อำเภอแม่แจ่มมีช่างทอผ้าซิ่นตีนจกที่มีชื่อเสียง มีวัฒนธรรมประเพณีหลากหลายชาติพันธุ์ ทุกปีจะมีการจัดงาน ‘มหกรรมผ้าซิ่นตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม’
นอกจากแม่แจ่มจะร่ำรวยไปด้วยธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี มีรากเหง้าความเป็นมาของผู้คนที่หลากหลายน่าสนใจแล้ว แม่แจ่มยังเคยผ่านช่วงวิกฤต...ความยากลำบากมาหลายครั้ง พวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด...จนก้าวเข้าสู่ยุคสร้างบ้านแปงเมืองในปัจจุบัน...
(อ่านตอนที่ 1 รากเหง้า...วิถี...และสีสัน ‘มนต์เมืองแจ๋ม’ https://www.thaipost.net/public-relations-news/507537/)
‘ขัวโตงเตง’ สะพานแขวนข้ามน้ำแม่แจ่ม
แม่แจ่มยุคเมืองปิด
อำเภอแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย อยู่ด้านหลังดอยอินทนนท์ ล้อมรอบไปด้วยขุนเขา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 500 เมตร อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 123 กิโลเมตร มีน้ำแม่แจ่มที่ไหลมาจากดอยอินทนนท์เป็นแม่น้ำสายหลัก
ในอดีตอำเภอแม่แจ่มถือว่าเป็นพื้นที่ทุรกันดาร การเดินทางยากลำบาก ต้องใช้ทางเกวียน หากเดินเท้าจากแม่แจ่มจะไปเชียงใหม่ จะต้องเลาะป่าฝ่าดงไปที่จอมทองก่อน (ระยะทางปัจจุบันประมาณ 70 กิโลเมตร) ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 วัน 2 คืน จากนั้นจะมีรถบรรทุกโดยสารไปเชียงใหม่
นอกจากการติดต่อกับโลกภายนอกจะยากลำบากแล้ว ข้าวปลาอาหารก็ยังขาดแคลน ราษฎรจึงพากันอพยพครอบครัวไปอยู่ถิ่นอื่นที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า ทำให้ประชากรลดน้อยลง
ในปี พ.ศ. 2481 ทางราชการจึงลดฐานะอำเภอแม่แจ่มลงเป็นกิ่งอำเภอ ขึ้นกับอำเภอจอมทอง แต่การเดินทางไปติดต่อกับราชการที่อำเภอจอมทองก็ยังไกลโพ้นเช่นกัน ต่อมาในปี พ.ศ.2499 ทางราชการได้ยกขึ้นเป็นอำเภอแม่แจ่ม เพื่อให้ประชาชนเกิดความสะดวกในการติดต่อกับทางราชการ
ราวปี 2505 อำเภอแม่แจ่มได้เกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันถากถางเส้นทางสร้างถนนเข้าสู่อำเภอ เมื่อถนนแล้วเสร็จในปีต่อมา จึงเริ่มมีรถยนต์จากเชียงใหม่เข้าสู่แม่แจ่ม ทำให้การติดต่อเดินทางสะดวกมากขึ้น...แม่แจ่มไม่กลายเป็นเมืองปิดอีกต่อไป...
จิตรกรรมฝาผนังที่วัดป่าแดด ต.ท่าผา ฝีมือช่างท้องถิ่น เขียนในราวปี พ.ศ. 2432 แสดงวิถีชีวิตคนแม่แจ่มในยุคนั้น
ภัยพิบัติที่ ‘บ้านยางหลวง’ ยุคเริ่มต้นการพัฒนา
อำเภอแม่แจ่มมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่กรมป่าไม้ได้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้ชาวบ้านเกือบทั้งหมดไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่ดิน แบ่งการปกครองเป็น 10 ตำบล 106 หมู่บ้าน ประชากรประมาณ 60,000 คน มีทั้งคนเมือง (ล้านนา) กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) ม้ง ลัวะ ลีซู ฯลฯ อาชีพหลักปลูกข้าวโพด กะหล่ำปลี ถั่วเหลือง ข้าวไร่ ฯลฯ
ในเดือนกันยายนปี 2545 เกิดเหตุการณ์น้ำป่าจากดอยอินทนนท์ไหลหลาก ดินโคลนจากภูเขาไหลถล่มลงสู่น้ำแม่แจ่มและน้ำแม่แรก เกิดผลกระทบต่อชาวแม่แจ่มหลายพื้นที่ แต่ที่บ้านยางหลวง ต.ท่าผา ที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่แจ่มประมาณ 4 กิโลเมตร ได้รับความเสียหายมากที่สุด เพราะเป็นที่ลุ่มและอยู่ติดกับน้ำแม่แรกซึ่งเป็นน้ำสาขาแม่แจ่ม ดิน โคลน หิน ทราย ต้นไม้ ที่ไหลมาตามกระแสน้ำได้พัดพาบ้านเรือน ทรัพย์สิน ไร่นา เสียหายประมาณ 30 ครัวเรือน ระดับน้ำท่วมสูงประมาณ 2 เมตร
สภาพความเสียหายที่บ้านยางหลวงในปี 2545
จากหนังสือบันทึก ‘เล่าขานตำนานเมืองแจ๋ม’ ตีพิมพ์ในปี 2546 โดยฝอยทอง สมบัติ ชาวแม่แจ่ม ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ภัยพิบัติที่บ้านหลวงในครั้งนั้นว่า...
