก 2 โครงการกู้เงินแก้วิกฤตเศรษฐกิจสมัย ปชป. มาอธิบาย ชี้ ขรก.ประจำลำบากใจหากต้องดำเนินนโยบาย ย้ำชาวบ้านต้องการเงินสดไม่ใช่เงินในอากาศ
22 พ.ย.2566 - นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราชและ รักษาการรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (ฝ่ายการเมือง) ออกมาระบุว่า อยากจะให้ตนเองชี้แจงว่าสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลได้กู้เงินแล้วมาได้ใช้คืนหรือไม่ เพื่อตอบโต้ที่ออกมาแสดงความห่วงใยว่า โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท อาจจะเป็นการสร้างหนี้ในอนาคตว่า ในเมื่อนายพร้อมพงศ์ต้องการปกป้องโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยใช้วิธีแบบหมาหางด้วน คือถามว่าสมัยที่พรรค ปชป.เป็นแกนนำรัฐบาลนั้น ได้มีโครงการกู้เงินแล้วใช้คืนหรือไม่นั้น ก็ต้องบอกว่า พรรค ปชป.ก็มีโครงการกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและกู้มาเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่กู้มาแจกเพื่อรักษาแบรนด์ของพรรคเพื่อดึงและตรึงคะแนนเสียง โดยยกตัวอย่าง 2 โครงการกู้เงินใหญ่ๆ ที่พรรคกู้มาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ คือ โครงการมิยาซาวา โดยเป็นโครงการที่กระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง โดยได้เงินกู้มาจากองค์กรการเงินระหว่างประเทศ 3 แห่ง รวมเป็นเงิน 53,000 ล้านบาท หลังจากที่รัฐบาลในยุคของนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ไปเจรจากับ IMF เพื่อขอผ่อนปรนเงื่อนไขที่ให้รัฐบาลไทยจัดทำงบประมาณแบบเกินดุล ขณะที่เศรษฐกิจกำลังหดตัวอย่างรุนแรง พร้อมกันนี้ นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในยุคนั้น ก็ได้บริหารนโยบายคลังแบบผ่อนคลาย ประกอบกับการเบิกจ่ายงบมิยาซาวา ถือว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ครั้งนั้น จุดติดและมีผลนำพาประเทศผ่านพ้นวิกฤติไปได้ เศรษฐกิจไทยจากที่เคยติดลบ 10.1% ในปี 2541 กลับมาขยายตัวเป็นบวก 4.2% ในปี 2542 และยังขยายตัวต่อเนื่องไปถึงปี 2543 จนทำให้ รัฐบาลที่เข้าบริหารประเทศต่อมา ฉวยโอกาสตีกินว่าเป็นผลงานของตัวเอง และโฆษณาหาเสียงให้ประชาชนเข้าใจผิดอยู่ตลอดมา
นายชัยชนะ กล่าวต่อว่า ส่วนอีกหนึ่งโครงการกู้เงินที่มาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เรียกว่าวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เมื่อช่วงปี 2551 – 2553 ที่เรียกว่าโครงการไทยเข้มแข็ง นั้น ปรากฏว่า คณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นได้ออก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ 2552 วงเงิน 400,000 ล้านบาท โดยนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น ได้กำหนดกรอบวัตถุประสงค์การใช้จ่ายเงินเอาไว้ชัดเจน และได้ส่ง พ.ร.ก.ดังกล่าวให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ปรากฏว่า คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.ดังกล่าว ตราขึ้นเพื่อประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 184 วรรค 1 และเป็นกรณีฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน ตามมาตรา 184 วรรค 2 ซึ่งหลังจากที่ พ.ร.ก. ได้มีผลบังคับใช้แล้ว ก็ได้มีการดำเนินโครงการตามวงเงินใน พ.ร.ก. มากมาย เช่น โครงการจ่ายเงินอุดหนุนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น วงเงิน 23,000 ล้านบาท โครงการถนนไร้ฝุ่นของกรมทางหลวงชนบท วงเงิน 14,657 ล้านบาท โครงการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนสู่มาตรฐาน 7,152 ล้านบาท เป็นต้น ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า โครงการบางส่วนจะมีข่าวคราวเรื่องการทุจริต แต่ก็เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบและ สามารถดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม จนสามารถยืนยันได้ว่า โครงการตามงบไทยเข้มแข็งนั้น ทำให้ในปี 2553 เศรษฐกิจไทยกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ 7.8% ต่อปี เทียบกับปี 2552 ที่ติดลบ 2.3% รวมทั้ง ถือเป็นการใช้งบอย่างคุ้มค่า ตรงตามวัตถุประสงค์ และเป็นผลงานการฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ ที่ทำให้คนไทยทุกคนรอดพ้นมาได้
นายชัยชนะกล่าวอีกว่า ที่อธิบายมายืดยาวนี้ ก็เพื่อต้องการให้นายพร้อมพงศ์เข้าใจว่า การที่รัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำนั้น จะกู้เงินมาเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้ประชาชนประสบกับภาวะยากลำบาก และเมื่อดูจำนวนวงเงินแล้ว ก็ถือว่ามีความสมเหตุสมผลที่จะนำมาใช้ดำเนินการ รวมทั้ง ใน พ.ร.ก. เมื่อปี 2552 ก็ระบุว่า เงินที่ได้จากการกู้ให้นําไปใช้จ่ายตามวัตถุประสงค์ ในการกู้โดยไม่ต้องนําส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และยังมีมาตรการต่างๆ ที่ทำให้โครงการที่มาจากเงินกู้มีความโปร่งใส และมีผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนด เพราะฉะนั้น จึงตอบได้ว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์กู้เงินมานั้น ได้คืนกลับไปเป็นประโยชน์ของพี่น้องประชาชน โดยที่นักการเมืองและข้าราชการผู้ปฏิบัติตามโครงการเงินกู้ทั้ง 2 โครงการ ต่างมีความสบายใจในการดำเนินนโยบาย ซึ่งต่างจากโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่ทางพรรคเพื่อไทยโหมโฆษณาว่า จะไม่กู้มาดำเนินโครงการแม้แต่บาทเดียว แต่สุดท้าย จำเป็นต้องกู้เงินจำนวนมาก โดยแปะตัวเลข 100,000 ล้านบาทไว้เป็นเงินลงทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อทำให้อ้างได้ว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการเพื่อประโยชน์ของประเทศ โดยมุ่งหวังเพื่อโยนบาปหรือโยนทัวร์ให้ไปลงที่คนที่ไม่เห็นด้วยว่า เป็นคนขวางไม่ให้โครงการเกิดขึ้น รวมทั้ง ผมก็ยังย้ำว่า ข้าราชการประจำในกระทรวงการคลัง ต่างก็มีความไม่สบายใจถ้าจะดำเนินโครงการ ยิ่งวิธีการใช้เงินจริงมาผูกกับเงินในอากาศแล้ว ถือเป็นความเสี่ยงที่น่ากลัวว่าจะประเทศจะเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
“นายพร้อมพงศ์ ไม่ควรที่จะหลับหูหลับตาเชียร์อย่างเดียว แต่ควรฟังเสียงสะท้อนจากประชาชน ที่แสดงความคิดเห็นเข้ามา เพราะผมเชื่อว่า ถ้าพรรคเพื่อไทย มีหัวใจคือประชาชนอย่างที่ผ่านๆมา นั้น ก็ควรจะรู้ด้วยว่า ประชาชนต้องการเงินสดมากกว่าเงินในอากาศที่ต้องมีขั้นตอนสลับซ้อนวุ่นวายกว่าจะได้เงิน และมีช่องทางที่จะทำให้เกิดการทุจริตตั้งแต่ต้นจนจบโครงการด้วย” นายชัยชนะกล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อภิสิทธิ์' เปิดตัว 33 ผู้สมัคร สส.กทม. เชื่อปีเลือกตั้งลงท้าย 9 'ปชป.' มักชนะ
'อภิสิทธิ์' เปิดตัว 33 ผู้สมัคร สส.กทม. การันตีเฟ้นเข้มข้น ขอโอกาสคนกรุงไว้วางใจ ใช้การเมืองสุจริตเปลี่ยนแปลงประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต เชื่อเลือกตั้งปีที่ลงท้ายเลข 9 'ปชป.' มักชนะ
'อภิสิทธิ์' ชวนคนไทยเลิกทน ร่วมกันล้างบาง 'ปัญหาสีเทา' เตรียมแถลงเปิดแคมเปญใหญ่
หัวหน้าพรรคปชป. ชี้ปัญหาเชิงโครงสร้างเหล่านี้มีรากเหง้ามาจากการทุจริตคอร์รัปชัน และระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประเทศ
เปิดเบื้องลึก! ทำไมคน 'ปชป.' แห่กันลงปาร์ตี้ลิสต์
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ปัญหาปาร์ตี้ลิสต์ของประชาธิปัตย์
พรรคประชาธิปัตย์ เปิดชื่อผู้สมัคร สส.กทม. 33 เขต ลุยศึกเลือกตั้ง 69
ปชป. เปิดชื่อผู้สมัคร กทม.ทั้ง 33 เขต เตรียมเผยโฉม 22 ธ.ค.นี้ "สกลธี" ย้ำผ่านกระบวนการคัดเลือกหลายขั้นตอน จากกว่า 150 คน จ่อดึงคนที่ไม่ได้ไปต่อทำงานร่วมกับพรรค
จับตา ‘ลูกชายเดชอิศม์’ กลับลำ ทิ้ง ปชป. ซบกล้าธรรม
พรรคกล้าธรรมขยับต่อเนื่อง หลัง “วงศ์วชร-บารมี ขาวทอง” สมัครสมาชิกและเตรียมลงสนาม สงขลา ล่าสุดมีสัญญาณว่า “ศักดิ์สิทธิ์ ขาวท
'ปชป.' ตั้งเป้าคว้า10 สส.เมืองกรุง จ่อเปิดตัวผู้สมัครทั่วประเทศ 25 ธ.ค.พร้อม 3 แคนดิเดตนายกฯ
'ปชป.' เตรียมเผยโฉมผู้สมัคร สส.กทม. 22 ธ.ค.นี้ ตั้งเป้าคว้า 10 สส.เมืองกรุงฯ-เล็งเปิดตัวทั่วประเทศ 25 ธ.ค.ต่อเนื่อง พร้อม 3 แคนดิเดตนายกฯ ยอมรับส่งผู้สมัครไม่ครบ 400 เขต เหตุ มีคนขาดคุณสมบัติไม่ไปเลือกตั้งท้องถิ่น บอก ยังไม่ขีดเส้นจำนวน สส.ทั่วประเทศ เนื่องจากยังไม่เห็นหน้าคู่แข่งชัดเจน

