
ศมส.ผนึกภาคี20จังหวัดที่มี’ชาวเล-กะเหรี่ยง’อาศัย ขับเคลื่อนพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ สร้างต้นแบบพัฒนาแผนแม่บท
11 พ.ย. 2564 – นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ผอ.ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) หรือ ศมส. กล่าวว่า ศมส. ได้หารือแนวทางการขับเคลื่อนแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเลและชาวกะเหรี่ยง ร่วมกับ เครือข่ายสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัด 20 จังหวัด ที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและชาวกะเหรี่ยงอยู่อาศัย โดย กำหนดแนวทางการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2565 มุ่งต่อยอดและขยายผลการดำเนินงานจากปีที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนมรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ ให้เกิดประโยชน์ต่อการแก้ไขและพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ แสดงให้เห็นการปรับใช้ทุนทางวัฒนธรรมมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาชุมชนและกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีความเข้มแข็งทั้งในด้านการส่งเสริมอาชีพและการมีรายได้ การพัฒนาแนวทางการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่การยอมรับและเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ผอ.ศมส. กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนแนวคิดพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าววางอยู่บนหลักการเคารพสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ และให้ความสำคัญต่อกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาและจัดการทรัพยากร โดยมีเป้าหมายที่จะนำไปสู่การคุ้มครองวิถีชีวิต วัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ การสร้างและพัฒนาแนวทางการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันระหว่างภาครัฐกับชุมชนชาติพันธุ์ ตลอดจนการพัฒนาคุณภาพชีวิตบนเศรษฐกิจวัฒนธรรมกลุ่มชาติพันธุ์ ทั้งนี้ ศมส. จะร่วมมือกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดพิจารณาชุมชนชาติพันธุ์ชาวเลและชาวกะเหรี่ยงที่มีความโดดเด่นทางวัฒนธรรมและศักยภาพในการดำเนินงาน มาพัฒนาเป็นพื้นที่ต้นแบบในการพัฒนาแผนแม่บทบริหารจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจะก่อให้เกิดรูปธรรมการดำเนินงานทั้งในด้านการพัฒนาศักยภาพความเข้มแข็งภายในชุมชนชาติพันธุ์ และกระบวนการมีส่วนร่วมจากหน่วยงาน องค์กรภาคีที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายของการเป็นพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และรองรับการประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
“การขับเคลื่อนแนวนโยบายฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ถือเป็นประเด็นที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับหน่วยงาน องค์กร และชุมชนที่หลากหลาย จำเป็นต้องมีการพัฒนาและส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมจากภาคส่วน ในการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรม โครงการของเครือข่ายชุมชนชาติพันธุ์ และองค์กรพัฒนาเอกชนอื่นๆ เพื่อร่วมเป็นพลังในการสร้างองค์ความรู้ พัฒนาศักยภาพเครือข่ายและชุมชนชาติพันธุ์ให้มีความเข้มแข็ง ตลอดจนการสื่อสารความรู้ สร้างความเข้าใจต่อมิติความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ในสังคมไทยไปพร้อมกัน” นพ.โกมาตร กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘สุรเดช’ ชงใช้แรงงานกลุ่มชาติพันธุ์แทนกัมพูชา
‘สุรเดช’เตรียมเสนอ ‘รมว.ตรีนุช’ ใช้แรงงาน ‘กลุ่มชาติพันธุ์’ 2 แสนกว่าคน เผยนำร่องที่เชียงรายแล้ว 700 กว่าคน ทดแทนแรงงานกัมพูชา ชี้รวมกับแรงงานจากศูนย์พักพิง 4 หมื่นคน เชื่อช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงานได้
ปชน. ชี้ 2 ปัญหาใหญ่หล่นหาย หลังสภาฯผ่านร่างกฎหมายคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์
ปชน. ชี้ยังมีประเด็นสำคัญกฎหมายชาติพันธุ์หล่นหายระหว่างทางอยู่ หลัง 'สภาฯ' ผ่านกฎหมาย พร้อม เดินหน้าผลักดันกฎหมายลำดับรอง-แก้ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้อง เพื่อคุ้มครองสิทธิให้ครอบคลุมมากขึ้นต่อไป
สภาฯ เห็นชอบร่างกฎหมายคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ ปลดล็อกข้อจำกัดสิทธิที่อยู่ทำกิน
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … ที่วุฒิสภาพิจารณาเสร็จแล้ว และมีการแก้ไขเพิ่มเติม ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา
นายกฯอิ๊งค์ ดีใจสานต่อผลงานยุคเศรษฐา ลดขั้นตอนขอสัญชาติไทยให้กลุ่มชาติพันธุ์
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะ เดินทางฝ่าฝนที่ตกกระหนักระหว่างทาง มาพบกลุ่มชาติพันธุ์ ที่ได้รับสัญชาติไทย และมอบบัตรประชาชนให้กับตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ 21 คน นำโดย น.ส.ฝน โวยเจ่อ ชาวอาข่า
‘ประเสริฐ’ ขึ้นเชียงใหม่รับข้อเรียกร้องแก้กฎหมายป่าอนุรักษ์ พร้อมชงครม.พิจารณา
รองนายกฯ "ประเสริฐ"ขึ้นเชียงใหม่พบปะรับข้อเรียกร้องแก้กฏหมายป่าอนุรักษ์จากกลุ่มสมัชชาชุมชนคนอยู่กับป่าที่ปักหลักรอตามสัญญารับปากจะนำข้อเสนอเข้าสู่ที่ประชุม ครม. วันอังคารนี้
คนไทใหญ่ประกาศชัดไม่ใช่พม่า ในเวทีเสวนารู้จักเพื่อนบ้านและเครือญาติของเรา
ที่พิพิธภัณฑ์อารยธรรมลุ่มน้ำโขง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) จ.เชียงราย เครือข่ายภาคประสาสังคม นักวิชาการ และสื่อมวลชนได้ร่วมกันจัดเวทีเสวนา “รู้จักเพื่อนบ้านและเครือญาติของเรา” ตอน 1 กรณีไทใหญ่ โดยนอกจากเวทีเสวนายังมีการจัดศีลปการแสดงไทใหญ่ รวมถึงมีอาหารไทใหญ่แจกจ่าย โดยมีผู้ร่วมงานประมาณ 120 คน


