เคยสงสัยไหมว่า บ้านริมคลองที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ กว่าจะกลายเป็นชุมชนที่น่าอยู่ได้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง? วันนี้เราจะพาไปฟังเรื่องเล่าจาก "ชุมชนหลังวัดรังสิต" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของโครงการบ้านมั่นคงริมคลองเปรมประชากร ที่บอกเลยว่าเส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวชวนลุ้นและกำลังใจจากชาวบ้านที่ไม่ยอมแพ้!

บ้านริมคลอง"ชุมชนหลังวัดรังสิต" ในปัจจุบัน
จุดเริ่มต้นจากนโยบาย...สู่ภารกิจ "บ้านมั่นคงริมคลอง"
ย้อนกลับไปปี 2559 รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาคลองสำคัญ 9 สาย โดยมี สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. เป็นหัวหอก ได้จัดตั้ง "สำนักพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลอง" เริ่มจากคลองลาดพร้าวเป็นคลองแรก พอมาถึงปี 2562 ก็ขยายมาที่ "คลองเปรมประชากร" ซึ่งทอดยาวตั้งแต่กรุงเก่าอยุธยาจรดเจ้าพระยาใจกลางกรุงเทพฯ คลองแห่งนี้มีชุมชนริมน้ำอาศัยอยู่หนาแน่น โดยเฉพาะ 4 จุดหลักในเขตดอนเมือง จตุจักร หลักสี่ และรังสิต

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มอบบ้านฯ
การทำงานของคลองเปรมประชากรใช้โมเดลเดียวกับคลองลาดพร้าวเป๊ะๆ โดยมีคณะทำงานใหญ่จาก กทม. และจังหวัดปทุมธานีลงพื้นที่ทำงานประสานกับผู้ว่าฯ และผู้อำนวยการเขต แถมยังได้รับเกียรติจากอดีตนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาเปิดโครงการด้วยตัวเอง ซึ่งช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้ทั้งคณะกรรมการและชาวบ้านอย่างมาก
ความพิเศษของโครงการนี้คือการใช้กฎหมายเฉพาะที่เอื้อให้ชาวบ้านสามารถสร้างบ้านห่างจากคลองแค่ 2 เมตร (จากปกติ 6 เมตร) ทำให้ผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ริมคลองมีที่ทางเป็นของตัวเองภายใต้กรอบของกฎหมาย นี่คือจุดเริ่มต้นความหวังที่ยิ่งใหญ่!

สภาพเดิมบ้านริมคลองเปรมหลังวัดรังสิต
เบื้องหลังการทำงาน: กฎหมาย, การเจรจา
การสร้างบ้านริมคลองไม่ใช่แค่เรื่องก่อสร้าง แต่ผูกโยงกับเรื่องกฎหมายสารพัดสารพัน ทั้งจากกรมธนารักษ์ กรมโยธาฯ และหน่วยงานท้องถิ่น ทีมงานของชุมชนหลังวัดรังสิตต้องวิ่งประสานงานหัวปั่น แม้จะไม่มีทนายความมืออาชีพ แต่ "ประธานชุมชน" และพี่น้องชาวบ้านก็ช่วยกันสุดฤทธิ์ ทั้งทำหนังสือ ประสานงาน เจรจา และวิ่งเต้น
ในช่วงแรก การทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่ยังลังเลเป็นเรื่องใหญ่ บางคนไม่ยอมเข้าร่วมโครงการก็ทำให้แผนรื้อถอนและก่อสร้างสะดุด ทางออกคือ "การเจรจา" และที่น่าสนใจคือ มีทหารจากกองทัพภาคที่ 1 และจังหวัดสระบุรีมาช่วยพูดคุย! แต่ถ้าเจรจากัน 2-3 ครั้งแล้วยังไม่เข้าร่วม ก็ต้องใช้ไม้แข็ง โดยกรมธนารักษ์จะใช้กฎหมายบุกรุกเข้าจัดการ

การสร้างบ้านริมคลองเปรมหลังวัดรังสิต
ชุมชนหลังวัดรังสิตใช้เวลาเกือบ 5 ปีเต็ม ในการเดินหน้าโครงการ โดยต้องทำให้การก่อสร้างบ้านสอดคล้องกับการสร้างเขื่อนของกรมโยธาธิการและผังเมืองเป๊ะๆ เพราะถ้าสร้างบ้านไปก่อนแล้วเขื่อนมาทีหลัง ผนังบ้านอาจเสียหายได้
บทบาทสำคัญของ "สหกรณ์เคหสถานชุมชนวัดรังสิต จำกัด"
งานสร้างบ้านหลังใหม่ 218 หลัง เป็นหน้าที่หลักของ สหกรณ์เคหสถานชุมชนวัดรังสิต จำกัด ที่ทำงานร่วมกับ พอช. โดยได้บทเรียนสำคัญจากคลองลาดพร้าวมาปรับใช้ เริ่มตั้งแต่พาชาวบ้านไปดูงานจริงที่นั่น เรียนรู้การบริหารจัดการและการทำข้อมูลจากเครือข่ายคลองลาดพร้าวที่ทำงานมาตั้งแต่ปี 2548

