
ในยุคที่ผู้คนกินดีอยู่ดี แต่กลับป่วยง่ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หนึ่งในสาเหตุสำคัญคือ “อุตสาหกรรมอาหาร” ที่สร้างพฤติกรรม “กินเกินความจำเป็น” โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในเขตเมืองที่เต็มไปด้วยของกินพร้อมทานราคาย่อมเยา แต่มากล้นด้วยน้ำตาล เกลือ สารกันบูด และไขมันทรานส์ พฤติกรรมเหล่านี้คือ “ตัวเร่ง” ให้โรค NCDs หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และมะเร็ง เข้าจู่โจมคนทุกช่วงวัย

ตลาดอาหาร = เครื่องจักรกระตุ้น “การกินล้นเกิน”
การผลิตอาหารอุตสาหกรรมในเชิงปริมาณไม่ได้เน้นเพียงความมั่นคงทางอาหาร แต่ต้องกระตุ้นการบริโภคผ่านการตลาดอย่างต่อเนื่อง อาหารจึงถูกออกแบบให้เก็บได้นาน กินแล้วรู้สึกอร่อย ติดใจ และซื้อตุน เช่น ขนมกรุบกรอบ น้ำอัดลม เบเกอรี หรือลูกชิ้นไม้ละ 5 บาท การกินแบบ “ต้องกินให้หมด” จึงกลายเป็นกับดักทางพฤติกรรมที่ทำให้คนเมืองเสี่ยงโรคเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว

ในเวทีเสวนา “พลังชุมชนท้องถิ่นอภิวัฒน์ระบบสุขภาวะประเทศ” จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่เมืองทองธานี ภายใต้หัวข้อ “ชุมชนท้องถิ่นร่วมสร้างระบบและกลไกอาหารเพื่อสุขภาวะ” ทพญ.จันทนา อึ้งชูศักดิ์ ประธานแผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สสส. ชี้ว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบต่อคุณภาพอาหาร ทั้งด้านโภชนาการและการปนเปื้อนจากสารเคมีกำจัดศัตรูพืช เช่น ข้าวที่ปลูกในพื้นที่ขาดน้ำมีสารอาหารน้อยกว่าข้าวจากพื้นที่ชุ่มน้ำ นอกจากนี้ยังพบว่าผักผลไม้จากซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งยังคงมีสารเคมีตกค้างสูงถึง 60% แม้แนวโน้มโดยรวมจะดีขึ้น

สารเคมีในอาหาร–โรคที่ป้องกันได้แต่ยังต้องเฝ้าระวัง
แม้ประเทศไทยจะเริ่มควบคุมการใช้สารเคมี เช่น พาราควอต ไกลโฟเซต และคลอร์ไพริฟอส ตั้งแต่ปี 2563 และข้อมูลล่าสุดชี้ว่าการนำเข้าสารเคมีเหล่านี้ลดลงถึง 42% ภายใน 5 ปี (จากปี 2560–2565) แต่ภาคประชาสังคมยังคงจับตาใกล้ชิด เนื่องจากสารเหล่านี้ไม่เพียงเป็นพิษต่อผู้บริโภค แต่ยังเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน การพัฒนาสมองของทารก และมะเร็งระดับ 2A
รายงานของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ปี 2562 พบพาราควอตในผักผลไม้ 26.6% แต่หลังการแบนในปี 2564–2565 กลับไม่พบสารตกค้างเลย ถือเป็นความสำเร็จด้านนโยบายที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพคนไทย โดยเฉพาะผู้เปราะบาง ทั้งเด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้สูงวัย
พลังชุมชนเมือง–ชนบท: สร้างอาหารปลอดภัยจากรากฐาน
น.ส.รัชนี ลาดโลศรี ปลัดองค์การบริหารส่วน ต.หนองกุงใหญ่ อ.กระนวน จ.ขอนแก่น เล่าว่า ชุมชนท้องถิ่นในชนบทและเมืองต่างตื่นรู้และลุกขึ้นมาสร้างระบบอาหารที่ปลอดภัยด้วยตนเอง เช่น ที่ตำบลหนองกุงใหญ่ จ.ขอนแก่น โรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กในพื้นที่รวมพลังกันสร้างระบบผลิตอาหารปลอดภัยผ่านวิสาหกิจชุมชน ปลูกผักปลอดสารไว้กินเองและส่งขาย มีระบบตรวจสอบคุณภาพ สร้างมาตรฐาน GMP พร้อมเชื่อมโยงกับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ เช่น Big C และ Lotus ซึ่งเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือน และกลุ่มเปราะบางในพื้นที่กว่า 9,000 คน โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ป่วย NCDs ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากการเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

