เรืองไกร ร้อง ป.ป.ช. ไต่สวนภูมิธรรม ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่ ปมทูลเกล้าฯ ยุบสภา
04 ก.ย. 2568 - นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า วันนี้ได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS เพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) หรือไม่ และหาก ป.ป.ช. ตรวจสอบไต่สวนแล้ว มีพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ข้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ขอให้ ป.ป.ช. รีบดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ต่อไปโดยเร็ว
นายเรืองไกร กล่าวว่า เรื่องนี้เข้าข่ายมีพยานหลักฐานอันควรขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบในเรื่องการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ก่อน โดยในคำร้องมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายพร้อมคำขอเป็นข้อ ๆ ดังนี้
ข้อ 1. เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 เว็บไซต์รัฐบาลไทย หัวข้อ “ภูมิธรรม” เผยความไม่ชัดเจนทางการเมืองสร้างความสับสนและผลกระทบต่อเศรษฐกิจเห็นควรคืนอำนาจให้ประชาชน ย้ำทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย ลงข่าวไว้ดังนี้ วันนี้ (3 ก.ย. 68) เวลา 10.35 น. ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าระบบประชาธิปไตยกำลังเผชิญกับความบิดเบี้ยว โดยการตัดสินใจจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลของพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชน แต่พรรคประชาชนจะไม่เข้าร่วมเป็นรัฐบาลนั้น ส่งผลให้การเมืองแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ พรรคเพื่อไทยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พรรคภูมิใจไทยเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ส่วนพรรคประชาชนอยู่ในสถานะทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า สถานการณ์เช่นนี้ทำให้บรรยากาศทางการเมืองเกิดความไม่ชัดเจน เกิดการดึงตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สร้างความสับสนให้แก่ประชาชน นอกจากนี้ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยังคงมีปัญหา หากไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนสู่ประเทศได้ จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบและเผชิญกับปัญหารุมเร้าเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการหารือร่วมกัน โดยเฉพาะในมุมมองของฝ่ายกฎหมาย มีความเห็นตรงกันว่าควรคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ถือเป็นพระราชอำนาจ จึงไม่มีบุคคลใดมีสิทธิ์ตัดสินใจได้เอง และต้องขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยในสถานการณ์ต่าง ๆ
“ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาและรวบรวมความคิดเห็นต่าง ๆ อย่างรอบด้าน เห็นควรนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อถวายรายงานสถานการณ์ให้ทรงทราบ เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม ดังนั้น จึงได้ตัดสินใจยื่นทูลเกล้าฯ ไปตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม จะต้องรอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
ข้อ 2. ต่อมาเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2568 เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา หัวข้อ 'ภูมิธรรม' ไม่ให้สัมภาษณ์! สะพัดสำนักองคมนตรีส่งคืน ‘ร่างพ.ร.ฎ.ยุบสภา’มีข้อขัดแย้งทางกม. ลงข่าวไว้ดังนี้ สะพัด! สำนักองคมนตรีส่งคืน ‘ร่างพ.ร.ฎ.ยุบสภา’ เหตุยังมีข้อขัดแย้งทางกม.-ไม่เป็นไปตามระเบียบ ขณะกฤษฎีกาทำความเห็นประกอบไปแล้ว รัฐบาลรักษาการ ไม่สามารถกราบบังคมทูลได้ - 'ภูมิธรรม' ไม่ให้สัมภาษณ์
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า หลังจากที่ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ฎ.ยุบสภา) เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าวันนี้ (3 กันยายน) สำนักองคมนตรีในฐานะหน่วยงานกลั่นกรองหนังสือและถวายความเห็นประกอบกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยและทรงลงพระปรมาภิไธย ได้ส่งคืนร่างพระราชกฤษฎีกากลับมาให้สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
