กลุ่มเลี้ยงวัวเงินล้านตำบลลำไทรโยง จ.บุรีรัมย์

ตำบลลำไทรโยง  อ.นางรอง  จ.บุรีรัมย์  เป็นตำบลหนึ่งที่มีความเข้มแข็ง  นอกจากชาวบ้านส่วนใหญ่จะทำนาปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักแล้ว  ยังรวมกลุ่มกันเพื่อพัฒนาชุมชน  และประกอบอาชีพต่างๆ  ในลักษณะวิสาหกิจชุมชนอีกเกือบ 20 กลุ่ม  เช่น  กลุ่มทำปุ๋ยหมัก  ธนาคารข้าว  นาแปลงใหญ่  ประมง  กลุ่มเลี้ยงวัว-ควาย  ร้านค้าชุมชน   กลุ่มทำน้ำพริกแกง  ทำไม้กวาด  เพาะเห็ด  เลี้ยงไก่พื้นบ้าน  ฯลฯ  เป็นการรวมกลุ่มเพื่อให้เกิดการช่วยเหลือกัน  เช่น  กลุ่มเลี้ยงวัว-ควาย  มีสมาชิก 114 ราย

สมบูรณ์  จีนประสพ  กำนันตำบลลำไทรโยง  บอกว่า  ในตำบลมี 14 หมู่บ้าน  ประชากรเกือบ 6,000 คน  ส่วนใหญ่มีอาชีพทำนา  สมัยก่อนจะเลี้ยงควายเพื่อช่วยไถนา  แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปใช้ควายเหล็กกันหมดแล้ว  เพราะสะดวกและเร็วกว่า  ทุกวันนี้จึงเลี้ยงวัวควายเป็นอาชีพเสริม  ส่วนใหญ่จะเลี้ยงวัวเนื้อ  เพราะเลี้ยงง่ายกว่าควาย  เป็นวัวพันธุ์พื้นบ้าน  และพันธ์ผสมอเมริกาบราห์มัน  

ราคาขายก็แล้วแต่อายุและความสมบูรณ์ของวัวแต่ละตัว  พ่อค้าจะมารับซื้อไปส่งโรงงานชำแหละ   บางคนซื้อเอาไปขุนก่อนขายต่อ  วัวอายุ  1 ปีขึ้นไป  ราคาประมาณ 25,000-30,000 บาท  ตัวที่โตและสมบูรณ์ไม่ต่ำกว่า 40,000-50,000 บาท

สมบูรณ์  จีนประสพ  กำนันนักพัฒนา

กำนันบอกว่า  ในตำบลมีชาวบ้านที่เลี้ยงวัวทั้งหมดราว 300 ครอบครัว  มีวัวรวมกันประมาณ  2,300 ตัว  ครอบครัวหนึ่งจะเลี้ยงเฉลี่ย  3 ตัว  บางครอบครัวเลี้ยง 8-10 ตัว  ที่เลี้ยงเป็นฝูงใหญ่ 20-30 ตัวก็มี  แต่ที่ผ่านมาต่างคนต่างเลี้ยง  ไม่ได้มีการจัดตั้งกลุ่มเพื่อช่วยเหลือกัน  และส่งเสริมการเลี้ยงวัวให้มีคุณภาพ 

เมื่อ 2 ปีที่แล้ว  ผมจึงตั้งกลุ่มเลี้ยงวัว-ควายขึ้นมา  เพื่อกลุ่มจะได้เข้มแข็ง  ช่วยเหลือกัน  ต่อรองราคาซื้ออาหาร และราคาขายวัวกับพ่อค้าได้  ตอนนี้มีสมาชิก 114 ราย  มีวัวรวมกันประมาณ 400 ตัว  ที่ผ่านมากลุ่มได้จัดอบรมสมาชิกให้มีความรู้เรื่องการผสมเทียมวัว  การฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาด  ส่งเสริมให้ปลูกหญ้าเป็นอาหารให้วัว   วัวจะได้มีคุณภาพ  ขายได้ราคา  เวลาครอบครัวมีความจำเป็นก็ขาย  ถ้ายังไม่ขายก็เลี้ยงเอาไว้  เมื่อตกลูกออกมาก็จะมีวัวเพิ่มขึ้นอีก”  กำนันสมบูรณ์บอก