ด้าน น.ส.วรรณา แก้วชาติ ตัวแทนชุมชนเมืองเขตคลองสามวา กทม. ก็เล่าถึงความพยายามของชุมชนแออัดในการใช้พื้นที่เพียง 2 งาน พัฒนาเป็นศูนย์กลางปลูกผัก ปลูกปุ๋ย ทำเกษตรขนาดเล็กเพื่อเลี้ยงตัวเอง แม้ข้อจำกัดด้านพื้นที่และเศรษฐกิจจะสูง แต่ความตั้งใจที่จะเข้าถึง “อาหารปลอดภัย” ได้จุดประกายโอกาสใหม่ให้กลุ่มคนจนเมือง โดยเฉพาะในภาวะที่ร้านสะดวกซื้อมักบริจาคเค้ก ขนมปัง และของกินเหลือให้กับเด็กในชุมชน จึงยิ่งจำเป็นต้องมีทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น
จากการรณรงค์ สู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาชน เช่น มูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค และไทยแพน (Thai-PAN) ยังเป็นหัวใจสำคัญของการเฝ้าระวังและขับเคลื่อนนโยบายอาหารปลอดภัยในระดับชาติ โดยมีการจัดระบบตรวจสอบร่วมกับองค์การอาหารและยา (อย.) ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพ และเร่งสร้างฐานข้อมูลร่วม
งานวิจัยโดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ยังพบว่า หากสามารถยกเลิกการใช้สารเคมีอันตรายทั้งหมดได้ภายใน 10 ปี ประเทศไทยจะสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขได้ถึงหลายหมื่นล้านบาท ทั้งจากพาราควอต (4,750 ล้านบาท) คลอร์ไพริฟอส (41,000 ล้านบาท) และไกลโฟเซต (1,890 ล้านบาท)

ถึงเวลาตั้งคำถาม: อาหารที่เรากิน…ปลอดภัยจริงหรือ?
การแก้ไขปัญหา NCDs ไม่ใช่เพียงการให้คนลดหวาน มัน เค็ม หรือออกกำลังกายเท่านั้น แต่ต้องย้อนกลับไปที่ระบบอาหารตั้งแต่ต้นทางจนถึงมือผู้บริโภค เมื่อภาคธุรกิจยังคงมีอิทธิพลในการกำหนด “พฤติกรรมการกิน” ของคนเมือง ก็ยิ่งต้องเปิดพื้นที่ให้ภาคประชาชนเข้ามามีบทบาทตรวจสอบ ควบคุม และเสนอทางเลือก
คำถามไม่ใช่แค่ว่า “เรากินอะไร”
แต่ต้องถามว่า “ใครกำหนดสิ่งที่เรากิน” และ “ใครได้ประโยชน์จากพฤติกรรมของเรา”.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลไทยเร่งแก้ปัญหาท้องในวัยรุ่น บูรณาการความร่วมมือ 3 หน่วยงาน ถอดบทเรียน 8 คู่มือปฏิบัติงานเสริมสร้างกลไภความเข้มแข็งในระดับพื้นพื้นที่
นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน พิธีเปิด "การประชุมวิชาการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อส่งมอบผลงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงาน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่นของประเทศ" โดยจัดขึ้นร่วมกันระหว่างสมาคมแพทย์สตรีแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
สสส. ผนึกกำลัง 10 หน่วยงาน 100 ภาคี เตรียมจัดงานThailand National PM 2.5 Forum #2 เปลี่ยนระบบ เชื่อมข้อมูล ขับเคลื่อนอากาศสะอาด
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แถลงข่าวเตรียมความพร้อมการประชุมระดับชาติ เรื่อง มลพิษทางอากาศ PM2.5 ครั้งที่ 2 (Thailand National PM2.5 Forum #2)
“เติมพลังใจ” สร้างการเรียนรู้ 1 ปีบัสนร.ไฟไหม้
กิจกรรม “เติมพลังใจ” สร้างการเรียนรู้ความปลอดภัยทางถนนแก่เด็กนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อยกระดับมาตรฐาน “รถรับส่ง-คนขับ” สร้างการเรียนรู้ ป้องกันเหตุซ้ำรอย
“พลังรัก–ศรัทธา"ร่วมวางรากฐานใหม่ สู่ประเทศไทยปลอดภัยจากยาเสพติด
ปัญหายาเสพติดยังคงเป็นบาดแผลเรื้อรังของสังคมไทยมานานนับทศวรรษ และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และความเสี่ยงรอบด้าน
“12.12 สายชอปปิ้งต้องระวัง” สสส.-ม.อ. เปิดเวทีสะท้อนปัญหา “ผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย” ในไทย เผยผลตรวจสอบผลิตภัณฑ์ไร้คุณภาพผ่านแพลตฟอร์ม “TaWai for Health”
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 12 ธ.ค. 2568 ที่อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์