“ผู้เขียนได้ไปดูที่เกิดเหตุ เห็นแล้วน่าสลดใจ เพราะไม่ใช่น้ำท่วมธรรมดา แต่เป็นการถล่มทลายของดอย (ภูเขา) ต้นน้ำ จึงทำให้มีทั้งต้นไม้ใหญ่น้อย หิน ดิน ทราย ทะลักทลายเข้าทับถมบ้านเรือนเสียหายหลายสิบหลังคาเรือน แม้ผู้คนจะรอดชีวิต แต่สิ่งที่ได้ล่องลอยไปพร้อมกับน้ำคือความสูญเสียด้านจิตใจของผู้ที่หนีตายในวันเกิดเหตุ...บางคนเหม่อลอย แต่ละคนแม้ไม่ถึงขั้นสติฟั่นเฟือน แต่ก็มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่สับสน บางคนเหม่อลอย ไม่มีกะจิตกะใจจะฟื้นฟูสภาพบ้านตัวเอง...”
สำราญ กุลนันท์ ผู้ใหญ่บ้าน เล่าว่า พอเกิดภัยพิบัติในครั้งนั้น ทางหน่วยงานราชการต่างๆ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน แต่ชาวบ้านก็ยังหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายแล้ว ในปีต่อมา ตนและชาวบ้าน 8 ครอบครัวจึงอพยพจากบ้านยางหลวงขึ้นมาหาพื้นที่ปลูกบ้านบนบริเวณสันดอย ‘ม่อนบ่อเฮาะ’ ซึ่งเป็นพื้นที่สูง เดิมเป็นไร่ข้าวโพด อยู่ห่างจากที่เดิมประมาณ 2-3 กิโลเมตร
“พอปี 2548 เกิดน้ำท่วมเพราะน้ำป่าไหลลงมาท่วมที่เดิมอีก ชาวบ้านยางหลวงหลายครอบครัวจึงทยอยย้ายขึ้นมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีคนแก่คนเฒ่า มีเด็กเล็ก เพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัว แต่ก็มีอีกหลายครอบครัวที่ยังไม่อยากจะย้ายขึ้นมา เพราะคิดว่าเหตุการณ์น้ำท่วม น้ำป่าอาจจะไม่ได้มีทุกปี อีกทั้งการย้ายบ้านเรือนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ที่ดินที่จะสร้างบ้านใหม่ก็ไม่มี” สำราญบอกเหตุผล
ผู้ใหญ่สำราญกับซากความเสียหาย
ที่ดินบริเวณม่อนบ่อเฮาะซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดนั้น เป็นที่ดินที่มีผู้ครอบครองอยู่ก่อน ( ‘ม่อนบ่อเฮาะ’ สมัยโบราณเป็นดินแดนของชาวลัวะ ยังไม่ทราบความหมายชื่อที่แน่ชัด) เมื่อชาวบ้านยางหลวงอพยพจากหมู่บ้านเดิมขึ้นมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะก็ต้องขอซื้อที่ดินจากผู้ที่จับจองปลูกข้าวโพดอยู่ก่อน ราคาประมาณไร่ละ 10,000 บาท แต่เนื่องจากที่ดินบนม่อนบ่อเฮาะมีเนื้อที่ไม่มากนัก ชาวบ้านที่ย้ายขึ้นมาปลูกบ้านจึงต้องแบ่งปันที่ดินกัน รายละประมาณ 1 งาน หรือ 100 ตารางวา พอได้ปลูกบ้านอยู่อาศัย ปลูกผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์เล็กๆ น้อยๆ
สร้างบ้านแปงเมืองที่ม่อนบ่อเฮาะ
หลังเหตการณ์น้ำป่าในปี 2548 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ สำนักงานภาคเหนือ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานร่วมกับชาวบ้าน สนับสนุนให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะเพื่อไม่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาติอีก
