
7 ธ.ค. 2568 – สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลการสำรวจ เรื่อง โพลเลือกตั้งพรรคการเมือง ใจคนยังไม่นิ่ง จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,085 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 3 – 6 ธันวาคม 2568 ที่ผ่านมา
สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเผยให้เห็นภาพรวมของสังคมไทยในห้วงเวลาทางการเมืองที่เปราะบางและเปลี่ยนแปลงเร็วอย่างยิ่ง การสำรวจครั้งนี้มิได้สะท้อนเพียง “คะแนนนิยมของพรรคการเมือง” หากแต่สะท้อนสภาพจิตวิทยาทางสังคม เศรษฐกิจ และโครงสร้างความคิดทางการเมืองที่กำลังก่อตัวขึ้นท่ามกลางกระแสข้อมูลข่าวสารที่หมุนเร็วและความไม่มั่นใจต่ออนาคตของประเทศ ผลลัพธ์ของโพลชุดนี้จึงบ่งบอกความเป็นจริงสำคัญอย่างหนึ่งว่า แม้ประชาชนจำนวนมากจะมีพรรคที่ “ชอบ” อยู่แล้ว แต่ใจของเขาเหล่านั้นกลับไม่เคยนิ่งและพร้อมจะขยับไปตามผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ เม็ดเงินที่ถึงมือประชาชน ความช่วยเหลือเยียวยา ข้อเสนอเชิงนโยบายใหม่ ๆ แบรนด์ทางการเมืองใหม่ ๆ หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุว่า เมื่อตรวจสอบการรับรู้ด้านเศรษฐกิจของประชาชน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่กำหนดการตัดสินใจทางการเมืองในปัจจุบัน พบว่า พรรคภูมิใจไทยได้รับการระบุว่า “กระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีที่สุด” สูงถึง 72.8% ตามด้วยพรรคเพื่อไทยที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันคือ 69.2% ขณะที่พรรคประชาชนตามมาในระยะห่างที่มากกว่า คือ 42.3% ตัวเลขทั้งสามชุดนี้บ่งชี้ชัดเจนว่าประชาชนกำลังใช้ “ผลงานด้านเศรษฐกิจ” เป็นเข็มทิศสำคัญของความเชื่อมั่นทางการเมือง การที่สองพรรคใหญ่ได้รับคะแนนสูงเกือบเท่ากัน สะท้อนการแข่งขันด้านนโยบายเศรษฐกิจที่เข้มข้นและการช่วงชิงพื้นที่ในจิตใจคนไทยอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี การที่ประชาชนร้อยละ 68.2 ระบุว่ามีพรรคการเมืองที่ชอบแล้ว ไม่ได้หมายความว่าการตัดสินใจนั้นถูกปิดผนึก ตรงกันข้าม การที่ยังมีอีก 31.8% ที่ “ยังไม่มีพรรคที่ชอบ” สะท้อนขนาดอันใหญ่โตของกลุ่มคะแนนลอยตัว (floating votes) ซึ่งเป็นกลุ่มที่พร้อมจะเปลี่ยนทิศได้ทุกเมื่อ และแม้ผู้ที่มีพรรคในใจก็ยังมิได้มั่นคงอย่างแท้จริง เพราะเมื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ในการ “เปลี่ยนใจในอนาคต” ถึง 70.6% ของประชาชนระบุชัดว่าตนเอง “อาจเปลี่ยนใจไปเลือกพรรคใหม่ได้” ขณะที่มีเพียง 29.4% เท่านั้นที่หนักแน่นว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง สัดส่วนนี้คือหลักฐานสำคัญของภาวะทางการเมืองแบบใหม่ — ภาวะที่คะแนนเสียงเคลื่อนที่สูง ความเชื่อมั่นผันผวน และประชาชนพร้อมจะโยกย้ายจุดยืนเมื่อพบข้อเสนอหรือนโยบายที่ตอบโจทย์ชีวิตของพวกเขาอย่างแท้จริง
ที่น่าสนใจคือ เมื่อมองโครงสร้างความคิดเชิงอุดมการณ์ พบภาพที่น่าสนใจยิ่งกว่า ประชาชนเพียง 20.6% ที่จัดตัวเองอยู่ในกลุ่มพรรคแนวเสรีนิยม ขณะที่ 38.9% ระบุว่ามีแนวคิดโน้มไปทางอนุรักษ์นิยม แต่กลุ่มที่ใหญ่ที่สุดกลับมิใช่สองขั้วนี้ หากเป็นกลุ่มที่ “อยู่กลาง ๆ” สูงถึง 40.5% ตัวเลขนี้สะท้อนการลดลงของความคิดแบบแบ่งขั้วและการผงาดขึ้นของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับ “นโยบายที่ทำได้จริง” มากกว่าอุดมการณ์หรือวาทกรรมทางการเมือง พรรคการเมืองใดสามารถเชื่อมต่อกับกลุ่มกลางนี้ด้วยข้อเสนอที่มีเหตุผลและแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม ย่อมมีโอกาสคว้าคะแนนเสียงจำนวนมากในช่วงเวลาสำคัญก่อนวันเลือกตั้ง