วัวเป็นทรัพย์สินในครัวเรือน  หากครอบครัวหนึ่งเลี้ยง 3 ตัวก็มีเงินแสน

ในปี 2565 นี้  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ได้สนับสนุนโครงการ การพัฒนาสายพันธุ์โค-กระบือ  ตำบลลำไทรโยง’ ที่เสนอโดยสภาองค์กรชุมชนตำบลลำไทรโยง  (กำนันสมบูรณ์เป็นประธานสภาองค์กรชุมชนฯ)  งบประมาณ 80,000 บาท  ตามโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยในเมืองและชนบทของ พอช.  เพื่อพัฒนากลุ่มให้เข้มแข็ง  พัฒนาอาชีพเลี้ยงวัวให้มีคุณภาพ  ลดรายจ่าย  เพิ่มรายได้ให้แก่สมาชิก 

เช่น  หากผสมเทียมวัว  จะมีค่าจ้างตัวละ 2,500-3,000 บาท  แต่ถ้ากลุ่มผสมเทียมให้จะคิดราคาเพียง 1,000 บาท  นอกจากนี้กลุ่มยังรับซื้อมูลวัวแห้งจากสมาชิก  เพื่อนำมาขายทำปุ๋ยหมัก  หรือนำไปใส่ในไร่นา  ใส่แปลงปลูกผัก ราคารับซื้อ 3 ถุง 100 บาท  (1 ถุงประมาณ 20 กิโลกรัม)   ฯลฯ  รายได้จากการผสมเทียมและขายมูลวัว 50 %  จะแบ่งเข้ากลุ่มเพื่อนำไปบริหารจัดการ

กำนันบอกว่า  มูลวัวยังเอาไปใช้เลี้ยงปลาได้ด้วย  โดยในตำบลมีปลาที่เลี้ยงรวมกันใน หนองตะลุมปุ๊ก’  เนื้อที่หลายไร่  มีปลานิล  ปลาจีน  ยี่สก  ฯลฯ  จะเอาฟางก้อนและมูลวัวใส่ลงในหนองน้ำ  ไรแดงที่มีอยู่ในหนองตามธรรมชาติก็จะกินฟางและมูลวัวเป็นอาหารและขยายพันธุ์เพิ่มมากขึ้นเป็นอาหารปลา 

“ประมาณ 2-3 ปีเมื่อปลาโตได้ขนาด  เราก็จะเปิดให้มีการหว่านแหจับปลาในหนอง  คราวที่แล้วเก็บค่าจับปลาได้เงินประมาณ  140,000 บาท  เงินที่ได้ก็เอามาซื้อพันธุ์ปลาเพื่อมาเลี้ยงใหม่  และเอาไปพัฒนาด้านอื่นๆ  ต่อไปจะส่งเสริมให้ชาวบ้านเอาปลามาแปรรูปขาย  เช่น  ปลาส้ม  ปลาร้า”  กำนันนักพัฒนาบอก

ปัน  เทพเนาว์

ปัน  เทพเนาว์  สมาชิกกลุ่มเลี้ยงวัว  บอกว่า  ครอบครัวของเขาทำนาเป็นหลัก  มีที่นา 24 ไร่  ได้ข้าวเปลือกประมาณไร่ละ 800 กิโลฯ  เหลือกินเหลือขายทุกปี  และเลี้ยงวัวเป็นอาชีพรอง  โดยเลี้ยงวัวในคอกเดียวกันรวมกับเพื่อนบ้านอีก 6 คน  เพื่อความสะดวกในการดูแล  มีวัวรวมกัน  35 ตัว  มีทั้งวัวพื้นบ้านและพันธุ์ผสมบราห์มัน 

นอกจากนี้เขายังเป็นอาสาสมัครของกลุ่ม  ทำหน้าที่ผสมเทียมและฉีดวัคซีนป้องกันโรคระบาดให้วัว  ราคาวัวที่เคยขายไปตัวละ 40,000-50,000 บาท  คอกนี้ถ้าขายรวมกันประมาณ 1 ล้านบาท  แต่จะขายเมื่อมีความจำเป็น 