ปี 2549 ชาวบ้านยางหลวงที่ทยอยย้ายขึ้นมาปลูกสร้างบ้านเรือนที่ม่อนบ่อเฮาะได้รวมตัวกันจัดทำโครงการ ‘บ้านมั่นคงชนบทม่อนบ่อเฮาะ’ ที่ พอช. ให้การสนับสนุน (พอช.เริ่มโครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศในปี 2546) มีชาวบ้านเข้าร่วมโครงการในช่วงแรกรวม 48 ครอบครัว ได้รับงบสนับสนุนสินเชื่อครัวเรือนละ 50,000 บาทจาก พอช. เพื่อก่อสร้างบ้านใหม่ และสินเชื่อครัวเรือนละ 20,000 บาทกรณีที่ต่อเติมบ้าน ผ่อนชำระปีละ 3,000 บาท
“ชาวบ้านใช้เงินสร้างบ้านกันไม่มาก เพราะใช้ไม้เก่า ใช้หลังคาที่รื้อย้ายมา แล้วแต่ละหลังชาวบ้านจะช่วยกันรื้อ ช่วยกันสร้าง ช่วยกันยกเสาและขึ้นโครง ไม่ต้องเสียค่าจ้าง ใช้เวลา 2-3 วัน พอขึ้นโครงบ้านแต่ละหลังแล้ว เจ้าของบ้านก็จะสร้างบ้านเอง ให้ญาติพี่น้องมาช่วยกันสร้าง บางหลังก็ต่อเติมไปเรื่อยๆ จนแล้วเสร็จ” ผู้ใหญ่บ้านม่อนบ่อเฮาะเล่าย้อนอดีต
ในการสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะนั้น ชาวบ้านมีข้อตกลงร่วมกันในการจัดระบบการจัดการที่ดินที่อยู่อาศัยในลักษณะกรรมสิทธิ์ร่วม และเพื่อปกป้องที่ดินเอาไว้ให้ลูกหลาน เช่น ห้ามขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอก ที่ดินสามารถตกทอดทางมรดกให้แก่ครอบครัว หากมีการซื้อขายที่ดินภายในชุมชนจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการชุมชน มีการจัดทำผังชุมชน แบ่งพื้นที่ชุมชนออกเป็นพื้นที่ใช้สอยต่างๆ เช่น พื้นที่สร้างวัด ศูนย์เด็กเล็ก ศาลาประชาคม ที่อยู่อาศัยและทำกิน ฯลฯ
นอกจากนี้ จากประสบการณ์ที่ชาวบ้านเคยประสบปัญหาน้ำท่วมมาหลายครั้ง ทำให้พวกเขามองเห็นความสำคัญในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น กันพื้นที่เพื่อสงวนไว้เป็นป่าชุมชน เนื้อที่ประมาณ 120 ไร่ สร้างและซ่อมแซมเหมืองฝายเพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดปี จัดตั้งเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลาในน้ำแม่แจ่ม โดยใช้พิธีกรรมและความเชื่อถือศรัทธาทางศาสนาเป็นเครื่องมือ สร้างกฎระเบียบให้ชาวชุมชนช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ช่วยกันสร้างบ้านใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะ
สร้างกองทุนสวัสดิการ-บ้านมั่นคง
นอกจากการอพยพขึ้นมาจากบ้านยางหลวงเพื่อสร้างบ้านมั่นคงที่ม่อนบ่อเฮาะในช่วงปี 2549-2550 แล้ว ในเวลาเดียวกันนั้น พอช.ได้สนับสนุนให้ชาวม่อนบ่อเฮาะจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือกันอีกหลายกองทุน เช่น กองทุนสวัสดิการชุมชน หรือ ‘กองทุนวันละ 1 บาท’ มีสมาชิกเริ่มต้น 60 คน (ตามจำนวนครัวเรือนที่ย้ายขึ้นมาที่ม่อนบ่อเฮาะในช่วงนั้น) เพื่อช่วยเหลือสมาชิกในยามที่เดือดร้อนจำเป็นสวัสดิการ