โดยมีหนังสือนำส่งกลับคืนมาระบุว่า การกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรไม่เป็นไปตามระเบียบการนำเสนอเพื่อขอพระมหากรุณา เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีปัญหาข้อขัดแย้งว่ากระทำได้หรือไม่ ประกอบกับเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ทำความเห็นประกอบว่า รัฐบาลรักษาการ ไม่สามารถกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาฯ ได้ จึงไม่สามารถกราบบังคมทูลเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ได้
ขณะที่ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้ทำรายงานให้นายภูมิธรรม ในฐานะผู้กราบบังคมทูลทราบแล้ว โดยนำเสนอหนังสือของสำนักองคมนตรีไปให้ทราบด้วย
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการนำร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภากราบบังคมทูลนั้น ปกติจะทำผ่านสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่ปรากฏว่าในการนำเสนอร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาครั้งนี้รัฐบาลได้ดำเนินการเองโดยตรง
ต่อมาเวลา 17.20 น. นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เดินทางออกจากทำเนียบ โดยไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หลังมีกระแสข่าวถูกตีกลับพ.ร.ฎ.ยุบสภา
ข้อ 3. ข้อเท็จจริงดังกล่าว อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 186 ที่บัญญัติว่า “มาตรา 186 ให้นำความในมาตรา 184 มาใช้บังคับแก่รัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม เว้นแต่กรณี ดังต่อไปนี้
(1) การดำรงตำแหน่งหรือการดำเนินการที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นหน้าที่หรืออำนาจของรัฐมนตรี
(2) การกระทำตามหน้าที่และอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน หรือตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภา หรือตามที่กฎหมายบัญญัติ
นอกจากกรณีตามวรรคหนึ่ง รัฐมนตรีต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม อันเป็นการก้าวก่ายหรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองโดยมิชอบตามที่กำหนดในมาตรฐานทางจริยธรรม”
ข้อ 4. ข้อเท็จจริงตามข่าวดังกล่าว จึงมีประเด็นที่ต้องตรวจสอบว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป มีการใช้สถานะหรือตำแหน่งกระทำการใดไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมืองโดยมิชอบตามที่กำหนดในมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่
ข้อ 5. มาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อที่อาจเกี่ยวข้อง มีดังนี้
“ข้อ 7 ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน”
“ข้อ 8 ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบเพื่อตนเอง หรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์ที่รู้เห็นหรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ”
“ข้อ 11 ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม”
“ข้อ 12 ยึดมั่นหลักนิติธรรม และประพฤติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดีของประชาชน”
“ข้อ 13 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยุติธรรม เป็นอิสระ เป็นกลาง และปราศจากอคติ โดยไม่หวั่นไหวต่ออิทธิพล กระแสสังคม หรือแรงกดดันอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมแห่งสถานภาพ”
“ข้อ 15 ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือน”
“ข้อ 17 ไม่กระทำการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง”
“ข้อ 21 ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ และยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม โปร่งใสและตรวจสอบได้ และปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบแบบแผนของทางราชการ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ และความผาสุกของประชาชนโดยรวม”
ข้อ 6. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 บัญญัติว่า “มาตรา 87 เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไต่สวนและมีความเห็นว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมอง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย
การเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง และการพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาให้เป็นไปตามระเบียบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาซึ่งต้องกำหนดให้ใช้ระบบไต่สวนและให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว
ให้นำความในมาตรา 81 และมาตรา 86 มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม
การเสนอเรื่องต่อศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจมอบหมายให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการในศาลแทนได้”
ข้อ 7. ดังนั้น จากข้อเท็จจริงตามข่าวดังกล่าว จึงมีเหตุอันควรขอให้ ป.ป.ช. ทำการตรวจสอบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ว่าการนำความกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ฎ.ยุบสภา) เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 และต่อมาปรากฏข่าวว่าสำนักองคมนตรีส่งคืน ‘ร่างพ.ร.ฎ.ยุบสภา’ เหตุยังมีข้อขัดแย้งทางกม.-ไม่เป็นไปตามระเบียบการนำเสนอเพื่อขอพระมหากรุณา เนื่องจากเป็นเรื่องที่มีปัญหาข้อขัดแย้งว่ากระทำได้หรือไม่ นั้น มีข้อเท็จจริงเช่นนั้นหรือไม่ ทั้งนี้ขอให้ ป.ป.ช. เรียกพยานเอกสารหลักฐานจากสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มาประกอบการพิจารณาโดยด่วนด้วย
ข้อ 8. หาก ป.ป.ช. ตรวจสอบไต่สวนแล้ว มีพยานหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่งแต่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ว่าเข้าข่ายมีพฤติการณ์ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 234 (1) ประกอบมาตรฐานทางจริยธรรม ในข้อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันเนื่องมาจากการการนำความกราบบังคมทูลร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร (พ.ร.ฎ.ยุบสภา) เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 นั้น ขอให้ ป.ป.ช. รีบดำเนินการไต่สวนและมีคามเห็นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ต่อไปโดยเร็ว
ข้อ 9. อนึ่ง แม้ต่อมานายภูมิธรรม เวชยชัย จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วก็ตาม ป.ป.ช. ก็ต้องไต่สวนต่อไป เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 235 วรรคสาม บัญญัติไว้ส่วนหนึ่งว่า ให้ผู้ต้องคำพิพากษาต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งด้วย ซึ่งตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีจริยธรรมที่ผ่านมา ก็ได้มีคำพิพากษาเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไปด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
จับตาสว.เคาะ2ป.ป.ช. ผุดกมธ.คุ้ยชีวิต2กกต.
จับตาสภาสูงโหวต 2 ป.ป.ช.ใหม่พุธนี้ วัดใจ สว.สีน้ำเงินให้ผ่านหรือตีตกสองบิ๊กตุลาการ
คดีค้างอื้อ! เบรกสว.สีน้ำเงินลงมติห็นชอบ ชี้ขัดกันแห่งผลประโยชน์
สว.อิสระค้าน พุธนี้สภาสูงลงมติเห็นชอบป.ป.ช.-ตั้งกมธ.สอบประวัติว่าที่กกต. ยกเหตุเพื่อป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์ หลังสว.เกินครึ่งมีเรื่องค้างที่ตึกป.ป.ช.-กกต.
สภาสูงโหวต ป.ป.ช.ใหม่ 2 ชื่อพุธนี้ วัดใจ 'สว.สีน้ำเงิน' ชี้รอดหรือร่วง
สภาสูงโหวต ป.ป.ช.ใหม่สองชื่อพุธนี้ วัดใจ สว.สีน้ำเงิน ให้ผ่านหรือตีตก สองบิ๊กตุลาการ พ่วงตั้งกมธ.สอบประวัติฯ ว่าที่กกต.ใหม่สองคน พบแบ็คกราวด์ไม่ธรรมดา แน่นปึ๊กสีน้ำเงิน
'สุชาติ' ยันวางตัวผู้สมัครเมืองชลฯ ครบ 10 เขตไร้ปัญหาทับซ้อน!
'สุชาติ' เผยวางตัวผู้สมัครชลบุรีครบทั้ง 10 เขต ไร้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อน บอกผู้แทนต้องพึ่งพาได้ ไม่หวั่นกระแส จับต้องไม่ได้ แนะชาวบ้านเลือกผู้แทนมาใช้งานไม่ใช่มาใช้เรา
ดีเอสไอ สรุปสำนวนคดีคุกวีไอพีจีนเทา ส่ง ป.ป.ช. เชือด ’ผบ.เรือนจำ’ ม.157 - ค้าประเวณี
จากกรณีเมื่อวันที่ 24 พ.ย. เจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีความมั่นคง คณะกรรมการตรวจสอบข้
ศาลรธน.ยังไม่นัดวินิจฉัยสถานะ 'ภูมิธรรม-ทวี' ปมแทรกแซงคดีฮั้วสว. รอความเห็นพยาน
ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 42

