‘สว.สำรอง’ บุกดีเอสไอ ร้องสอบปมล็อกโหวตฮั้วเลือก สว. หลัง กกต.ตีตกคำร้อง

10 ก.พ.2568-ที่กรมสอบสวน​คดี​พิเศษ​ (ดีเอสไอ)​ กลุ่มสว.เพื่อประชาชน นำโดยพล.ต.ท.คำรบ ปัญญาแก้ว เพื่อประชาชน พร้อมตัวแทน สว.สำรอง ประมาณ 30 คน ยื่นคำร้องต่ออธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอให้เข้ามาร่วมสอบสวนคดีการฮั้ว โกง และบล็อกโหวตในได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.)​ ที่ผ่านมา เมื่อปี 2567 อย่างจริงจัง โดยขอให้รับดำเนินการเป็นคดีพิเศษ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดให้มีการเลือกสว.ระดับประเทศ เมื่อวันที่26 มิ.ย. 2567 และได้ประกาศรายชื่อสว. จำนวน 200 คนและ สว.สำรองอีกจำนวน 99 คนในเวลาต่อมา โดยภายหลังมีผู้ร้องเรียนและร้องคัดค้านว่าการเลือกสว.ไม่เป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรมมีการฮั้วและบล็อกโหวตในการลงคะแนนรวมทั้งร้องคัดค้านเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการประกาศรับรองเป็นสว.แล้ว เป็นจำนวนมากกว่า 570 เรื่อง

โดยได้มีการติดตามทวงถามผลการดำเนินการกับทาง กกต. เรื่อยมาพร้อมทั้งได้มีการนำข้อมูลพยานหลักฐานมอบให้ กกต.พิจารณาตรวจสอบอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน และต่อมาได้รับแจ้งจากกกต.ว่ายกคำร้องและยุติเรื่อง ถึง 200 เรื่อง โดยไม่ได้ให้เหตุผลใด ๆ ทำให้ผู้ร้องคลางแคลงใจและไม่มั่นใจต่อการดำเนินการของ กกต.เป็นอย่างมาก

พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า ขณะนี้มีคำร้องที่ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการของ กกต.อยู่อีกมากกว่า 300 เรื่องและใช้เวลาดำเนินการสืบสวนสอบสวน ตั้งแต่เสร็จสิ้นการเลือกสว.มาแล้วถึงปัจจุบันมากกว่า 220 วัน เหลือเวลาเพียงอีก 100 วันเศษ ก็จะครบ 1 ปี ตามกรอบเวลาการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยของ กกต. จึงไม่มั่นใจว่า กกต.จะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์และผดุงไว้ซึ่งความสุจริตและเที่ยงธรรมได้หรือไม่ ความล่าช้าในการดำเนินการของ กกต.ที่ผ่านมาไม่ได้มีผลกระทบต่อการตรวจสอบในความสุจริตและเที่ยงธรรมของการเลือกสว. เท่านั้น แต่ยังทำให้ สว. ที่ได้รับเลือกไปแล้ว และกำลังปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางข้อกังขาของสังคมทั่วไปว่ามีการฮั้วและโกงดำเนินการผ่านการเลือกมาโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรม

ทั้งนี้พฤติกรรมของกลุ่มขบวนการนี้มีลักษณะเข้าข่ายกระทำผิดตามกฎหมายต่างๆ ต่างกรรมต่างวาระ กล่าวคือ 1. ความผิดในลักษณะการจัดตั้งกลุ่ม กลุ่มขบวนการที่ปกปิดวิธีการดำเนินงานและมีความมุ่งหมายมิชอบด้วยกฎหมายอันเป็นความผิดฐานอั้งยี่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209

2. ความผิดในลักษณะ ชักจูง ชี้นำ จัดตั้งกลุ่มขบวนการเลือกสว.อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาชนที่จัดตั้งล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3)

3. ความผิดในการให้สัญญาจะให้ เพื่อให้บุคคลลงคะแนนในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาโดยไม่สุจริตและเที่ยงธรรมอันเป็นความผิดตาม พรป. ว่าด้วยการเลือกสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 77 (1) และความผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 จึงขอให้ดีเอสไอรับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษ

