เพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงอย่างเป็นระบบนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน มูลนิธิเพื่อนหญิง ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ 3 หน่วยงานหลักที่มีบทบาทในชุมชนท้องถิ่น ได้แก่ คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (ศพค.) ดำเนินงานโดยนำหลัก 4D 5S เพื่อลดปัญหาความรุนแรงทั้งในเด็ก สตรี และครอบครัว 4D คือ สมาชิกในครอบครัวต้องมีสุขภาวะที่ดี สุขภาพกายใจดี ปัญญาดี สังคมดี 5S คือ Social Stereotypes ความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องส่วนตัว หากมีพื้นที่ไม่ปลอดภัยทุกคนต้องได้รับการคุ้มครอง Social protection การเข้าถึงระบบการคุ้มครองสิทธิ สวัสดิภาพ ความปลอดภัย ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ที่เป็นมิตร Social service จัดสรร รัฐสวัสดิการจำเป็นเบี้ยยังชีพ ทุนการศึกษา เงินอุดหนุนต่าง ๆ Social support เยี่ยมบ้าน เฝ้าระวังความรุนแรง ประเมินผล ให้คำแนะนำอาชีพ ทักษะชีวิต Social security จัดให้มีกองทุนเข้าถึงง่าย การออมแห่งชาติ มีเงินสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น ทำให้สมาชิกทุกคนเห็นคุณค่าในตนเอง ได้รับการเสริมศักยภาพ มีความเป็นอิสระจากรายรับที่เลี้ยงดูตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพิงอีกฝ่ายซึ่งจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการถูกทำร้าย บางครอบครัวก็สามารถไปต่อได้ บางกรณีถึงแม้จะต้องเลิกลาแต่จะไม่เกิดกรณีกลับมาทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง
ธนวดี ท่าจีน ผู้อำนวยการ มูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่คลุกคลีกับการทำงานด้านนี้มากว่า 2 ทศวรรษ ยอมรับว่ากฎหมายให้การคุ้มครองสิทธิผู้หญิงมากขึ้น แต่กลไกการดำเนินงานยังขาดประสิทธิภาพ และจำเป็นต้องมีการพัฒนาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ประสบปัญหาได้อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันในระดับชุมชน ปัญหาความรุนแรงยังถูกมองเป็นเรื่องภายในครอบครัว ส่งผลให้บางกรณีปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขจนนำไปสู่ความรุนแรงจนถึงแก่ชีวิต และอีกหลายกรณีเป็นปัญหาที่สะสมภายในชุมชน
“แต่ละวัน เราเห็นข่าวเด็ก สตรี ลูกทำร้ายพ่อแม่ถึงแก่ชีวิตถี่ขึ้น ในพื้นที่ที่เราทำงานในเชิงป้องกัน มีการสำรวจข้อมูลครอบครัวเปราะบางที่เสี่ยงจะมีการใช้ความรุนแรง พบ 375 ครอบครัวในจังหวัดสงขลา อุบล และน่าน เราใช้สูตร 4D 5S ทำให้เราสามารถป้องกันเหตุความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นได้ และ 61 ครอบครัวได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพความปลอดภัย ลดการถูกทำร้าย พิการบาดเจ็บ เสียชีวิต
