
14 ธ.ค. 2568 – สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยผลการศึกษาเรื่อง “สำรวจพรรคใหญ่กับพรรคใหม่” จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,435 ตัวอย่าง ดำเนินการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 12–13 ธันวาคม 2568 ภายหลังการประกาศยุบสภาของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของบริบททางการเมืองไทย ผลการสำรวจครั้งนี้สะท้อนทั้ง “ความต้องการเร่งด่วนของประชาชน” “ความตั้งใจจะไปเลือกตั้ง” “ความเชื่อมั่นต่อพรรคการเมืองขนาดใหญ่” และ “การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองเปิดใหม่ในฐานะม้ามืดเชิงนโยบาย” อย่างชัดเจน มี 5 หัวข้อหลักสำคัญ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1. ความต้องการเร่งด่วนของประชาชน: ปัญหาปากท้องนำความมั่นคง
รายงานซูเปอร์โพล ระบุผลการสำรวจความต้องการเร่งด่วนของประชาชน พบว่า ประชาชนให้ความสำคัญสูงสุดกับ การแก้ปัญหาปากท้อง ค่าครองชีพ การค้าขาย ธุรกิจ และการทำมาหากิน คิดเป็นร้อยละ 81.9 สะท้อนว่ามิติทางเศรษฐกิจฐานรากยังคงเป็น “โจทย์หลัก” ของสังคมไทยหลังการยุบสภา รองลงมาคือ การยุติความขัดแย้งและการสู้รบชายแดนโดยเร็ว ร้อยละ 80.5 ซึ่งสะท้อนความกังวลด้านความมั่นคงและผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยตรง ขณะเดียวกัน ประชาชนยังให้ความสำคัญกับการ ปราบปรามสแกมเมอร์และมิจฉาชีพ ร้อยละ 66.7 ปัญหา ยาเสพติด ร้อยละ 65.3 และ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ 62.4 ตามลำดับ แสดงให้เห็นว่าประชาชนมองปัญหาเศรษฐกิจและความมั่นคงในชีวิตประจำวันเป็นเรื่องเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก
ข้อ 2. ความตั้งใจไปเลือกตั้ง: การเมืองยังไม่ถูกทอดทิ้ง
เมื่อพิจารณาความตั้งใจจะไปเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรายงานของซูเปอร์โพล พบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 74.3 ระบุว่า ตั้งใจจะไปเลือกตั้ง ขณะที่ร้อยละ 5.8 ระบุว่า ไม่ไป และร้อยละ 19.9 ยังไม่แน่ใจ
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า แม้การเมืองไทยจะเผชิญความผันผวน แต่ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงมอง “การเลือกตั้ง” เป็นกลไกสำคัญในการกำหนดทิศทางประเทศ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของกลุ่มที่ยังไม่แน่ใจซึ่งเกือบ 1 ใน 5 ของผู้ตอบทั้งหมด ถือเป็น “กลุ่มชี้ขาด” ที่พรรคการเมืองทุกพรรคต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
ข้อ 3. พรรคการเมืองขนาดใหญ่: คะแนนยังนำแต่ความลังเลยังสูง
