นักวิชาการ หนุน “ภูมิใจไทย” โหวตปิดสวิตช์ ส.ว.เลือกนายกฯ สะท้อนภาพพรรคการเมือง ต้องยึดโยงประชาชน เป็นการแยกปลา แยกน้ำ ให้อำนาจมาอยู่กับประชาชน

จากกรณีที่รัฐสภามีการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยหนึ่งในกฎหมายซึ่งเป็นที่จับตามองมากที่สุด คือ เรื่องของการปิดสวิตช์ ส.ว. ที่ต้องได้เสียงในสภาเกินกึ่งหนึ่ง และต้องได้เสียงจาก ส.ว. หนึ่งในสาม โดยปรากฏว่า ที่สุดแล้ว เสียงในสภาไม่พอ และ ส.ว.เห็นด้วยในการแก้ไขไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด แต่มีประเด็นที่น่าสนใจคือ การที่พรรคภูมิใจไทย ที่เป็นหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาลที่สำคัญ ตัดสินใจ โหวตรับร่างแก้ไขดังกล่าว สวนทางกับแนวทางของพรรคพลังประชารัฐ กรณีข้างต้น ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์นักวิชาการ ถึงท่าทีของพรรคภูมิใจไทย

รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา กล่าวว่า เป็นคนหนึ่ง ซึ่งเชื่อมั่นในหลักการประชาธิปไตย รู้สึกเสียดาย ที่การแก้กฎหมายทำไม่สำเร็จ แต่ยังเห็นเรื่องดีๆ เมื่อพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งมีความยึดโยงเหนียวแน่นกับผู้มีอำนาจ ชนิดที่เสริมแกร่งกันมาตลอด มีไมตรีต่อกันดี อย่างพรรคภูมิใจไทย เลือกโหวตปิดสวิตช์ ส.ว. เป็นจุดยืนทางการเมืองของพรรค ที่มีความเป็นประชาธิปไตย อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้ ทางพรรคถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าไม่เป็นประชาธิปไตย สาเหตุเพราะไปร่วมกับพลเอกประยุทธ์ตั้งรัฐบาลเมื่อปี 2562 จนถูกด่าว่าสารพัด แต่มาถึงเมื่อวานนี้ มันได้พิสูจน์แล้วว่า พรรคมีหลักการ คือ ตัวนายกฯ ต้องมาจากตัวแทนของประชาชนที่มาจากการเลือกตั้ง รอบที่แล้ว ถ้าวิเคราะห์เสียงกันดี พลเอกประยุทธ์ ก็ได้เสียง ส.ส.มากกว่า ซึ่งสังคมมองว่ามันเป็นเกม ที่วางไว้อยู่แล้ว ก็วิเคราะห์กันได้

ส่วนพรรคที่ไม่ได้มากับเพื่อน อย่างพรรคพลังประชารัฐ คงคิดว่า เขาจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล อันนี้ คือเป้าหมาย ซึ่งคำว่าแกนนำการจัดตั้ง เขาหวังพึ่งเสียง ส.ว. มาช่วย คือ มันเป็นภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ และเขาก็มองแล้วว่า ลำพังเสียง ส.ส. อาจไปไม่ถึงฝั่ง เขาจำเป็นต้องพึ่ง ส.ว. ผลลัพธ์มันเลยออกมาแบบนี้ พลังประชารัฐ ไม่ได้แยแสประชาชนเลย ละเลยหลักการประชาธิปไตย ที่สำคัญ เป็นเกมทางการเมืองล้วนๆ

“พรรคภุมิใจไทย เดินหน้าแบบนี้ ฝ่ายขั้วอำนาจ ต้องเข้าใจว่า พรรคเขามีเสียง มีอำนาจ เพราะประชาชนเลือกมา ที่สุดแล้ว เขาต้องยึดหลักการที่ยึดโยงกับประชาชนเป็นที่ตั้ง ดังนั้น ที่มีข่าวว่าสร้างความไม่พอใจ ให้กับบางคน บางฝ่าย บางคน บาง ฝ่าย ก็ต้องเข้าใจที่มา ที่ไป ของพรรคเช่นกัน อย่าลืมว่าพรรคภูมิใจไทย ไม่มีอำนาจพิเศษอะไรมาช่วย”

ด้าน ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต กล่าวว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่ลงชื่อสนับสนุนการปิดสวิตช์ ส.ว. ที่ได้มาเมื่อวานนี้ คือ การแยกปลา แยกน้ำ จะเห็นแล้วว่า ส.ว. สายพลเรือน คือ กลุ่มที่พร้อมตัดทอนอำนาจตัวเอง คนกลุ่มที่ มีความรับผิดชอบต่อหลักการ ส่วนพวกที่ไม่ยกมือคือ กลุ่มนี้ เขาไม่ยึดโยงกับประชาชนแล้ว เราเห็นแล้วนะว่าใครเป็นใคร หลักการเดียวกัน ก็เอาไปวิเคราะห์ ความเคลื่อนไหวของ ส.ส. จะเห็นว่า พรรคการเมือง ที่ต้องหาเสียงกับประชาชน ไม่ใช่หาเสียงกับผู้มีอำนาจ ก็ล้วนแล้วแต่ยกมือปิดสวิตช์ ส.ว.กันหมด พรรคภูมิใจไทย ก็ได้ทำให้สังคมเห็นแล้วว่าเอาเข้าจริง เขาแคร์ประชาชน ถึงจะเป็นพรรคร่วม และเหมือนจะเป็นเด็กดีในมือผู้มีอำนาจ แต่ที่สุดแล้ว เขาก็เลือกให้อำนาจมาอยู่กับประชาชน วัฒนธรรมของภูมิใจไทย คือ ไม่แสวงหาศัตรู ดูแล้วเหมือนยอมให้ผู้มีอำนาจ แต่มาถึงจุดหนึ่ง ชัดเจนว่า เขากล้าในการเลือกข้างหลักการ กลับกันพรรคพลังประชารัฐ ดันโหวตให้อำนาจ ส.ว. เลือกนายกฯ ซึ่งพยายามทำความเข้าใจว่า ต้องเล่นตามผู้ใหญ่ ถึงจะกระอักกระอ่วนก็ตาม

“แต่อย่าไปมองว่าพรรคภุมิใจไทยเลือกข้างนู้นแล้ว เลือกข้างนี้แล้ว ทุกอย่างมันต้องดูที่เสียงหลังเลือกตั้ง พรรคภุมิใจไทย ไม่เป็นศัตรูกับใคร และเขาอยากทำงาน คิดไว้แค่นี้ แต่สิ่งที่เขาเลือกเมื่อวาน คือ การไม่ยอมรับอำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายก เขาแค่ต้องทำตามหลักการที่ถูกต้อง แต่ไม่ได้ส่งสัญญาณเลือกข้าง เขาแค่อยากให้การเมืองเป็นธรรมชาติ”