คณะกรรมการสหกรณ์เคหสถานชุมชนวัดรังสิต จำกัด
สหกรณ์เริ่มต้นด้วยการสำรวจข้อมูลบริบทสมาชิกอย่างละเอียด ชี้แจงกระบวนการทำงานทุกขั้นตอน มีกรณีที่น่าสนใจคือบ้านเช่าหลังหนึ่งถูกตัดสิทธิ์เพราะไม่มีผู้เช่า แต่เมื่อยายเจ้าของบ้านให้ข้อมูลเพิ่มเติม ก็ต้องทำความเข้าใจใหม่เพื่อให้ทุกคนได้รับสิทธิ์ที่พึงมีพึงได้
ส่วนเรื่องการก่อสร้าง ประธานสหกรณ์ต้องลงพื้นที่ดูแลเองอย่างใกล้ชิด ตรวจงานผู้รับเหมาวันละ 5 ครั้ง เช้ายันค่ำ! ช่วงเช้าสั่งงาน บ่ายลงตรวจหน้างาน มีปัญหาตรงไหนก็สั่งแก้ทันที แถมยังมีทีมภาคีเครือข่ายช่างชุมชนมาช่วยตรวจงวดงานอีกเดือนละ 2 ครั้ง แต่ถึงจะดูแลดีแค่ไหน ก็มีเรื่องให้ปวดหัว! มีบ้าน 28 หลังที่ผู้รับเหมาทิ้งงาน ทำให้สหกรณ์ต้องรับช่วงมาทำต่อให้เสร็จเอง นอกจากนี้ยังมีการต่อเติมอาคารผิดระเบียบ ซึ่งสหกรณ์ต้องส่งหนังสือเตือนและประสานเทศบาลเข้าดำเนินการ
เรื่องบัญชี ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย แม้กรมส่งเสริมสหกรณ์จะมาอบรมให้ แต่ด้วยรายละเอียดงานที่เยอะและงบประมาณการก่อสร้างกว่า 100 ล้านบาท ทำให้ต้องจ้างคนนอกมาช่วยปิดบัญชี แถมยังเจอปัญหาเจ้าหน้าที่ย้ายบ่อย และการปรับแบบฟอร์มทำให้การทำงานล่าช้าไปอีก

เครือข่ายช่างชุมชนมาช่วยตรวจงวดงาน
การบริหารเงิน สหกรณ์จะเก็บเงินค่าสินเชื่อจากสมาชิกทุกวันที่ 7 ของเดือน เพื่อนำไปชำระคืน พอช. โดยมีคณะกรรมการ 5-6 คนช่วยกันเก็บเงินสดกว่าครึ่งล้านบาทต่อเดือน! แล้วก็นำเงินเข้าธนาคารทุกวัน เหลือเงินสดหมุนเวียนไว้แค่ 50,000 บาท
ตอนนี้สมาชิกเข้าอยู่ได้ไม่ถึงปี บ้านสร้างเสร็จแล้วประมาณ 60% และมีคนเข้าอยู่จริงประมาณ 50% (86 หลังคาเรือน จาก 218 หลังในเฟสแรก) หลายคนยังรอเรื่องน้ำ-ไฟฟ้า และที่สำคัญคือ "การสร้างเขื่อน" ที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์

