ไทยพร้อมส่งตัว 18 เชลยศึกแต่เขมรต้องทำ 4 ข้อเป็นรูปธรรมก่อน

กองทัพบกเผยไทยพร้อมส่งตัว 18 เชลยศึกกลับตามหลักกติกาสากล แต่กัมพูชาต้องร่วมมือ 4 ข้อประเด็นสำคัญด้วยความจริงใจอย่างเป็นรูปธรรมก่อน

29 ต.ค.2568 - ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวชี้แจงประเด็นที่สังคมให้ความสนใจเกี่ยวกับการปล่อยตัวเชลยศึก ภายหลังไทยและกัมพูชาได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมาว่า การพิจารณาปล่อยตัวเชลยศึกของฝ่ายไทยเป็นไปตามหลักกติกาสากลและกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งจะพิจารณาจากลักษณะท่าทีของความเป็นปฏิปักษ์ ที่เคยมีต่อกัน ต้องมีการลดระดับลงชัดเจน ผ่านผลการดำเนินการตามข้อตกลงที่ทั้งสองประเทศเห็นชอบร่วมกันไว้แล้ว 4 ข้อหลัก ได้แก่ การถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ชายแดน การเก็บกู้ทุ่นระเบิด การปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ และการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดน

พล.ต.วินธัย กล่าวว่า ในปัจจุบันทั้งสองฝ่ายได้เริ่มจัดทำ แผนปฏิบัติการ (Action Plan) ตามกรอบห้วงเวลา และเริ่มปฏิบัติแล้วบางส่วน เช่น การถอนอาวุธหนัก อย่างกรณีการเคลื่อนย้ายรถถังออกจากพื้นที่ชายแดนของทั้งสองประเทศเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 68 แม้จะเป็นเพียงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อสอดรับผลการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน แต่ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการดำเนินการตามข้อตกลง

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 68 ได้มีการประชุม ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 ของไทย และภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา เพื่อลงรายละเอียดขั้นตอนการปรับกำลังและถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่ พร้อมกำหนดกรอบระยะเวลาในการปฏิบัติร่วมกันอย่างเป็นระบบ

พล.ต.วินธัย กล่าวอีกว่า สำหรับด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ฝ่ายไทยได้เสนอพื้นที่ดำเนินการเบื้องต้นจำนวน 13 พื้นที่ ครอบคลุมเขตปฏิบัติของกองทัพภาคที่ 1, กองทัพภาคที่ 2 และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี–ตราด ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้วใน 4 พื้นที่ และจะขยายผลต่อเนื่องไปยังพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป โดยเฉพาะในช่วงหลักเขตที่ 42–47 ซึ่งเมื่อพื้นที่มีความปลอดภัย จะเข้าสู่กระบวนการสำรวจเพื่อจัดทำหลักเขตแดนชั่วคราว และตรวจสอบสิทธิ์การถือครอง เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย

ในส่วนของการปราบปรามเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติและขบวนการสแกมเมอร์ รัฐบาลได้มอบหมายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ กระทรวงมหาดไทย ร่วมกันดำเนินการ โดยได้ประสานส่งข้อมูลเป้าหมายให้กับทางการกัมพูชา พร้อมจัดตั้ง ทีมเฉพาะกิจร่วม (Joint Task Force) เพื่อติดตามและแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง

หลังจากนี้ ฝ่ายไทยจะดำเนินการติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินการตามแผนและขั้นตอน ตามที่ได้มีการตกลงและเห็นชอบร่วมกันไว้ ผ่านเวทีการประชุม JBC , GBC และ RBC เพราะหากสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมที่เพียงพอ กองทัพบกอาจจะพิจารณาเสริมใช้มาตรการอื่นภายใต้กรอบกฎหมาย และกติกาสากลมาสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อดำรงความมุ่งมั่นในการปกป้องอธิปไตย และผลประโยชน์ของชาติ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เสียงปืนเขมรเบาลงครั้งแรกในช่วง 12 วันสู้รบ พบลูกจรวดเกลื่อนไร่ยางพารา

เสียงปืนฝั่งเขมรหยุดลงครั้งแรกในรอบ 12 วัน จนท.เร่งลงพื้นที่ตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ พบลูกจรวดปืนใหญ่ตกใส่ไร่ยางพาราเป็นจำนวนมาก มีทั้งแตกและไม่แตก ระบุเขมรหันกระบอกปืนมาทางพลเรือนของไทย

นายกฯ ทุบโต๊ะ! ประเทศมหาอำนาจกดดันไทยหยุดยิงไม่ได้ ต้องไปบอกฝ่ายกัมพูชา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณี ที่นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสาธารณรัฐประชาชนชนจีน ได้คุยโทรศัพท์กับนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

'อนุทิน' เปิดพรรครับ 'กลุ่มรักสถาบัน' ให้กำลังใจ ปกป้องอธิปไตยไทย

'อนุทิน' เปิดพรรค รับดอกไม้-หนังสือ 'กลุ่มศปปส.' ให้กำลังใจปกป้องอธิปไตย ลั่นไทยไม่มีแพ้ ขอมั่นใจพร้อมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ทหาร

'ทหารผ่านศึก' รวมพลังส่งกำลังใจทหารชายแดน 'รมว.กห.' ย้ำเงื่อนไขหยุดยิง

ทหารผ่านศึกรวมพลังส่งกำลังใจทหารชายแดน ด้าน 'บิ๊กเล็ก' ส่งรองเสธ.ทหาร ร่วมถก รมว.กต.อาเซียน ย้ำไทยหยุดยิงหากกัมพูชาสิ้นปฏิปักษ์ชัดเจนเปิดเผยต่อเนื่อง เคืองนานาชาติไม่ประณามปมวางทุ่นระเบิด

'บิ๊กเล็ก' สั่งคุมเข้ม! รับเขมรอาจจ้องก่อวินาศกรรม 'แท่นขุดเจาะน้ำมัน'

'รมว.กห.' ยอมรับกัมพูชาอาจพยายามก่อวินาศกรรมแท่นขุดเจาะน้ำมัน หลังพบโดรนบินอ่าวไทย สั่งทุกเหล่าทัพเพิ่มความเข้มงวดมาตรการดูแลความปลอดภัย ชี้เขมรทำลายโดรน D-20 เป็นเรื่องน่าเสียดาย