ที่น่าพิจารณาในรายงานของซูเปอร์โพล คือ ผลการสำรวจพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ประชาชนตั้งใจจะเลือกที่พบว่า พรรคภูมิใจไทย ได้รับการระบุสูงสุด ร้อยละ 14.4 รองลงมาคือ พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 12.0 และ พรรคประชาชน ร้อยละ 9.9 ขณะที่ พรรคอื่น ๆ รวมกันร้อยละ 11.5 อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดคือ กลุ่มประชาชนที่ ยังไม่ตัดสินใจไม่ชอบพรรคใดหรือไม่ระบุ มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 52.2 ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด สะท้อนว่า แม้พรรคใหญ่ยังคงนำในเชิงความนิยม แต่ “ฐานเสียงที่ยังลังเล” ยังคงเปิดกว้าง และการแข่งขันทางนโยบายยังไม่ปิดเกม
ข้อ 4. ผู้นำพรรคใหญ่กับการจัดตั้งรัฐบาล: อนุทินเต็งหนึ่ง
เมื่อพิจารณาความเห็นของประชาชนต่อหัวหน้าพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะได้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งที่รายงานของซูเปอร์โพล พบว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้รับการคาดหมายสูงสุด ร้อยละ 30.1 รองลงมาคือ นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 17.8 และ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน ร้อยละ 14.4 ขณะที่กลุ่ม อื่นๆหรือไม่ตอบ มีสัดส่วนร้อยละ 37.7 ผลดังกล่าวสะท้อนภาพ “เต็งหนึ่งหลังยุบสภา” ของนายอนุทินอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน ตัวเลขกลุ่มอื่น ๆ ที่ยังสูง สะท้อนว่าประชาชนจำนวนไม่น้อยยังรอดูทิศทางการเมืองและการนำเสนอนโยบายในช่วงหาเสียง
ข้อ 5. พรรคการเมืองเปิดใหม่: พรรคปวงชนไทยม้ามืดเชิงนโยบายเริ่มปรากฏ
ที่น่าสนใจคือ ส่วนของพรรคการเมืองเปิดใหม่ ผลการสำรวจสโลแกนนโยบายที่ประชาชนชื่นชอบในรายงานของซูเปอร์โพล พบว่า สโลแกน “สร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพ” ของพรรคปวงชนไทยมีนายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล หัวหน้าพรรค ได้รับความชอบสูงสุดมาเป็นม้ามืดในนโยบายพรรคการเมืองเปิดใหม่ โดยการตอบครั้งที่ 1 อยู่ที่ร้อยละ 48.5 และเพิ่มเป็นร้อยละ 51.7 ในการตอบครั้งที่ 2 รองลงมาคือ สโลแกน “ต้องทำเมกะโปรเจกต์ นิคมการเกษตร พลิกเศรษฐกิจ” ของพรรคเศรษฐกิจที่มี พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งได้ร้อยละ 47.3 และ 48.2 ตามลำดับ และ “ก้าวใหม่ให้ไทยสตรอง” ของพรรคไทยก้าวใหม่ของ ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ได้ร้อยละ 39.6 และ 37.8
ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนว่า พรรคปวงชนไทยได้ก้าวขึ้นมาในฐานะ “ม้ามืดการเมืองเชิงนโยบาย” สร้างคน สร้างงาน สร้างอาชีพอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในประเด็นที่ตอบโจทย์ปัญหาปากท้องและการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องโดยตรงกับความต้องการเร่งด่วนอันดับหนึ่งของประชาชน ตามติดด้วย พรรคเศรษฐกิจ
สรุปภาพรวมและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
รายงานของซูเปอร์โพล สรุปว่า ผลการสำรวจครั้งนี้สะท้อนภาพการเมืองไทยหลังการยุบสภาในลักษณะ “สองจังหวะ” คือ (1) พรรคการเมืองขนาดใหญ่ โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยและผู้นำอย่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล ยังคงครองความเชื่อมั่นในฐานะ ตัวเลือกพรรคใหญ่มั่นคงและ (2) พรรคการเมืองเปิดใหม่ โดยเฉพาะ พรรคปวงชนไทยและพรรคเศรษฐกิจ ได้เริ่มสร้างการรับรู้และการจดจำในฐานะ ตัวเลือกเชิงนโยบายของพรรคใหม่ที่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของประชาชน สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเห็นว่า พรรคการเมืองทุกพรรคควรให้ความสำคัญกับ
- การสื่อสารนโยบายเศรษฐกิจที่จับต้องได้และสอดคล้องกับชีวิตจริง ทำได้จริง
- การเชื่อมโยงปัญหาปากท้องเข้ากับความมั่นคงในชีวิตและสังคม
- การสร้างความเชื่อมั่นต่อกลุ่มประชาชนที่ยังลังเล พลังเงียบ มีบทบาทชี้ขาดผลการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ ผลการสำรวจสะท้อนอย่างชัดเจนว่า “เกมการเมืองยังไม่ปิด” และการเลือกตั้งครั้งถัดไปจะไม่ตัดสินกันที่ขนาดพรรคเพียงอย่างเดียว หากแต่ขึ้นอยู่กับ ใครตอบโจทย์ประชาชนได้ตรงที่สุดในเวลาที่ประชาชนต้องการมากที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'อนุทิน' ยกข้อความ 'อันวาร์' บอกแค่เสนอหยุดยั่วยุ ไม่ใช่หยุดยิง
“อนุทิน” โพสต์ข้อความ อันวาร์ นายกฯมาเลเซีย ชี้แถลงการณ์ไม่ได้ระบุให้หยุดยิง แต่เป็นข้อเสนอให้ยุติการยั่วยุ และไม่ได้ระบุว่าทั้งสองฝ่ายมีข้อตกลงร่วมกันแล้ว
ชัดพอมั้ย! 'อนุทิน' ยืนยัน 4 ทุ่ม ไม่หยุดยิง กัมพูชาต้องถอย ผู้นำประเทศอื่นไม่ควรเสนอ
นายกฯ ยัน ไม่มีหยุดยิง 22.00 น. ตาม ”อันวาร์“ โพสต์ จี้กัมพูชา ต้องแสดงความจริงใจ-เสนอข้อดำเนินการมาที่ประเทศไทย ไม่ใช่ให้ผู้นำประเทศอื่นมาพูด ซัดกลับปมปิดด่าน บอก คนไทยมีสิทธิ์กลับบ้าน ขออย่าเอาประชาชนมาเป็นตัวประกัน ด้าน เสธ.ทบ. ไล่ไปถามครอบครัวทหารที่เสียชีวิตว่าเป็นอย่างไร
'แก้วสรร' แพร่บทความด่วน 'ศึกเขมร..จะจบอย่างไร?'
นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง “ศึกเขมร..จะจบอย่างไร?” มีเนื้อหาดังนี้
งงทั้งบาง 'ทรัมป์' อ้างคุย 'อนุทิน-ฮุนมาเนต' เห็นพ้องหยุดยิงเย็นวันนี้!
ทรัมป์โพสต์ผ่าน Truth Social ระบุ ไทยและกัมพูชาตกลงยุติการยิงทั้งหมดตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 13 ธ.ค. 2568 หลังหารือผู้นำสองประเทศ พร้อมขอบคุณนายกฯ มาเลเซียช่วยประสาน
‘อนุทิน’ ระบุ ‘ทรัมป์’ รับข้อมูลคลาดเคลื่อน ย้ำไทยไม่ใช่ฝ่ายรุกราน
นายกฯ เผยหารือตรงประธานาธิบดีสหรัฐฯ อธิบายข้อเท็จจริงไทยปฏิบัติตามข้อตกลงมาโดยตลอด ชี้กัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิด ยืนยันกองทัพไทยยังปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตย พร้อมย้ำการหยุดยิงต้องเริ่มจากฝ่ายที่ละเมิด ขณะ “สีหศักดิ์” ระบุหยุดยิงเป็นกลยุทธ์
‘สีหศักดิ์’ เร่งประสานทุกช่องทาง ช่วยคนไทยติดปอยเปต ย้ำแยกขัดแย้งออกจากมนุษยธรรม
รมว.ต่างประเทศ ระบุใช้การพูดคุยทั้งทางตรงและผ่านประเทศที่สาม ช่วยเหลือคนไทยที่ถูกกักตัวในปอยเปต ย้ำเป็นพลเรือน ไม่เกี่ยวการสู้รบ ขออย่าผูกปมการเมืองหรือชายแดน พร้อมหวังกัมพูชาเปิดทางให้กลับประเทศโดยเร็ว

