
‘ณัฐพงษ์’ ย้ำใช้เสียง ‘พรรคประชาชน’ หนุน ‘อนุทิน’ เป็นนายกฯ เพื่อมุ่งหวังเปิดประตูแก้รัฐธรรมนูญ ไร้การรัฐประหาร นับหนึ่งหน้าที่ฝ่ายค้าน ไม่อนุญาตให้รัฐบาลใช้อำนาจมิชอบ-แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
29 ก.ย. 2568 – ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 ) เป็นพิเศษ มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประะานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามาตรา 162 ของรัฐธรรมนูญ
ภายหลังนายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายเสร็จสิ้น จากนั้นเวลา 10.02 น. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า วันนี้นอกจากจะเป็นหมุดหมายแรก ที่รัฐบาลได้เข้าทำหน้าที่ภายใต้กรอบระยะเวลา 4 เดือนอย่างเป็นทางการแล้ว ยังถือว่าเป็นหมุดหมายแรกของตนและพรรคประชาชนในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เพื่อนับถอยหลังสู่การยุบสภาและมุ่งหน้าสู่การทำประชามติ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยความสำคัญของการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ขอให้ทุกคนระลึกถึงวันที่ท่านมีสิทธิ์เข้าคูหาในการเลือกตั้งครั้งแรกในชีวิต ซึ่งสิ่งที่ตนจำความได้คือ 19 ปี นับตั้งแต่ปฏิวัติปี 49 ที่ทำให้ชีวิตของตนต้องผ่านการปฏิวัติรัฐประหารเพิ่มขึ้นอีก 2 ครั้ง นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งไปถึง 5 คน พรรคการเมืองที่สำคัญถูกยุบไปอีก 7 พรรค และการเลือกตั้งก็ต้องถูกล้มไป 2 ครั้ง และในช่วงระยะเวลา 2 ปี ที่ผ่านมา พวกเราต้องเปลี่ยนนายกฯ 3 คน และคนไทยทั่วประเทศผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งในยุคนี้ ไม่เคยคนรุ่นไหนที่เดินเข้าคูหาเลือกตั้งแล้วประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิวัติรัฐประหาร และไม่เคยมีคนไทยสักรุ่นที่เกิดและเติบโตในประเทศไทยที่อยู่ในการเมืองประชาธิปไตยเต็มใบที่มีเสถียรภาพ และประเทศไทยที่ผ่านมาไม่เคยมีที่ดอกผลของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่เราเติบโตแบบก้าวกระโดดเกิดจากแรงถีบและแรงส่งของรัฐบาลและการเมืองภายในประเทศที่มีประชาธิปไตย และลมที่กำลังเปลี่ยนทิศในการเมืองโลกวันนี้ ไม่ได้กำลังเข้าข้างประเทศไทยอีกต่อไป
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การเมืองแบบที่เป็นอยู่ ที่เราต้องมาแถลงนโยบาย 3 ครั้ง ในรอบ 2 ปี เนื่องจากกลไกของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระถูกนำมาใช้ทำลายล้างกันทางการเมือง มากกว่าการจับคนโกงลงโทษคนผิด ปัญหาความทุจริตในประเทศไม่เคยเบาบางลง มีแต่หนักขึ้นทุกวัน ตราบใดที่เรายังอยู่ในระบบการเมืองแบบนี้ มีใครในประเทศนี้ที่จะต้องเจ็บปวดบ้าง ทั้งพี่น้องชาวเกษตรกรหรือคนไทยทุกคน รวมถึงปัญหาน้ำท่วม ไฟป่า ก็ยังไม่เคยมีรัฐบาลยุคใด ที่เข้ามาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ และประชาชนต่างจังหวัด ที่เคยอยู่กับคำขวัญที่ว่า น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีงานทำ เป็นคำขวัญที่อยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ปี 2504 ลองหันไปดูหลายพื้นที่ตอนนี้ น้ำไม่ไหล ไฟไม่สว่าง ทางไม่สะดวก จะไปโรงพยาบาลก็ต้องตื่นตี 5 ไปต่อคิว และระบบการศึกษาไทยในปัจจุบันไม่ได้สร้างทักษะที่จำเป็นเพื่อเตรียมตัวให้เขาแข่งขันกับระดับโลกได้ หลายคนต้องหลุดจากระบบการศึกษาไปทั้งที่พวกเขาคืออนาคตของประเทศนี้
