ไข้เลือดออก...ชื่อนี้เราได้ยินกันบ่อยจนอาจรู้สึกชินชา แต่ความจริงคือมันยังคงเป็นภัยร้ายที่น่ากลัวและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญในทุกช่วงวัย ไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่ต้องระวัง ผู้ใหญ่อย่างเราก็เสี่ยงไม่แพ้กัน หลายคนพอเป็นไข้สูงก็รีบกินยาแก้ปวดที่แรงที่สุดที่มี ซึ่งอาจกลายเป็นดาบสองคมที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจพื้นฐานที่ถูกต้องเกี่ยวกับการรักษาไข้เลือดออก จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เรามาดูกันว่า 3 สิ่งสำคัญที่ต้องรู้แบบไม่ต้องรออาการหนักมีอะไรบ้าง

- การจัดการไข้และการชดเชยน้ำ
ในระยะแรก (ช่วงมีไข้) สิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาไข้เลือดออก คือการประคับประคองอาการและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง การลดไข้ที่สูงลิ่ว (มักสูงกว่า $38.5^\circ \text{C}$) ต้องเน้นการเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นบ่อย ๆ และใช้ ยาพาราเซตามอล เท่านั้น! จำไว้ว่า ห้ามเด็ดขาด! กับยากลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน หรือ ไอบูโพรเฟน เพราะยาเหล่านี้มีผลต่อการทำงานของเกล็ดเลือด ทำให้เลือดออกง่ายขึ้นและอาจเพิ่มความเสี่ยงภาวะเลือดออกในอวัยวะสำคัญ
นอกจากนี้ การดื่มน้ำคือหัวใจสำคัญการรักษาไข้เลือดออกในช่วงนี้ เพราะผู้ป่วยมักจะมีไข้สูง อาเจียน หรือเบื่ออาหาร ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้ง่าย ควรจิบน้ำสะอาด น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ (ORS) บ่อย ๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อรักษาสมดุลของร่างกาย
- เฝ้าระวังสัญญาณเตือนที่อันตรายบอก “ระยะวิกฤต”
ไข้เลือดออกมักจะเข้าสู่ "ระยะวิกฤต" ในช่วงที่ไข้เริ่มลดลง (วันที่ 3-7 ของอาการป่วย) หลายคนเข้าใจผิดว่าหายแล้ว แต่ความจริงคือเป็นช่วงที่อันตรายที่สุด เพราะมีการรั่วของน้ำเหลืองออกจากเส้นเลือด ทำให้ความดันโลหิตต่ำลงจนอาจเกิดภาวะช็อกได้
สัญญาณเตือนที่ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที (แม้ไข้จะลดแล้ว)
- ปวดท้องรุนแรง หรือปวดท้องต่อเนื่อง
- อาเจียนไม่หยุด (มากกว่า 4-5 ครั้งใน 1 ชั่วโมง หรือ 8 ครั้งใน 6 ชั่วโมง)
- มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหลไม่หยุด เลือดออกตามไรฟัน หรือมีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง
- ซึมลง กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น
- ปัสสาวะน้อยลงมาก หรือไม่ปัสสาวะเลยนานกว่า 4-6 ชั่วโมง
- การรักษาทางการแพทย์: การให้สารน้ำที่รัดกุม
เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล ขั้นตอนการรักษาไข้เลือดออกที่สำคัญที่สุด คือการเฝ้าระวังภาวะช็อก และการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำอย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนและต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะถ้าให้น้ำเกลือมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำเกิน (Fluid Overload) ซึ่งเป็นอันตรายต่อปอดและหัวใจได้
ในรายที่มีภาวะช็อกรุนแรง มีเลือดออกมาก หรือมีภาวะอวัยวะล้มเหลว แพทย์จะพิจารณาแนวทางการรักษาไข้เลือดออกที่เข้มข้นขึ้น เช่น การให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือดทดแทน อย่างไรก็ตาม หัวใจหลักของการรักษาไข้เลือดออกโดยรวมแล้ว ยังคงเป็นการจัดการอาการเฉพาะหน้าอย่างทันท่วงทีนั่นเอง
แม้ปัจจุบันจะยังไม่มียาฆ่าเชื้อไวรัสไข้เลือดออกโดยตรง แต่ด้วยความรู้และการรักษาไข้เลือดออกที่ถูกต้อง โดยเฉพาะการสังเกตอาการในช่วงไข้ลด และการดูแลตัวเองเบื้องต้นอย่างถูกวิธี จะช่วยให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายเป็นปกติได้ในที่สุด หากคุณหรือคนในครอบครัวมีไข้สูงติดต่อกัน 2-3 วัน อย่าลืมปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและวางแผนการรักษาไข้เลือดออกอย่างเหมาะสมที่สุด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
LifeDee เปิดตัวฟังก์ชันใหม่ แจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงไข้เลือดออกและดัชนีความร้อน
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมกับ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดงานเปิดตัวแอปพลิเคชัน LifeDee V.2 เพิ่มฟังก์ชันการใช้งาน โดยการนำเอาเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศประยุกต์ใช้ด้านสุขภาพ หรือ GeoHealth
'หมอยง' แจงยังไม่มีผลวิจัยเพียงพอให้ 'ผู้สูงอายุ' ฉีดวัคซีนไข้เลือดออก
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่องวัคซีนไข้เลือดออก (ตอนที่ 5)
'หมอยง' เปิดข้อมูล 'ไข้เลือดออก' ก่อนตัดสินใจฉีดวัคซีน
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเรื่อง "วัคซีนไข้เลือดออก" โดยระบุว่า
'หมอยง' บอกโรค SFTS พบได้ในประเทศ ไทย!
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต สำนักวิทยาศาสตร์
'กุ้ง สุธิราช' พระเอกลิเกดังแจ้งข่าวเศร้า น้องสาว ‘วิรดา’ เสียชีวิต
กุ้ง สุธิราช วงศ์เทวัญ พระเอกลิเกชื่อดัง โพสต์แจ้งข่าวเศร้าที่ต้องสูญเสียน้องสาว วิรดา วงศ์เทวัญ หลังจากเจ้าตัวป่วยหนักจากไข้เลือดออกมากว่า 1 ปี