การประชุมของสมาชิกในชุมชน
สมาชิกจะจ่ายค่าหุ้น ค่าเช่าที่ดินเดือนละ 200 บาท แบ่งเป็นค่าหุ้น 100 บาท ค่าเช่าที่ดิน 80 บาท และค่าบริหารจัดการ 20 บาท ซึ่งใช้เป็นค่าใช้จ่ายภายในสำนักงาน สหกรณ์ยังมีแผนจะตั้งกองทุนรักษาดินรักษาบ้าน และมีกองทุนฌาปนกิจด้วย
การประชุมของสหกรณ์จัดขึ้นเดือนละครั้ง เดิมคณะกรรมการทำงานจิตอาสาล้วนๆ เพิ่งจะได้ค่าตอบแทนเล็กน้อยเมื่อปลายปี 65-66 แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความเสียสละของพวกเขา ที่มาทำงานเพราะอยากให้ชาวบ้านมีบ้านเป็นของตัวเอง
ความท้าทายที่คาดไม่ถึง...เมื่อการประสานงานสะดุด!
แม้จะทุ่มเทแค่ไหน แต่การทำงานบูรณาการก็เจออุปสรรคใหญ่! ช่วงแรกปี 62-63 มีคณะทำงานที่ประชุมกันทุกเดือน แต่พอเจอโควิด-19 การประชุมก็ลดลง แถมผู้ว่าฯ ผู้บริหาร นายอำเภอ ก็มีการโยกย้ายบ่อย พอเปลี่ยนรัฐบาลก็ยิ่งหนัก เพราะการประชุมระดับนโยบายหายไปนานกว่า 2 ปี ทำให้ปัญหาที่ต้องแก้ไขถูกดองไว้

ตอกเสาเข็มเพื่อทำเขื่อนก่อนสร้างบ้าน
การสร้างเขื่อนที่ล่าช้าก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ เกิดจากรถแม็คโครเหยียบเสาเข็มบ้านของชาวบ้านหัก ทำให้แผนงานล่าช้าไปมาก เสาเข็ม 8 ต้นหายไปเลย ที่เสียหายอีก 20 กว่าต้นใช้ไม่ได้ ต้องตอกใหม่ทั้งหมด! แต่การตอกใหม่ก็ไม่ง่าย เพราะรถปั้นจั่นเข้าพื้นที่ไม่ได้แล้ว ต้องออกแบบใหม่หมด ใช้เวลานานถึง 8 เดือนกว่าจะได้เซ็นเอกสาร ทำให้โครงการหยุดชะงักไปยาวๆ
ความภาคภูมิใจที่แลกมาด้วยความอดทน
แม้จะเจอปัญหาและอุปสรรคมากมาย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปถึงงานที่สำเร็จลุล่วง ความภาคภูมิใจก็ถาโถมเข้ามา! คณะกรรมการหลายคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทั้งโครงการมาจากฝีมือเรา”
ตอนนี้คุณภาพน้ำในคลองดีขึ้นมาก เดิมมีกลิ่นเหม็น ตอนนี้น้ำใสขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น จากที่เคยมีแหล่งมั่วสุม ตอนนี้ก็ปลอดภัยขึ้น สิ่งที่ชาวบ้านภูมิใจที่สุดคือ “ได้บ้านที่มีความมั่นคงถาวรเป็นของตัวเอง” สมาชิกบางคนถึงกับร้องไห้เมื่อได้บ้าน!

บริเวณและในบ้านตัวบ้านชุมชนริมคลองฯ
"ผมเป็นคนต่างจังหวัด มาอยู่ที่นี่ 20 กว่าปีแล้ว รัฐบาลจัดทำโครงการเราดีใจมาก หากจะซื้อบ้านจัดสรร ไม่มีเครดิตเอกสารหลักฐานการเงินไปขอกู้เงิน การมีบ้านเป็นของตัวเองในราคานี้หาไม่ได้จากที่ไหน" สมาชิกคนหนึ่งกล่าว ชาวบ้านที่นี่ประกอบอาชีพหลากหลาย ทั้งค้าขาย เจ้าของโรงงานน้ำแข็ง ขายขนมเบื้อง หรือขายของออนไลน์ บางคนถึงกับเล่าติดตลกว่า "ก่อนมาทำโครงการนี้ซึมเศร้า พอมาทำโครงการนี้ไม่มีเวลาเศร้าคิดแต่ตัวเลข"
คณะกรรมการหลายคนเริ่มต้นจากความสงสัย ไม่เชื่อมั่น แต่พอเข้ามาทำเองก็ต้องตอบคำถามสมาชิกให้ได้ "จริงๆ ชาวบ้านที่นี่เขาน่ารัก" หากมีคำตอบที่ชัดเจนให้เขา การพูดคุยก็ไม่ยากเลย ยิ่งมีสำนักงานสหกรณ์ตั้งขึ้น ยิ่งสร้างความเชื่อมั่นและทำให้การสื่อสารดีขึ้นมาก
บทเรียนจากความท้าทาย สู่เส้นทางในอนาคต
บทเรียนสำคัญที่ได้จากการทำงานคือ จะต้อง "การบันทึกเอกสาร" ทุกเรื่อง ทุกการประชุมต้องจดเป็นลายลักษณ์อักษร พอมีปัญหาก็หาหลักฐานอ้างอิงได้
สิ่งที่เห็นชัดเจนอีกอย่างคือ "ความร่วมมือของสมาชิกในชุมชน" จากเดิมที่ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีกิจกรรมร่วมกัน พอมีโครงการนี้ทุกคนก็มารวมตัวกัน มีเรื่องพูดคุยกัน หาทางออกร่วมกัน แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านพร้อมให้ความร่วมมือหากมีการสื่อสารที่ดีและเข้าใจ
มีเรื่องที่น่าชื่นชม เช่น นายอำเภอและผู้ว่าฯ ที่ลงมาติดตามงานด้วยตัวเอง และสำนักงานสหกรณ์เองก็ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ชาวบ้านและหน่วยงานภายนอกอย่างมาก จังหวัดปทุมธานีมีแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 5 ปี (2565-2570) ที่จะทำร่วมกับ พอช. พมจ. การเคหะฯ และเครือข่ายภาคีอีกหลายส่วน มีการจัดกิจกรรมร่วมกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดอาการ "ต่างคนต่างอยู่" เมื่อบ้านสร้างเสร็จ
นี่คือเรื่องราวจากชุมชนหลังวัดรังสิต ที่สะท้อนให้เห็นถึงความพยายาม ความมุ่งมั่น และความร่วมมือร่วมใจของชาวบ้านและหน่วยงานต่างๆ กว่าจะได้มาซึ่ง "บ้านมั่นคง" ที่ไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัย แต่เป็นรากฐานของชีวิตที่มั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นดังคำที่ว่า “บ้านที่มากกว่าบ้าน” อย่างแท้จริง