โดยผู้ประกอบการที่ต้องต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง โดยเศรษฐกิจไทยเดินช้ากว่าเศรษฐกิจโลกและประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเวียดนาม ซึ่งตั้งแต่ปี 49 โลกเติบโตเติบเฉลี่ย 3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แม้จะเจอกับวิกฤต โลกก็ยังฟื้นตัวกลับมาได้เร็วแต่ประเทศไทยไม่เคยฟื้นตัวกลับมายืนบนเส้นเดียวกับโลกได้เลย ตัวเลขกำลังสะท้อนว่าโครงสร้างในเศรษฐกิจไทยกำลังอ่อนแอ อุตสาหกรรมของประเทศไทยกำลังล้าหลัง ไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วเหมือนประเทศอื่น และไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นวงจรที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แสดงให้เห็นว่าหากปราศจากปัจจัยเชิงบวกที่ไทยได้รับอานิสงส์จากการเมืองโลกภายนอก เราแทบไม่เติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยลำแข้งของเราเอง และในวันที่โลกมีแต่ปัจจัยเชิงลบซัดเข้าหาประเทศไทย เราก็ดูดซับแรงกระแทกเหล่านั้นเข้ามาเต็มๆ ทั้งโควิด สงครามการค้า หรือปัญหาทุนเทา รวมถึงดัชนีการคอรัปชั่นของไทยยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่พวกเรามีองค์กรอิสระคอยตรวจสอบมากมาย แต่ดัชนีของเรายังคงตกลงอย่างต่อเนื่อง นั่นเพราะกลไกการตรวจสอบที่มีกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่าการปกป้องเงินภาษีของประชาชน รัฐธรรมนูญและระบบการเมืองแบบนี้หรือที่จะพาประเทศไทยพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้ ในขณะที่เศรษฐกิจโลกกำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว แต่เศรษฐกิจไทยกลับวิ่งช้าตามไม่ทันเหมือนติดหล่มอยู่กับที่ เพราะระบบการเมืองภายในประเทศกำลังฉุดรั้งเอาไว้อยู่
ผู้นำฝ่ายค้านฯ อภิปรายว่า ถึงเวลาที่ต้องยกเครื่องให้เดินหน้าอย่างเต็มกำลัง ถ้าพวกเรามีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และต้องให้ความสำคัญต่อการยึดโยงกับประชาชนมากที่สุด เพราะเราต้องการรัฐบาลที่มีความโปร่งใส มีประสิทธิภาพและมีความชอบธรรมยึดโยงกับพ่อแม่พี่น้องประชาชน บรรดาคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถูกแต่งตั้งมาจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ไม่ได้มาจากเพียงแค่การจัดสรรโควตา หรือการต่อรองแบ่งผลประโยชน์กันทางการเมือง เราต้องการรัฐบาลที่มีความชอบธรรมสะท้อนเจตจำนงของประชาชน กล้าที่จะปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อกำหนด อนาคตของประเทศ วางยุทธศาสตร์ชาติที่ปรับเปลี่ยนได้ตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้ติดล็อกกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นคนเขียนมา
เราต้องการรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพเลือกลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ถูกจุดมากกว่าการสร้างตึก ตัดถนน และขุดคลอง เราต้องการรัฐบาลที่เข้ามายกระดับรายได้ของประชาชน เราต้องการระบบการถ่วงดุลตรวจสอบที่เป็นอิสระยึดโยงกับประชาชน เป็นระบบที่ไม่ได้ผลัดกันเกาหลัง และไม่ถูกนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมือง ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อทำให้สามารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้อย่างเต็มกำลัง นี่เป็นเหตุผลที่พรรคประชาชน เรามุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยอมโหวตให้นายอนุทิน เป็นนายกฯ ด้วยข้อตกลงที่ปรากฏใน MOA และการทำหน้าที่ของพวกเรา 4 เดือนต่อจากนี้ ทั้งตน นายกฯ และเพื่อนสมาชิกในวันนี้จะเป็นสิ่งที่ประชาชนใช้ตัดสินพวกเราในวันหน้า
สำหรับสิ่งที่พรรคประชาชนจะทำหน้าที่ในช่วง 4 เดือน ต่อจากนี้ในสภาวะรัฐบาลเสียงข้างน้อย หรือฝ่ายค้านเสียงข้างมากคือ 1.การเปิดประตูสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายใน 4 เดือนนี้เราต้องผลักดันการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญหมวด 15/1 ให้แล้วเสร็จก่อนการยุบสภา โดยที่ของผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญจะต้องจะต้องมีความยึดโยงกับประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ภายใต้กรอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 2.เราสามารถผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนได้มากที่สุดภายในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือน สภาฯ สามารถผ่านกฎหมายในวาระ 1 และ 3 ได้ถึง 11 ชุด ครอบคลุมทั้งด้านการเมือง สังคม ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายกระจายอำนาจ หรือการแข่งขันทางการค้า เป็นต้น 3.แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงปัญหาที่ตกค้างจากรัฐบาลก่อน และ 4.พรรคประชาชน และพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเต็มที่ เพราะพรรคประชาชนไม่ได้โหวตให้อนุทินเพื่อให้รัฐบาลใหม่ใช้อำนาจโดยมิชอบ หรือแต่งตั้งบุคคลที่ไม่เหมาะสมเป็นรัฐมนตรี หรือเพื่ออนุญาตให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดี ทั้งการฮั้ว สว. หรือเขากระโดง และการตรวจสอบคดีทุจริตของรัฐบาลที่ผ่านมา
นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ตนเองและพรรคประชาชนใช้เสียงของพวกเรา เพื่อให้ 4 เดือนนี้เป็นโอกาสสำคัญในการเปิดประตูสู่อนาคตใหม่ของประเทศ เพื่อให้ลูกหลานของเราเป็นลูกหลานไทยรุ่นแรกที่เข้าคูหาเลือกตั้ง โดยตลอดชีวิตของพวกเขาตั้งแต่เกิดจนมีสิทธิเลือกตั้ง เป็นการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ปราศจากการปฏิวัติรัฐประหาร ประเทศไทยจะได้พุ่งทะยานไปอย่างต่อเนื่อง
“สิ่งที่พวกเราอยากเห็นจากนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่แค่ท่านเคารพต่อข้อตกลงกับพรรคประชาชน แต่อยากเห็นท่านเคารพต่อกระบวนการยุติธรรม และเคารพต่อพ่อแม่พี่น้องประชาชน ที่เป็นเจ้าของประเทศ และเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้” ผู้นำฝ่ายค้านฯ ระบุ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สนามเลือกตั้งเมืองหลวง-กทม. ศึกชิง33เก้าอี้-แย่งเสียงปาร์ตี้ลิสต์ พรรคส้มเหงื่อตก หลายพรรครอเจาะยาง
หนึ่งในสาเหตุทางการเมืองที่คนยังเชื่อว่า พรรคส้ม-พรรคประชาชน จะชนะการเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ.2569 ก็เพราะมองว่า สนามเลือกตั้งเมืองหลวง กรุงเทพมหานคร ที่มี
เลขาฯ ปชน. สุดมั่นใจกวาดครบทุกเขต 33 พื้นที่กรุงเทพฯ ใกล้เลือกตั้ง 'เท้ง' คะแนนพุ่ง
เลขาฯพรรคประชาชน มั่นใจ กวาดครบ 33 พื้นที่ กทม. แม้ผลโพลความนิยมพรรคประชาชนลดลง เหตุ หนุน "อนุทิน-ปัญหาชายแดน" เชื่อ เวลาที่เหลือสมามรถชี้แจงได้ โว ใกล้เลือกตั้ง "เท้ง" เจิดจรัสคะแนนนิยมพุ่งแน่ ปัดตอบจุดยืน 112 ห่วงขัดศาล รธน. ชี้ "ณัฐพงษ์" ยังไม่ปิดโอกาสจับมือ 100% แต่ต้องการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ด้าน"กาย" ยัน คว้าชัยกทม.ได้แน่นอน
'ชูวิทย์' ฟันธงเลือกตั้ง พรรคประชาชนต่ำ 100 ชี้เดินเกมผิดพลาดครั้งใหญ่
"ชูวิทย์" วิจารณ์ "ธนาธร" เลือกเดินเกมแก้รัฐธรรมนูญผ่านพรรคภูมิใจไทยคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ ไม่ใช่การประนีประนอม พร้อมคาดผลเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาชนอาจได้ สส. ต่ำกว่า 100 จากกระแสที่เปลี่ยนและความเชื่อมั่นที่ลดลง
ดร.ณัฏฐ์ ชี้ชัดบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เกิดรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคใดชนะเบ็ดเสร็จ
“ดร.ณัฏฐ์” ชี้ระบบ “บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ” เกิดรัฐบาลผสม ไม่มีพรรคการเมืองใด ชนะเลือกตั้งเบ็ดเสร็จ เปิดตัวทีม “ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี” ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้
โทรโข่งเพื่อไทย โจมตี 'อนุทิน' โยกย้าย ขรก.มหาดไทย ในจำนวนที่น่าตกใจมาก
"ศึกษิษฏ์" ซัด "อนุทิน" โยกย้าย ขรก.มหาดไทยไม่หยุด ตั้งข้อสังเกตโยงเครือข่ายบ้านใหญ่รับศึกเลือกตั้ง ตอก "ธนาธร" หลังออกโรงป้อง "เสี่ยหนู" เหน็บ ภท.-ปชน.ติดค้างสินน้ำใจกันอยู่หรือไม่
'สุพิศาล' อดีตแกนนำพรรคส้ม ลาออกแล้ว แฉเลือกผู้สมัคร สส. มีลับลมคมใน
พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวกรณีที่ได้ลาออกจากพรรคประชาชน ว่า เป็นเรื่องจริง ซึ่งได้ยื่นลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา

