ความพยายามในการประหยัดพลังงานระดับครัวเรือนนั้นเป็นสิ่งที่หลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนช่วยกันรณรงค์มาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามการกระตุ้นจิตสำนึกต่อประชาชนสามารถช่วยประหยัดพลังงานได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ภาคส่วนที่จะส่งเสริมให้การประหยัดพลังงานเห็นผลได้อย่างเป็นรูปธรรม กลับกลายเป็นภาคอุตสาหกรรม เพราะเป็นภาคส่วนที่ใช้พลังงานไฟฟ้าต่อปีจำนวนมหาศาล จนกระทั่งเกิดคำถามขึ้นตามมาว่า ประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรมมีมากน้อยเพียงใด

สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า ประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่ดีขึ้นในกระบวนการทางอุตสาหกรรม การขนส่ง และอาคาร อาจนำไปสู่การลดความต้องการพลังงานของโลกลง 30% ภายในปี 2050 ซึ่ง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัทด้านพลังงานชั้นนำของประเทศไทย มีเป้าหมายสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และเป็นฐานความมั่นคงแก่ภาคเศรษฐกิจของประเทศ (Prosperity) ขอพาท่านสำรวจประเด็นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพของภาคอุตสาหกรรมว่ามีมากน้อยเพียงใด และจะส่งผลต่อความยั่งยืนด้านพลังงานมากน้อยเพียงใดในอนาคต
ต้องยอมรับว่า พลังงาน นับเป็นส่วนสำคัญสำหรับต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม เพราะภาคอุตสาหกรรมคือผู้ที่ใช้พลังงานต่อปีในปริมาณที่สูง โดยมีการประมาณการว่าเฉพาะในส่วนภาคอุตสาหกรรม มีการใช้พลังงานต่อปีเท่ากับหนึ่งในสี่ของการใช้พลังงานทั่วโลก และมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 40% ฉะนั้นการที่ภาคอุตสาหกรรมสามารถลดสัดส่วนการใช้พลังงานลงได้ ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการผลิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อโลกใบนี้อีกด้วย

ประภัสสร์ วังศกาญจน์ จากภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ได้ทำวิจัยสำรวจสถานประกอบการโรงงานและอาคารธุรกิจในประเทศไทยที่ได้ประสบกับภัยพิบัติอุทกภัยอย่างร้ายแรงในปี พ.ศ. 2554 ซึ่งทำให้โรงงานและอาคารธุรกิจในพื้นที่ประสบอุทกภัยได้รับความเสียหายและไม่สามารถดำเนินการได้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณภาคกลางของประเทศ
ในครั้งนั้น กรมพัฒนาพลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงานจึงได้ดำเนินโครงการให้คำปรึกษา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารธุรกิจที่ประสบอุทกภัย (กลุ่มภาคกลาง) เพื่อช่วยเหลือสถานประกอบการเหล่านั้น โดยมีขั้นตอนการดำเนินงาน ได้แก่ การจัดทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าให้คำปรึกษาและตรวจสอบอุปกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย วางแผนฟื้นฟูและดำเนินการมาตรการอนุรักษ์พลังงานที่เหมาะสม และสุดท้ายได้จัดทำรายงานและสรุปผลการดำเนินงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของสถานประกอบการทุกแห่ง ผลจากการดำเนินโครงการดังกล่าวพบว่า สามารถส่งผลให้เกิดการประหยัดพลังงานเทียบเป็น 2,722 toe ต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 18,068 ตันต่อปี ซึ่งทำให้สถานประกอบการในโครงการทั้งหมดประหยัดเงินได้ถึง 53,510,282.22 บาทต่อปีเลยทีเดียว (อ้างในวารสารวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปีที่ 24 ฉบับที่ 4 ตุลาคม - ธันวาคม 2559)

นอกจากการสำรวจในประเทศไทยแล้ว การวิจัยในต่างประเทศก็พบข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน สมาคมฉนวนแห่งสหรัฐอเมริกา (NIA- National Insulation Association) ได้ประเมินประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม 700 แห่ง โดยทำการประเมินค่าใช้จ่ายการบำรุงรักษา และการเพิ่มประสิทธิภาพของฉนวนกันความร้อน ซึ่งสามารถช่วยให้โรงงานต่างๆ ประหยัดเงินได้ถึง 4.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงถึง 43 ล้านเมตริกตันต่อปี
ด้านยุโรปก็เช่นกัน กลุ่มฉนวนภาคอุตสาหกรรมในยุโรป ได้ทำการตรวจสอบสมรรถนะทางเทคนิคของฉนวนกันความร้อน (TIPCHECK) จำนวน 180 ครั้ง และระบุว่า ฉนวนกันความร้อนสามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 750,000 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี และสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 500,000 ตัน รวมถึงสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ถึง 23.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีระยะเวลาการคืนทุนโดยเฉลี่ยเพียงประมาณ 1 - 2 ปี สำหรับค่าใช้จ่ายในการลงทุนปรับปรุงฉนวนกันความร้อน

จะเห็นได้ว่า การปรับตัวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ นั้น หากสามารถทำได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ขั้นตอนการสร้างโรงงาน การใช้พลังงานทดแทน เป็นต้น นอกจากจะช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกสู่อากาศได้ในปริมาณที่สูงกว่าภาคครัวเรือนถึง 100 เท่าแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้จำนวนมากต่อปีอีกด้วย อย่างไรก็ตามการดำเนินการปรับตัวสำหรับภาคอุตสาหกรรม คงต้องอาศัยนโยบายระดับมหภาคของรัฐบาล เป็นตัวขับเคลื่อนจึงจะเห็นผลและจับต้องได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อรรถพล’สั่งระดมกำลังเร่งฟื้นฟูน้ำท่วมใต้ยันขนส่งน้ำมันไม่กระทบ
‘อรรถพล’ ยังคงติดตามสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในพื้นที่ภาคใต้อย่างต่อเนื่อง พร้อมสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบคุณภาพน้ำมันในปั๊มและการขนส่งน้ำมัน-ก๊าซหุงต้มอย่างใกล้ชิด เร่งฟื้นฟูระบบไฟฟ้า ส่งมูลนิธินายช่างไทย ใจอาสา ฟื้นฟูระบบไฟฟ้าแก่อาคารและบ้านเรือนประชาชน และเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ไส้กรองรถยนต์และรถจักรยานยนต์
“อินโนบิก” กลุ่มธุรกิจใหม่ ในเครือ ปตท. ตั้งเป้ามุ่งสู่การเป็นผู้นำ Life Science ในภูมิภาคอาเซียน โดยเน้นการเติบโตร่วมกับพันธมิตร
เมื่อเทรนด์สุขภาพ กลายเป็นโอกาส ที่ไม่ใช่แค่เม็ดเงินในการลงทุน แต่เป็นการก้าวไปอีกขั้นของวงการวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (Life Science) บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด บริษัทในเครือ ปตท. จำกัด (มหาชน) จึงได้จัดงาน Innobic Life Science Business Excellent Move Forum งานสัมมนาครั้งใหญ่ เพื่อประกาศจุดยืนทางธุรกิจ