นายสมบูรณ์​ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มารับเรื่อง จากกลุ่มตัวแทนผู้สมัครสว. ขอยืนยันว่า ทุกกลุ่มที่ไม่ได้รับความยุติธรรมทางกระทรวงยุติธรรม

ยินดีรับเรื่องไว้ดำเนินการ โดยทราบว่ากลุ่มดังกล่าวได้มีการร้องเรียนตั้งแต่ปีที่แล้วและเรื่องอยู่ในความรับผิดชอบของ แล เรื่องอยู่ในการสืบสวนของดีเอสไอ ทั้งนี้ กระทรวงยุติธรรมได้ตระหนักดีว่า องค์กรสว.องค์กรสำคัญระดับชาติ และกระทรวงยุติธรรมไม่ได้นิ่งนอนใจดำเนินการอยู่บนหลักพื้นฐาน

ส่วนพ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า วันนี้เป็นการยื่นเรื่องเพิ่มเติมของกลุ่มผู้ร้อง ว่ามีการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการรับเรื่อง ร้องเรียนให้มีการตรวจสอบกระบวนการ การได้มาซึ่งสว เมื่อกลางปีที่แล้วและทางดีเอสไอ ได้มีหนังสือแจ้งไปยังกกต เพื่อให้กกตพิจารณาว่า ในเรื่องนี้กกตจะรับเรื่อง ไปดำเนินการหรือไม่ หรือจะมอบหมายให้ดีเอสไอ เป็นผู้ดำเนินการ ในขณะเดียวกันทางดีเอสไอ ได้มีการตั้งเลขสืบสวน ที่ 151/ 2567 ดำเนินการคู่ขนานกับกกต. และกกต. มีหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย พนักงานหลายหน่วยงาน อาทิดีเอสไอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปปง ร่วมเป็นคณะทำงาน เนื่องจากความผิดนี้ทางกกต. เป็นเจ้าภาพหลัก ในการดำเนินการ

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 ก.ย 2567 กกต.ได้มีการสอบถาม ถึงดีเอสไอ ว่ามีการรับคำร้องไว้ดำเนินการกี่เรื่อง รวมถึงดำเนินการอย่างไรบ้างแล้ว ซึ่งในวันที่ 3 ก.พ. 2568 ทางดีเอสไอ ได้มีหนังสือถึงกกต เพิ่มเติมว่า กกตมีมติอย่างไร ให้ดีเอสไอ ดำเนินการในส่วนไหนบ้าง ขณะนี้รอเพียงกกต. แจ้งความประสงค์แจ้ง เนื่องจากกฎหมายเกี่ยวกับการได้มาซึ่งสว เป็นอำนาจของกกตโดยตรง ซึ่งดีเอสไอ ได้รวบรวมพยานหลักฐานในชั้นสืบสวน

ผู้สื่อข่าวถามว่า กระบวนการการเลือกสว. ทางตัวแทนผู้สมัคร สามารถยื่นให้รับเป็นคดีพิเศษเองได้หรือไม่ หรือต้องรอให้กกต.มายื่นเรื่องร้องเรียนเอง นายสมบูรณ์​ กล่าวว่า  ตามมาตรา 49 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ระบุว่าเมื่อความปรากฏว่า เมื่อพนักงานหรือหน่วยงานของรัฐรับเรื่องการกระทำความผิด เกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ให้เป็นอำนาจกกต.ที่จะดำเนินการเองหรือโอนคดี ให้หน่วยงานอื่น โดยในกรณีนี้ทางดีเอสไอ เป็นผู้ดำเนินการสอบสวน มีกำหนดระยะเวลาภายใน 7 วัน คือภายในวันที่ 10 ก.พ 2568 ว่ามีความผิดทางอาญาใดบ้างที่กกตประสงค์จะรับไว้ดำเนินการสอบสวนเอง แต่ถ้าเป็นความผิดอื่น กลุ่มสว.จะมาร้องเรียนเพิ่มเติม ทางดีเอสไอจะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม เพื่อกลั่นกรองว่าจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่