เช่น คลอดบุตร ช่วยเหลือ 500 บาท เจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล ช่วยเหลือคืนละ 100 บาท ปีหนึ่งไม่เกินคนละ 1,000 บาท, เสียชีวิต เป็นสมาชิก 1 ปีขึ้นไป ช่วยเหลือไม่เกิน 10,000 บาท และช่วยเหลือภัยพิบัติตามความเหมาะสม ปัจจุบันกองทุนมีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 300 คน มีเงินกองทุนประมาณ 400,000 บาท
‘กลุ่มออมทรัพย์หมู่บ้านมั่นคงม่อนบ่อเฮาะ’ จัดตั้งในปี 2549 พร้อมกับกองทุนสวัสดิการชุมชน โดยให้สมาชิกออมเงินเข้ากลุ่มเป็นรายเดือนอย่างน้อยเดือนละ 30 บาท สามารถกู้ยืมเพื่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านได้ไม่เกินรายละ 25,000 บาท คิดดดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท ผ่อนชำระคืนปีละ 3,000 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี กู้ยืมประกอบอาชีพ ไม่เกินรายละ 15,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท ชำระคืนภายใน 6 เดือน (ปัจจุบันช่วยเหลือให้สมาชิกกู้ยืมแก้ไขความเดือดร้อน รวมเป็นเงินประมาณ 1.5 ล้านบาท มีเงินสดหมุนเวียนประมาณ 5 แสนบาท)
นับจากภัยพิบัติที่บ้านยางหลวงในปี 2545 บัดนี้เป็นเวลาเกือบ 20 ปีที่พวกเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะ (ปัจจุบันมี 74 ครอบครัว ประมาณ 300 คน) ทำให้พวกเขามีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ปลอดภัย มีกองทุนต่างๆ เอาไว้ช่วยเหลือดูแลกัน ทั้งยังช่วยกันดูแลป่าเขาและแม่น้ำ ถือเป็นหมู่บ้านต้นแบบแห่งหนึ่งของอำเภอแม่แจ่มที่ชาวบ้านได้ช่วยกันพลิกฟื้นหมู่บ้านที่เคยล่มจมเพราะภัยพิบัติ...และช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นมาใหม่...!!
(ติดตามอ่านตอนต่อไป...”จากม่อนบ่อเฮาะ...สู่แม่แจ่มโมเดล...การพัฒนาที่ยั่งยืน”)
ม่อนบ่อเฮาะในปัจจุบัน
***************
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
อำเภอแม่แจ่มมีช่างทอผ้าซิ่นตีนจกที่มีชื่อเสียง มีวัฒนธรรมประเพณีหลากหลายชาติพันธุ์ ทุกปีจะมีการจัดงาน ‘มหกรรมผ้าซิ่นตีนจกและวัฒนธรรมชนเผ่าอำเภอแม่แจ่ม’
นอกจากแม่แจ่มจะร่ำรวยไปด้วยธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี มีรากเหง้าความเป็นมาของผู้คนที่หลากหลายน่าสนใจแล้ว แม่แจ่มยังเคยผ่านช่วงวิกฤต...ความยากลำบากมาหลายครั้ง พวกเขาต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด...จนก้าวเข้าสู่ยุคสร้างบ้านแปงเมืองในปัจจุบัน...