“หากทุกภาคส่วนเข้าใจแนวทางว่า ผู้ว่าฯ นายอำเภอ นายกเทศบาล อบต. มีอำนาจตามกฎหมายในการ คุ้มครองสวัสดิภาพบุคคลในครอบครัวได้ใน 48 ชั่วโมง โดยยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว และมีการปฏิบัติตามภาระหน้าที่ซึ่งแต่ละฝ่ายรับผิดชอบอยู่ โดยมีการวางแผนทำงานเป็นทีมผ่านกลไกของ พชอ.และ ศพค. บูรณาการทำงานทุกมิติเข้าด้วยกัน จะช่วยลดความรุนแรงอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะถ้ายังแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าเช่นที่ผ่านมา นอกจากความรุนแรงจะไม่ถูกแก้ไขแล้วยังจะกลับมาเกิดซ้ำอีก” ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง กล่าว
ประสบการณ์จริงจากพื้นที่ต้นแบบ
ณัทกร วิทิตถิรานันท์ สาธารณสุข อำเภอดอนมดแดง จังหวัดอุบลราชธานี เครือข่ายทำงาน ถ่ายทอดประสบการณ์ในพื้นที่ให้ฟังว่า สาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ความรุนแรง คือยาเสพติด
“90% ของปัญหาความรุนแรง หรือมีการก่อเหตุ เกิดจากยาเสพติด เคสที่ร้ายแรง สร้างความสลดใจกับคนทำงานอย่างผมซึ่งผ่านเคสมามากมาย ก็คือเคสลูกฆ่าแม่ จากการเสพยาแล้วเกิดอาการหลอน เนื่องจากตัวเองมีอาชีพ ฆ่าวัว-ควาย เราจึงนำประเด็นยาเสพติดมาขับเคลื่อน สร้างกระบวนการทำงานร่วมกับตำรวจ สาธารณสุข ฝ่ายปกครอง ไปจนถึงจนถึงผู้นำชุมชน แบ่งบทบาทความรับผิดชอบกันชัดเจน เมื่อไรก็ตามที่เกิดเหตุ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ได้ และพยายามหาแนวทางป้องกันต่อเพื่อไม่ให้ปัญหาวกกลับมาอีก ที่ผ่านมาถือว่าเป็นไปด้วยดี”
น้อย อินทอง หรือ “ป้าน้อย” หนึ่งในอาสาสมัคร จากอำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา ทำงานเรื่องนี้มากว่า 30 ปี โดยเป็นทั้งอาสาสมัคร พม. และ อสม.
“พื้นที่ ๆ ทำงานอยู่ ได้รับความร่วมมือจากองค์กรที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากบางปัญหามีความซับซ้อน ส่งทอดปัญหากันมาจากรุ่นสู่รุ่น จำเป็นต้องใช้เวลา บางครอบครัว ทิ้งลูก ทิ้งหลาน แถมยังมีเหลน ให้ปู่ ย่า ต้องดูแล ซึ่งนอกจากจะมีรายได้น้อย อายุมาก ทักษะที่จะดูแลเด็กวัยรุ่น หรือคนติดยาถือเป็นเรื่องยาก เคสนี้ไม่ง่ายเลย แต่เราก็ไม่ทิ้งเขาไว้ระหว่างทางอย่างแน่นอน”
ในฐานนะอาสาสมัครมืออาชีพ “ป้าน้อย” ต้องการให้เพิ่มจำนวนอาสาสมัคร พม.ในอำเภอ เนื่องจากเวลาเกิดเคส ไม่ว่า คนเกิด เจ็บ เสียชีวิต หรือได้รับความเดือดร้อนจากความรุนแรง จะได้ช่วยเหลือให้ทันต่อเหตุการณ์
นอกจากการทำงานร่วมกับหน่วยงานหลักแล้ว ป้าน้อยยังสร้างความร่วมมือในระดับชุมชน ด้วยการจัดกิจกรรมปั่นจักรยาน นำเงินรายได้มาช่วยเคสที่สำคัญและเร่งด่วน เช่นเดียวกับเครือข่ายจาก ตำบลเปือ อำเภอเชียงกลาง จังหวัด จังหวัดน่าน
“ทุกปีเราจะตั้งกองผ้าป่าชื่อ คนเชียงกลางไม่ทิ้งกัน เพื่อนำเงินมาสนับสนุน ช่วยเหลือโครงการต่าง ๆ รวมถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัว” พัชสิณี อินท์วงค์ รองนายกบริหารส่วนตำบลเปือ กล่าวเสริม
ความรุนแรงในครอบครัว เป็นปัญหาที่สั่งสมมายาวนาน กฎหมายและกลไกการดำเนินงานในทุกระดับที่ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อคุ้มครองสิทธิของเด็ก ผู้หญิง และคนในครอบครัว จะเห็นผลได้จริง จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจ และความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน ในทุกระดับ และที่สำคัญ คนในสังคมต้องปรับฐานคิดด้วยว่า ความรุนแรงในครอบครัว มิใช่เรื่องผัวเมีย หรือเรื่องส่วนตัวที่จะจัดการกันเอง เพราะถ้าพื้นที่ส่วนตัวเริ่มไม่ปลอดภัย สมาชิกทุกคนต้องสามารถเข้าถึงและได้รับการคุ้มครองอย่างเข้าใจ เป็นมิตร และเสริมพลังให้มีชีวิตต่อไปได้อย่างเป็นอิสระและมั่นคงโดยไม่ถูกกระทำซ้ำอีก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
โชว์ต้นแบบรถยนต์ไฟฟ้าดัดแปลง ลดฝุ่นอากาศสะอาดทุกลมหายใจ
"อากาศบริสุทธิ์ใน กทม.เป็นจริงได้ ด้วยจุดเปลี่ยนร่วมมือร่วมใจ ให้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนต้องได้" ด้วยแนวคิดข้างต้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ทำความรู้จัก “เชื้อดื้อยา” จากผลงานประกวดภาพวาดการ์ตูนคอมมิค
การสื่อสารในประเด็น “เชื้อดื้อยา”เพื่อให้คนส่วนใหญ่ รับรู้ เข้าใจ ถึงผลกระทบ และร่วมกันป้องกัน เป็นเรื่องที่องค์กรที่ทำงานด้านนี้ได้พยายามทำมาอย่างต่อเนื่อง
โฟกัสเชียงใหม่ต้นแบบความสำเร็จ งดขายเหล้าเทศกาลพร้อมเป็นตาสับปะรด
เชียงใหม่ต้นแบบความสำเร็จ ทุกเทศกาลประกาศงดขายงดดื่มเหล้า ทราบล่วงหน้า 15 วัน ประชุมหน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมพร้อมรับมือ ภาคประชาสังคมพร้อมใจเป็นตาสับปะรดร้องเรียน
'สมศักดิ์' ดึง สสส. ช่วย 'นับคาร์บ' ชวนคนไทยลดโรค NCDs ต้นเหตุคร่าชีวิตคนไทยชั่วโมงละ 45 คน ผจก.สสส.เดินหน้าพัฒนาฐานข้อมูลเชื่อมท้องถิ่นลดเสี่ยง
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะรองประธานกรรมการกองทุน สสส. คนที่ 1 กล่าวในการเป็นประธานประชุมกรรมการกองทุนฯ ครั้งที่ 8/2567 ว่า จากข้อมูลพบว่ามีผู้เสียชีวิตจาก NCDs 400,000 คนต่อปี คิดเป็นชั่วโมงละ 45 คน
‘สมัชชาสุขภาพ ครั้งที่ 17’ ปิดฉากชื่นมื่น บรรลุ 2 นโยบายฯ สร้างเศรษฐกิจยุคใหม่
สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 17 ปิดฉากลงอย่างชื่นมื่น สมาชิกกว่า 3,000 ชีวิต ให้การรับรอง 2 ระเบียบวาระ “พลิกโฉมกำลังคนเพื่อสังคมสุขภาวะ - การท่องเที่ยวแนวใหม่ สู่สุขภาวะและเศรษฐกิจ
จับตาปลดล็อก..ควบคุมเหล้าเบียร์ กฎหมายใหม่เปิดช่องขายได้ทั่วถึง
รายงานองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2567 ชี้ว่าแนวโน้มการบริโภคแอลกอฮอล์/หัวประชากร และผลกระทบต่อสุขภาพมีความซับซ้อนและแตกต่างกันตามภูมิภาคต่างๆ ที่น่ากังวลคือ ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีแนวโน้มจะมีการดื่มที่สูงขึ้น