บ้านริมคลองเปรมประชากร"ชุมชนหลังวัดรังสิต" บริเวณหมู่บ้านเมืองเอกที่สวยงาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
สำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัยกรุงเทพมหานคร จัดเวทีดำเนินโครงการบ้านมั่นคงพลัส ระดมความคิด เดินหน้าแก้ปัญหาที่อยู่อาศัย วางแผนขับเคลื่อนสู่อนาคต
นายจิตรกร พยัฆโส รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาที่อยู่อาศัย จัดเวทีโครงการบ้านมั่นคงพลัส แบ่งกลุ่มย่อยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ร่วมกับสำนักงานเขต ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนงาน
“ธรรมนัส-อัครา” มอบบ้านมั่นคง พร้อมประกาศชัด ดัน “สหกรณ์บ้านมั่นคง” ยกระดับสู่ “สหกรณ์ประเภทที่ 8”
รองนายกฯ ธรรมนัส พรหมเผ่า และ รมว.พม. อัครา พรหมเผ่า ผนึกกำลัง 2 กระทรวง ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและเป็นประธานงานสัมมนาเครือข่ายสหกรณ์บ้านมั่นคง
คนจนทั่วประเทศกว่า 5 พันคน รวมพลังยื่นข้อเสนอต่อรัฐบาล “ที่อยู่อาศัย คือสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคน” ไว้ในรัฐธรรมนูญ เนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก ปี 2568
ปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยหรือมีที่อยู่อาศัยไม่เหมาะสมเป็นปัญหาที่สำคัญของผู้คนทั่วโลก UN-Habitat หรือ ‘โครงการตั้งถิ่นฐานมนุษย์แห่งสหประชาชาติ’
จากความไม่มั่นคงสู่ชุมชนต้นแบบ....บ้านมั่นคงเจริญชัยนิมิตใหม่
เรื่องราวของ ชุมชนเจริญชัยนิมิตใหม่ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เป็นบทพิสูจน์ที่ว่า การรวมพลังและหัวใจของ "คนในชุมชน" พวกเขาพลิกจากอดีตชุมชนแออัดริมทางรถไฟที่มีอายุเก่าแก่กว่า 50 ปี
ชุมชนสวนพลู จากสลัม สู่บ้านมั่นคงโมเดล ใจกลางกรุงเทพฯ
ในอดีต ชุมชนสวนพลูเป็นพื้นที่แออัดใจกลางเมืองที่ประสบปัญหามากมาย ทั้งการอยู่อาศัยอย่างไม่มั่นคงบนที่ดินกรมธนารักษ์, ปัญหาอาชญากรรม, และเศรษฐกิจที่เปราะบาง
หินเหล็กไฟ “ชุมชนผู้ไม่ยอมแพ้"
คำกล่าวที่ว่า "ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ และไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" ดูจะตรงกับเรื่องราวของ "ชุมชนหินเหล็กไฟ" มากที่สุด ที่ซึ่งอดีตผู้บุกรุกที่ดินรถไฟริมทางรถไฟหัวหิน