(อ่านตอนที่ 1 รากเหง้า...วิถี...และสีสัน ‘มนต์เมืองแจ๋ม’ https://www.thaipost.net/public-relations-news/507537/)
‘ขัวโตงเตง’ สะพานแขวนข้ามน้ำแม่แจ่ม
แม่แจ่มยุคเมืองปิด
อำเภอแม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ ตั้งอยู่บนเทือกเขาถนนธงชัย อยู่ด้านหลังดอยอินทนนท์ ล้อมรอบไปด้วยขุนเขา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 500 เมตร อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ราว 123 กิโลเมตร มีน้ำแม่แจ่มที่ไหลมาจากดอยอินทนนท์เป็นแม่น้ำสายหลัก
ในอดีตอำเภอแม่แจ่มถือว่าเป็นพื้นที่ทุรกันดาร การเดินทางยากลำบาก ต้องใช้ทางเกวียน หากเดินเท้าจากแม่แจ่มจะไปเชียงใหม่ จะต้องเลาะป่าฝ่าดงไปที่จอมทองก่อน (ระยะทางปัจจุบันประมาณ 70 กิโลเมตร) ใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 วัน 2 คืน จากนั้นจะมีรถบรรทุกโดยสารไปเชียงใหม่
นอกจากการติดต่อกับโลกภายนอกจะยากลำบากแล้ว ข้าวปลาอาหารก็ยังขาดแคลน ราษฎรจึงพากันอพยพครอบครัวไปอยู่ถิ่นอื่นที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่า ทำให้ประชากรลดน้อยลง
ในปี พ.ศ. 2481 ทางราชการจึงลดฐานะอำเภอแม่แจ่มลงเป็นกิ่งอำเภอ ขึ้นกับอำเภอจอมทอง แต่การเดินทางไปติดต่อกับราชการที่อำเภอจอมทองก็ยังไกลโพ้นเช่นกัน ต่อมาในปี พ.ศ.2499 ทางราชการได้ยกขึ้นเป็นอำเภอแม่แจ่ม เพื่อให้ประชาชนเกิดความสะดวกในการติดต่อกับทางราชการ
ราวปี 2505 อำเภอแม่แจ่มได้เกณฑ์ชาวบ้านมาช่วยกันถากถางเส้นทางสร้างถนนเข้าสู่อำเภอ เมื่อถนนแล้วเสร็จในปีต่อมา จึงเริ่มมีรถยนต์จากเชียงใหม่เข้าสู่แม่แจ่ม ทำให้การติดต่อเดินทางสะดวกมากขึ้น...แม่แจ่มไม่กลายเป็นเมืองปิดอีกต่อไป...
จิตรกรรมฝาผนังที่วัดป่าแดด ต.ท่าผา ฝีมือช่างท้องถิ่น เขียนในราวปี พ.ศ. 2432 แสดงวิถีชีวิตคนแม่แจ่มในยุคนั้น
ภัยพิบัติที่ ‘บ้านยางหลวง’ ยุคเริ่มต้นการพัฒนา
อำเภอแม่แจ่มมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่กรมป่าไม้ได้ประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ทำให้ชาวบ้านเกือบทั้งหมดไม่มีเอกสารสิทธิ์ครอบครองที่ดิน แบ่งการปกครองเป็น 10 ตำบล 106 หมู่บ้าน ประชากรประมาณ 60,000 คน มีทั้งคนเมือง (ล้านนา) กลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) ม้ง ลัวะ ลีซู ฯลฯ อาชีพหลักปลูกข้าวโพด กะหล่ำปลี ถั่วเหลือง ข้าวไร่ ฯลฯ
ในเดือนกันยายนปี 2545 เกิดเหตุการณ์น้ำป่าจากดอยอินทนนท์ไหลหลาก ดินโคลนจากภูเขาไหลถล่มลงสู่น้ำแม่แจ่มและน้ำแม่แรก เกิดผลกระทบต่อชาวแม่แจ่มหลายพื้นที่ แต่ที่บ้านยางหลวง ต.ท่าผา ที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอแม่แจ่มประมาณ 4 กิโลเมตร ได้รับความเสียหายมากที่สุด เพราะเป็นที่ลุ่มและอยู่ติดกับน้ำแม่แรกซึ่งเป็นน้ำสาขาแม่แจ่ม ดิน โคลน หิน ทราย ต้นไม้ ที่ไหลมาตามกระแสน้ำได้พัดพาบ้านเรือน ทรัพย์สิน ไร่นา เสียหายประมาณ 30 ครัวเรือน ระดับน้ำท่วมสูงประมาณ 2 เมตร
สภาพความเสียหายที่บ้านยางหลวงในปี 2545
จากหนังสือบันทึก ‘เล่าขานตำนานเมืองแจ๋ม’ ตีพิมพ์ในปี 2546 โดยฝอยทอง สมบัติ ชาวแม่แจ่ม ซึ่งได้บันทึกเหตุการณ์ภัยพิบัติที่บ้านหลวงในครั้งนั้นว่า...