ส่วนเลขสืบสวนที่ 151/2567 ดีเอสไอทำการสืบสวนและรวบรวม​พยานหลักฐาน​ ทั้งการบันทึกถ้อยคำพยานบุคคล การตรวจสอบพยานหลักฐานทางดิจิทัล การตรวจสถานที่เกิดเหตุ สถานที่จัดฮั้วสว. การตรวจสอบพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารเกี่ยวกับโพย สว. รายการตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งพบว่ามีความผิดปกติแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

เมื่อถามอีกว่า ถ้าพบความผิดจะทำให้การเลือกสว.ครั้งที่ผ่านมาเป็นโมฆะหรือไม่นั้น พ.ต.ต.ยุทธ​นา กล่าวว่า การดำเนินการเป็นอำนาจหน้าที่ของกกต. ในการพิจารณา ซึ่งการสอบสวนในเรื่องนี้ต้องมีการยื่นคำร้องให้ศาลฎีกาเป็นผู้พิจารณา ยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซงจากการเมือง และไม่มีการตั้งธง หรือตั้งเป้าใดๆทั้งสิ้น เราทำตรงไปตรงมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับ เลขสืบสวนที่ 151/2567 ของดีเอสไอ ที่ได้ดำเนินการส่งคืนกกต.ให้พิจารณาดำเนินการต่อไปนั้น มีสาระสำคัญระบุว่าได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานโดยสรุปแล้วกรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 (1) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 207 (ฐานความผิดอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดีเอสไอเผยคืบหน้าคดีคุกวีไอพี อธิบดีราชทัณฑ์ ยันขรก.ทุจริตต้องถูกลงโทษ

"ดีเอสไอ" เร่งสอบเส้นทางเงินผู้ต้องขังชาวจีน พร้อมเรียกเจ้าหน้าที่และอดีต ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ปากคำครบทุกฝ่าย

กกต.ขยับรับสมัครอบต.ใต้เป็น 8-12 ธ.ค. เหตุอุทกภัยกระทบหลายจังหวัด

กกต.ปรับรอบรับสมัครเฉพาะ 5 จังหวัดน้ำท่วม ส่วนจำนวน อบต.ทั่วประเทศลดเหลือ 4,985 แห่งจากการยกฐานะเป็นเทศบาล ต้องแบ่งเขตใหม่ก่อนจัดเลือกตั้งช่วงเมษายน 2569 หลายพื้นที่เปิดรับสมัครวันแรกคึกคัก

กกต. แจงนักการเมือง-พรรค บริจาคช่วยน้ำท่วมได้เต็มที่ แต่ระดับท้องถิ่นต้องระวังช่วง 180 วันก่อนครบวาระ

กกต. ชี้ "บริจาคช่วยภัยพิบัติ" สส.-สมาชิกพรรคทำได้เต็มที่ไม่เกินครั้งละ 3 แสนบาท แต่จะบริจาคกี่ครั้งก็ได้ ส่วนพรรคการเมืองไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อเหตุการณ์ ย้ำโปร่งใส–โฆษณาได้ 

กกต. ขอเชิญชวนสมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภา อบต. และนายก อบต. ระหว่างวันที่ 1 - 5 ธันวาคม 2568