“สมาชิกที่เลี้ยงวัวด้วยกันจะช่วยกันปลูกหญ้าเนเปียร์และหญ้ารูซี่เอามาให้วัวกิน  เพราะมีประโยชน์มากกว่าหญ้าที่ขึ้นอยู่ทั่วไป  และต้องให้อาหารเสริมวันละมื้อวัวจะได้โต  มีน้ำหนักดี  ช่วงเช้าจะปล่อยวัวออกไปหากินหญ้าในทุ่ง  ตอนเย็นก็ต้อนเข้าคอก  พอเกี่ยวข้าวแล้วก็จะเอาฟางมาอัดเป็นก้อน  เก็บไว้ให้วัวกินในช่วงหน้าแล้ง  ขี้วัวก็เอามาทำปุ๋ย  และตากแห้งใส่ถุงขาย  ปีที่แล้วขายขี้วัวได้ประมาณ 16,000 บาทเอามาแบ่งกัน”  ปันบอกถึงผลพลอยได้จากการทำนาและเลี้ยงวัว

นี่คือวิถีชีวิตที่เกื้อกูลสัมพันธ์กัน  จากตำบลที่เคยแห้งแล้ง  ทำนาไม่พอกิน  หนุ่มสาวต้องไปขายแรงงานในเมือง  วันนี้พวกเขาช่วยกันพลิกฟื้นผืนดิน  ดูแลป่า  สร้างแหล่งอาหาร  สร้างอาชีพ  มีวัวควายไร่นาเป็นหลักประกัน...สร้างความมั่นคงให้กับคนลำไทรโยง !!

ฟางเป็นผลพลอยได้จากการทำนา  ส่วนมูลวัวนำมาทำปุ๋ยหรือขายได้อีก

 

เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เทศกาลสงกรานต์ พวงมาลัยดอกมะลิ ปรับขึ้นราคา อากาศร้อนทำคนซื้อน้อย

ใกล้ถึงวันสงกรานต์ที่จังหวัดบุรีรัมย์ แล้วกลับพบว่ามีประชาชน ออกมาเลือกซื้อหา พวงมาลัยดอกมะลิ เพื่อนำไปกราบไหว้รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ไม่ค่อยคึกคักเท่าที่ควรเหมือนทุกปี

'คิม มิน ฮยอค'ช่วยบุรีรัมย์ ดับ'ประจวบ'1-0นำจ่าฝูงต่อ 'เมืองทอง'ชนะต่อเนื่อง

การแข่งขันฟุตบอลไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก 2023/24 เมื่อวันเสาร์ที่ 6 เมษายน 2567 ณ ช้างอารีนา “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จ่าฝูงที่มี 50 คะแนน เปิดรังเหย้า รับการมาเยือนของ “ต่อพิฆาต” พีที ประจวบ เอฟซี ทีมอันดับ 14 ที่มี 23 คะแนน จากการลงสนาม 23 นัดเท่ากัน

'บุรีรัมย์'เปิดช้างอารีนา สยบ'เชียงราย'2-1 รั้งจ่าฝูงไทยลีกต่อไป

การแข่งขันฟุตบอลไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก 2023/24 เกมบิ๊กแมตช์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2567 ณ ช้างอารีนา “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จ่าฝูงที่มี 46 คะแนน เปิดรังเหย้า รับการมาเยือนของ “กว่างโซ้งมหาภัย” เชียงราย ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 8 ที่มี 26 คะแนน จากการลงสนาม 21 นัดเท่ากัน

'อาร์ต พศุตม์-ปิงปอง ธงชัย-สยาม แยปป์' ร่วมสร้างสีสันงานผ้าไทยครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี

อาร์ต พศุตม์, ป้าตือ สมบัษร, ปิงปอง ธงชัย นำทัพ นักแสดง-เซเลบริตี้ และอินฟลูเอนเซอร์ เบอร์ท็อป ของเมืองไทย ร่วมสร้างสีสัน งาน Colors of Buriram งานผ้าไทยครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี นิทรรศการแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทย และงานหัตถกรรมภูมิปัญญาชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด

สมราคาเมืองแห่งบิ๊กอีเว้นต์! บุรีรัมย์ จารึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เปิดสุดยอดมหกรรมผ้าไทย Colors of Buriram สุดอลังการ

จังหวัดบุรีรัมย์เรียกเสียงฮือฮาอีกครั้ง เนรมิต Colors of Buriram งานผ้าไทยครั้งยิ่งใหญ่แห่งปีที่เปิดประตูอาณาจักรองค์ความรู้ของเส้นทางสายไหมจังหวัดบุรีรัมย์จากอดีตถึงปัจจุบัน ด้วยการนำเสนอนิทรรศการรูปแบบทันสมัย