“ผู้เขียนได้ไปดูที่เกิดเหตุ เห็นแล้วน่าสลดใจ เพราะไม่ใช่น้ำท่วมธรรมดา แต่เป็นการถล่มทลายของดอย (ภูเขา) ต้นน้ำ จึงทำให้มีทั้งต้นไม้ใหญ่น้อย หิน ดิน ทราย ทะลักทลายเข้าทับถมบ้านเรือนเสียหายหลายสิบหลังคาเรือน แม้ผู้คนจะรอดชีวิต แต่สิ่งที่ได้ล่องลอยไปพร้อมกับน้ำคือความสูญเสียด้านจิตใจของผู้ที่หนีตายในวันเกิดเหตุ...บางคนเหม่อลอย แต่ละคนแม้ไม่ถึงขั้นสติฟั่นเฟือน แต่ก็มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่สับสน บางคนเหม่อลอย ไม่มีกะจิตกะใจจะฟื้นฟูสภาพบ้านตัวเอง...”
สำราญ กุลนันท์ ผู้ใหญ่บ้าน เล่าว่า พอเกิดภัยพิบัติในครั้งนั้น ทางหน่วยงานราชการต่างๆ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือชาวบ้าน แต่ชาวบ้านก็ยังหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายแล้ว ในปีต่อมา ตนและชาวบ้าน 8 ครอบครัวจึงอพยพจากบ้านยางหลวงขึ้นมาหาพื้นที่ปลูกบ้านบนบริเวณสันดอย ‘ม่อนบ่อเฮาะ’ ซึ่งเป็นพื้นที่สูง เดิมเป็นไร่ข้าวโพด อยู่ห่างจากที่เดิมประมาณ 2-3 กิโลเมตร
“พอปี 2548 เกิดน้ำท่วมเพราะน้ำป่าไหลลงมาท่วมที่เดิมอีก ชาวบ้านยางหลวงหลายครอบครัวจึงทยอยย้ายขึ้นมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีคนแก่คนเฒ่า มีเด็กเล็ก เพราะกลัวอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัว แต่ก็มีอีกหลายครอบครัวที่ยังไม่อยากจะย้ายขึ้นมา เพราะคิดว่าเหตุการณ์น้ำท่วม น้ำป่าอาจจะไม่ได้มีทุกปี อีกทั้งการย้ายบ้านเรือนก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ที่ดินที่จะสร้างบ้านใหม่ก็ไม่มี” สำราญบอกเหตุผล
ผู้ใหญ่สำราญกับซากความเสียหาย
ที่ดินบริเวณม่อนบ่อเฮาะซึ่งเป็นไร่ข้าวโพดนั้น เป็นที่ดินที่มีผู้ครอบครองอยู่ก่อน ( ‘ม่อนบ่อเฮาะ’ สมัยโบราณเป็นดินแดนของชาวลัวะ ยังไม่ทราบความหมายชื่อที่แน่ชัด) เมื่อชาวบ้านยางหลวงอพยพจากหมู่บ้านเดิมขึ้นมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะก็ต้องขอซื้อที่ดินจากผู้ที่จับจองปลูกข้าวโพดอยู่ก่อน ราคาประมาณไร่ละ 10,000 บาท แต่เนื่องจากที่ดินบนม่อนบ่อเฮาะมีเนื้อที่ไม่มากนัก ชาวบ้านที่ย้ายขึ้นมาปลูกบ้านจึงต้องแบ่งปันที่ดินกัน รายละประมาณ 1 งาน หรือ 100 ตารางวา พอได้ปลูกบ้านอยู่อาศัย ปลูกผักสวนครัว และเลี้ยงสัตว์เล็กๆ น้อยๆ
สร้างบ้านแปงเมืองที่ม่อนบ่อเฮาะ
หลังเหตการณ์น้ำป่าในปี 2548 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ สำนักงานภาคเหนือ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาทำงานร่วมกับชาวบ้าน สนับสนุนให้ชาวบ้านรวมกลุ่มกันแก้ไขปัญหา โดยเฉพาะการสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะเพื่อไม่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาติอีก
ปี 2549 ชาวบ้านยางหลวงที่ทยอยย้ายขึ้นมาปลูกสร้างบ้านเรือนที่ม่อนบ่อเฮาะได้รวมตัวกันจัดทำโครงการ ‘บ้านมั่นคงชนบทม่อนบ่อเฮาะ’ ที่ พอช. ให้การสนับสนุน (พอช.เริ่มโครงการบ้านมั่นคงทั่วประเทศในปี 2546) มีชาวบ้านเข้าร่วมโครงการในช่วงแรกรวม 48 ครอบครัว ได้รับงบสนับสนุนสินเชื่อครัวเรือนละ 50,000 บาทจาก พอช. เพื่อก่อสร้างบ้านใหม่ และสินเชื่อครัวเรือนละ 20,000 บาทกรณีที่ต่อเติมบ้าน ผ่อนชำระปีละ 3,000 บาท