ที่น่าพิจารณา คือ เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาสังเคราะห์ร่วมกัน จะเห็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าความไม่นิ่งของคะแนนเสียงมิได้เกิดจากความลังเลเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากบริบททางเศรษฐกิจที่บีบคั้น ความเร็วของข้อมูลข่าวสารที่ทำให้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงได้ภายในเวลาไม่นาน และความต้องการ “ความหวังรูปธรรม” ของประชาชนในช่วงเวลาที่พวกเขารู้สึกว่าประเทศกำลังอยู่บนทางแยกสำคัญ ผลสำรวจชุดนี้สะท้อนว่าประชาชนพร้อมจะขยับตามพรรคที่เสนอทางแก้ปัญหาปากท้องได้จริง เชื่อมโยงนโยบายเข้ากับชีวิตประจำวัน และสื่อสารอย่างตรงประเด็น เข้าใจง่าย และน่าเชื่อถือ
รายงานของซูเปอร์โพล ระบุด้วยว่า ในมุมเชิงนโยบาย พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องกลับไปทบทวนยุทธศาสตร์ของตนอย่างจริงจัง เพราะคะแนนนิยมในเวลานี้มิใช่การต่อสู้ของ “พรรคใดพรรคหนึ่ง” หากเป็นการต่อสู้ของ “ความเชื่อมั่น” ที่ประชาชนมีต่อผู้ที่สามารถทำให้ชีวิตของพวกเขาดีขึ้นได้อย่างจับต้องได้ พรรคใดที่ยังสื่อสารเชิงภาพลักษณ์โดยไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ที่ชัดเจน จะถูกกลืนหายไปในยุคของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่พร้อมจะเปลี่ยนใจถึงกว่าเจ็ดในสิบคน การเมืองไทยจึงกำลังเคลื่อนเข้าสู่ยุคใหม่ที่พรรคจะต้องยืนบนฐานของข้อมูล นโยบายที่พิสูจน์ได้ และการสื่อสารที่จับหัวใจของประชาชนจริง ๆ มิใช่เพียงการประกาศสัญญาที่ลอยอยู่บนอากาศ
ท้ายที่สุด ข้อมูลทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า หัวใจของการเลือกตั้งในปีนี้ ไม่ใช่การช่วงชิงอุดมการณ์ แต่เป็นการช่วงชิงความหวังของประชาชน พรรคใดเข้าใจประชาชนได้ลึกกว่า มองเห็นความกังวลด้านเศรษฐกิจได้ชัดกว่า และเสนอทางออกที่ตรวจสอบได้มากกว่า พรรคดังกล่าวจะสามารถเปลี่ยน “ใจที่ยังไม่นิ่ง” ให้กลายเป็น “คะแนนเสียงที่มั่นคง” ได้ในที่สุด และจะเป็นผู้ขับเคลื่อนทิศทางอนาคตของประเทศหลังการเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ซูเปอร์โพล' ชี้คนไทยพอใจโครงการคนละครึ่งของรัฐบาล
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยรายงานผลการสำรวจ เรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่งพลัส” จากกลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,248 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 29 ตุลาคม – 1 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา
‘ซูเปอร์โพล’ เผยสถานการณ์ไทย-กัมพูชาทำคนไทยเครียด
สำนักวิจัยซูเปอร์โพลสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง ความเครียดคนไทยต่อสถานการณ์ไทย กัมพูชา จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,121 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 15 - 18 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา สะท้อนความรู้สึก ความตระหนัก
‘ซูเปอร์โพล’ เผยคนอยากแก้พฤติกรรม สส. มากกว่ารัฐธรรมนูญ
คนไทยสนใจอยากแก้อะไรก่อน ระหว่าง พฤติกรรม สส. กับ รัฐธรรมนูญ หรือ พรรคเล็ก พรรคตั้งใหม่
ผลโพลชัด 'คนไทย' ยังไม่อยากให้มีการเปิดด่าน
ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง เสียงประชาชนต่อการเปิดด่านไทย-กัมพูชา จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศจำนวน 1,158 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 12 - 13 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา
ซูเปอร์โพล เผยสิ่งที่เป็นความสุขและความภูมิใจของคนไทย
ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง ความภาคภูมิใจ ความสุขของคนไทย
ซูเปอร์โพล ชี้ นักธุรกิจ 82.4% ต้องการเห็นการเมืองไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง
สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง โพลนักธุรกิจ นักลงทุน คิดอย่างไรต่อ พรรคการเมือง จากกลุ่มตัวอย่างนักธุรกิจ นักลงทุน ในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว บริการ การค้า และการผลิตทั่วประเทศ