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสมาชิก สภาองค์การบริหารส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ระหว่างวันที่ 1 – 5 ธันวาคม 2568 เวลา 08.30 – 16.30 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) ณ สถานที่ที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอประชาสัมพันธ์ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้งสามารถตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม และเตรียมหลักฐานและเอกสารประกอบการ ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 1.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด 1.2 ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุ ไม่ต่ำกว่า 25 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง สำหรับผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลที่สมัครรับเลือกตั้ง ในวันสมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง 1.4 วุฒิการศึกษา • สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ไม่ได้กำหนดวุฒิการศึกษา • ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา 2. ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.1 ติดยาเสพติดให้โทษ 2.2 เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต 2.3 เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ 2.4 เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามพระราชบัญญัติ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 มาตรา 39 (1) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช (2) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่ว่าคดีนั้นจะถึงที่สุดแล้วหรือไม่ หรือ (4) วิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ 2.5 อยู่ระหว่างถูกระงับการใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นการชั่วคราวหรือ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 2.6 ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล 2.7 เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปี นับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.8 เคยถูกสั่งให้พ้นจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจเพราะทุจริต ต่อหน้าที่หรือถือว่ากระทำการทุจริตหรือประพฤติมิชอบในวงราชการ 2.9 เคยต้องคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอันถึงที่สุดให้ทรัพย์สินตกเป็น ของแผ่นดินเพราะร่ำรวยผิดปกติ หรือเคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเพราะกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2.10 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือกระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ในความผิดฐานเป็นผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือผู้ค้า กฎหมายว่าด้วยการพนันในความผิดฐานเป็นเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก กฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือกฎหมายว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินในความผิดฐานฟอกเงิน 2.11 เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำการอันเป็นการทุจริตในการเลือกตั้ง 2.12 เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ 2.13 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น 2.14 เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น หรือเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ 2.15 เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 2.16 อยู่ในระหว่างต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2.17 เคยพ้นจากตำแหน่งเพราะศาลฎีกาหรือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หรือกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง 2.18 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ไม่ว่าจะได้รับโทษหรือไม่ โดยได้พ้นโทษหรือ ต้องคำพิพากษามายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง แล้วแต่กรณี 2.19 เคยถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หรือกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น แล้วแต่กรณี มายังไม่ถึง 5 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง 2.20 อยู่ในระหว่างถูกจำกัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 หรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2.21 เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น 2.22 เคยพ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะเหตุมี ส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น หรือมีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการ ที่กระทำกับหรือจะกระทำกับหรือให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่น โดยมีพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นการต่างตอบแทน หรือเอื้อประโยชน์ส่วนตนระหว่างกัน และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.23 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบของทางราชการ หรือมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นเหตุให้เสียหาย แก่ราชการอย่างร้ายแรง และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.24 เคยถูกสั่งให้พ้นจากตำแหน่งใด ๆ ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพราะทอดทิ้งหรือละเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่และอำนาจ หรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยหน้าที่ และอำนาจ หรือประพฤติตนฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือมีความประพฤติในทางที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่ศักดิ์ตำแหน่ง หรือแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือแก่ราชการ และยังไม่พ้น 5 ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่งจนถึงวันเลือกตั้ง 2.25 ลักษณะอื่นตามที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3. หลักฐานและเอกสารประกอบการยื่นใบสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครยื่นใบสมัครต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลพร้อมทั้งหลักฐานการสมัคร ดังนี้ 3.1 ใบสมัครรับเลือกตั้งตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/1 3.2 รูปถ่ายหน้าตรงไม่สวมหมวก หรือ รูปภาพที่พิมพ์ชัดเจนเหมือนรูปถ่ายของตนเอง ขนาดกว้างประมาณ 8.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 13.5 เซนติเมตร จำนวนตามที่ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์การบริหารส่วนตำบลกำหนด 3.3 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน 3.4 สำเนาทะเบียนบ้าน 3.5 ใบรับรองแพทย์ 3.6 หลักฐานการศึกษา 3.7 หลักฐานการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี (2565, 2566, 2567) นับถึงปีที่สมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นผู้ไม่ได้เสียภาษีเงินได้ ให้ทำหนังสือยืนยัน การไม่ได้เสียภาษี พร้อมทั้งสาเหตุแห่งการไม่ได้เสียภาษีตามแบบ ส.ถ./ผ.ถ. 4/2 4. ค่าธรรมเนียมการสมัครรับเลือกตั้ง 4.1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล 2,500 บาท 4.2 สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล 1,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ใดลงสมัครรับเลือกตั้งโดยรู้อยู่แล้วว่าตนเป็นผู้ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้ง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 - 10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี ตามมาตรา 120 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหาร ส่วนตำบลและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th หรือ Application Smart Vote หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดทุกจังหวัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่บริการสายด่วน 1444

ปี69เดือด!เลือกตั้งทุกระดับ 'กกต.-ประชาชน'ตัดสินอนาคต

ปี 2569 กลายเป็นปีที่ท้าทายที่สุดสำหรับประชาธิปไตยไทย ด้วยการเลือกตั้งหลายระดับที่กระชั้นชิดกันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ที่คาดว่าจะพ่วงด้วยการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ และบันทึกความเข้าใจ (MOU)