“ชาวบ้านใช้เงินสร้างบ้านกันไม่มาก เพราะใช้ไม้เก่า ใช้หลังคาที่รื้อย้ายมา แล้วแต่ละหลังชาวบ้านจะช่วยกันรื้อ ช่วยกันสร้าง ช่วยกันยกเสาและขึ้นโครง ไม่ต้องเสียค่าจ้าง ใช้เวลา 2-3 วัน พอขึ้นโครงบ้านแต่ละหลังแล้ว เจ้าของบ้านก็จะสร้างบ้านเอง ให้ญาติพี่น้องมาช่วยกันสร้าง บางหลังก็ต่อเติมไปเรื่อยๆ จนแล้วเสร็จ” ผู้ใหญ่บ้านม่อนบ่อเฮาะเล่าย้อนอดีต
ในการสร้างบ้าน สร้างชุมชนใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะนั้น ชาวบ้านมีข้อตกลงร่วมกันในการจัดระบบการจัดการที่ดินที่อยู่อาศัยในลักษณะกรรมสิทธิ์ร่วม และเพื่อปกป้องที่ดินเอาไว้ให้ลูกหลาน เช่น ห้ามขายที่ดินให้แก่บุคคลภายนอก ที่ดินสามารถตกทอดทางมรดกให้แก่ครอบครัว หากมีการซื้อขายที่ดินภายในชุมชนจะต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการชุมชน มีการจัดทำผังชุมชน แบ่งพื้นที่ชุมชนออกเป็นพื้นที่ใช้สอยต่างๆ เช่น พื้นที่สร้างวัด ศูนย์เด็กเล็ก ศาลาประชาคม ที่อยู่อาศัยและทำกิน ฯลฯ
นอกจากนี้ จากประสบการณ์ที่ชาวบ้านเคยประสบปัญหาน้ำท่วมมาหลายครั้ง ทำให้พวกเขามองเห็นความสำคัญในการดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เช่น กันพื้นที่เพื่อสงวนไว้เป็นป่าชุมชน เนื้อที่ประมาณ 120 ไร่ สร้างและซ่อมแซมเหมืองฝายเพื่อให้มีน้ำใช้ตลอดปี จัดตั้งเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลาในน้ำแม่แจ่ม โดยใช้พิธีกรรมและความเชื่อถือศรัทธาทางศาสนาเป็นเครื่องมือ สร้างกฎระเบียบให้ชาวชุมชนช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
ช่วยกันสร้างบ้านใหม่ที่ม่อนบ่อเฮาะ
สร้างกองทุนสวัสดิการ-บ้านมั่นคง
นอกจากการอพยพขึ้นมาจากบ้านยางหลวงเพื่อสร้างบ้านมั่นคงที่ม่อนบ่อเฮาะในช่วงปี 2549-2550 แล้ว ในเวลาเดียวกันนั้น พอช.ได้สนับสนุนให้ชาวม่อนบ่อเฮาะจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือกันอีกหลายกองทุน เช่น กองทุนสวัสดิการชุมชน หรือ ‘กองทุนวันละ 1 บาท’ มีสมาชิกเริ่มต้น 60 คน (ตามจำนวนครัวเรือนที่ย้ายขึ้นมาที่ม่อนบ่อเฮาะในช่วงนั้น) เพื่อช่วยเหลือสมาชิกในยามที่เดือดร้อนจำเป็นสวัสดิการ
เช่น คลอดบุตร ช่วยเหลือ 500 บาท เจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล ช่วยเหลือคืนละ 100 บาท ปีหนึ่งไม่เกินคนละ 1,000 บาท, เสียชีวิต เป็นสมาชิก 1 ปีขึ้นไป ช่วยเหลือไม่เกิน 10,000 บาท และช่วยเหลือภัยพิบัติตามความเหมาะสม ปัจจุบันกองทุนมีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 300 คน มีเงินกองทุนประมาณ 400,000 บาท
‘กลุ่มออมทรัพย์หมู่บ้านมั่นคงม่อนบ่อเฮาะ’ จัดตั้งในปี 2549 พร้อมกับกองทุนสวัสดิการชุมชน โดยให้สมาชิกออมเงินเข้ากลุ่มเป็นรายเดือนอย่างน้อยเดือนละ 30 บาท สามารถกู้ยืมเพื่อสร้าง ซ่อมแซมบ้านได้ไม่เกินรายละ 25,000 บาท คิดดดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท ผ่อนชำระคืนปีละ 3,000 บาท ระยะเวลาไม่เกิน 8 ปี กู้ยืมประกอบอาชีพ ไม่เกินรายละ 15,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท ชำระคืนภายใน 6 เดือน (ปัจจุบันช่วยเหลือให้สมาชิกกู้ยืมแก้ไขความเดือดร้อน รวมเป็นเงินประมาณ 1.5 ล้านบาท มีเงินสดหมุนเวียนประมาณ 5 แสนบาท)
นับจากภัยพิบัติที่บ้านยางหลวงในปี 2545 บัดนี้เป็นเวลาเกือบ 20 ปีที่พวกเขาย้ายครอบครัวมาอยู่ที่ม่อนบ่อเฮาะ (ปัจจุบันมี 74 ครอบครัว ประมาณ 300 คน) ทำให้พวกเขามีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ปลอดภัย มีกองทุนต่างๆ เอาไว้ช่วยเหลือดูแลกัน ทั้งยังช่วยกันดูแลป่าเขาและแม่น้ำ ถือเป็นหมู่บ้านต้นแบบแห่งหนึ่งของอำเภอแม่แจ่มที่ชาวบ้านได้ช่วยกันพลิกฟื้นหมู่บ้านที่เคยล่มจมเพราะภัยพิบัติ...และช่วยกันสร้างบ้านแปงเมืองขึ้นมาใหม่...!!
(ติดตามอ่านตอนต่อไป...”จากม่อนบ่อเฮาะ...สู่แม่แจ่มโมเดล...การพัฒนาที่ยั่งยืน”)
ม่อนบ่อเฮาะในปัจจุบัน
***************
เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
พอช. ร่วม 3 พื้นที่รูปธรรมภาคอีสาน ถอดบทเรียนเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
ระหว่างวันที่ 22-24 เมษายน 2567 สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) โดยสำนักพัฒนาองค์ความรู้และสื่อสารองค์กร ร่วมกับสำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ลงพื้นที่ถอดบทเรียน 3 พื้นที่รูปธรรม
สั่งปิดป่าเชียงดาวตัดตอนลอบเผา
นายนิวัติ บุญมาวงศ์ หัวหน้าสถานีควบคุมไฟป่าเชียงดาว เลขาฯศูนย์สั่งการฯ War room แก้ปัญหาไฟป่าพื้นที่บูรณาการฯ ขสป.เชียงดาว รายงานผลการปฏิบัติควบคุมไฟป่าบริเวณพื้นที่ดอยนาง
เครือข่ายสวัสดิการชุมชนจัดงานสมัชชาสวัสดิการชุมชนระดับภาค ที่สุพรรณบุรี “สวัสดิการชุมชน พลังสร้างสังคม ลดความเหลื่อมล้ำ แก้วิกฤตประชากรไทย”
สุพรรณบุรี : เครือข่ายสวัสดิการชุมชน ร่วม กระทรวง พม. พอช. จัดงานสมัชชาสวัสดิการชุมชนระดับภาค ภาคกลางและตะวันตก และภาคกรุงเทพฯ ปริมณฑลและตะวันออก
ผวาฮีตสโตรก! 'สาธารณสุขเชียงใหม่' เตือน ปชช. 25 อำเภอ
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่แจ้งว่า อากาศในช่วงนี้อุณหภูมิสูงร้อนอบอ้าวจากอิทธิพลความกดอากาศต่อเนื่องจากความร้อนปกคลุมประเทศไทยตอนบน
พายุฤดูร้อนถล่ม 4 จังหวัดภาคเหนือ บ้านเรือนเสียหาย ต้นไม้ใหญ่โค่นล้มเพียบ
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับรายงานจาก สอต.พะเยา สอต.เชียงใหม่ สอต.แพร่ และ สอต.เชียงราย เกี่ยวกับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน วาตภัย เหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 19 เม.ย.67 ในพื้นที่ ดังนี้
วธ.เปิดงานป๋าเวณีปี๋ใหม่เมือง ชวนสัมผัสวัฒนธรรมล้านนาฉลองมรดกโลก
15 เม.ย.2567 - สงกรานต์เชียงใหม่คึกคัก กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่