
'กมล กมลตระกูล' เตือนโครงการรื้ออาคาร'สถาบันปรีดี พนมยงค์' ไปให้เอกชนใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ จะกลายเป็น 'อนุสาวรีย์อัปยศ' ของสถาบันปรีดี พนมยงค์ ไปชั่วกัลปาวสาน เชื่อถ้า'ครูองุ่น'ยังมีชีวิตอยู่จะคัดค้านไม่ยืนยอมแน่
29เม.ย.2565- นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวถึง โครงการพัฒนาพื้นที่ของสถาบันปรีดี พนมยงค์ ว่า
ฤา จะสร้างอนุสาวรีย์อัปยศ!
โครงการรื้ออาคารสถาบันปรีดี พนมยงค์ ไปให้เอกชนใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ทั้งๆที่ได้รับการบริจาคมาเพื่อให้ใช้ประโยชน์เพื่อสาธารณประโยชน์เท่านั้น ตามที่มีจารึกไว้ที่อาคาร
โครงการนี้คงจะหยุดไม่ได้ เพราะไม่มีเจ้าภาพที่ออกมาปกป้องผลประโยชน์สาธารณะและความถูกต้องชอบธรรมในสังคม
ในสายตาของสังคม อาคารใหม่นี้ จะกลายเป็น “ อนุสาวรีย์อัปยศ” และ กลายเป็น “จำเลยของสังคม” ของสถาบัน ปรีดี พนมยงค์ ไปชั่วกัลปาวสาน
อันที่จริง ถ้าเปิดเผย TOR และสัญญาการแบ่งรายได้ เพื่อเป็นการชี้แจงด้วยข้อเท็จจริง มากกว่าการแสดงเหตุผลจากฟากกรรมการด้านเดียว แล้วให้สาธารณะเป็นคนตัดสินว่าชอบธรรมและเหมาะสมหรือไม่กับการนำที่ดินบริจาคที่ผู้บริจาคได้แสดงวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ประโยชน์อย่างชัดเจน
ใน TOR ได้มีการนำค่าเสียโอกาสของที่ดินทำเลทองเป็นเวลา 30 ปี คิดเป็นตัวเงินขั้นต่ำไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท ( ประมาณการจากค่าเช่าต่อตารางเมตรที่สูงขึ้นทุกปีในละแวกนี้) มาพิจารณาต่อรองหรือไม่?
จะถือสิทธิเหมือนที่ดินเป็นทรัพย์สินส่วนตัวไม่ได้ เพราะได้รับการบริจาคมา การก่อสร้างก็มีการระดมทุนและมันสมอง จึงเป็นสมบัติส่วนรวม ที่มอบให้มูลนิธิเป็นผู้ดูแล มากกว่าที่คิด และปฏิบัติเสมือนว่ามูลนิธิเป็นเจ้าของในการพัฒนาโครงการของรัฐก็ยังมีกฎหมายให้ทำประชาพิจารณ์ก่อน ในกรณีนี้ก็ควรทำเช่นเดียวกัน
ถ้ามีการทำประชาพิจารณ์ก็อาจจะได้ความเห็นและข้อเสนอในการแก้ปัญหาที่สั่งสมมามากมายที่ดำรงอยู่ตามคำชี้แจง รวมทั้งมีทางออกให้เลือกอีกมากมาย เช่น การนำที่ไปจำนองแล้วสร้างเอง จ้างบริษัทที่ปรึกษา หรือบริษัทอสังหาฯ มาบริหาร จะได้ไมีมีข้อผูกมัดในเรื่องการแบ่งสัดส่วนการใช้เนื้อที่ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของครูองุ่น ฯลฯ
ในแง่นิติศาสตร์คณะกรรมการก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ในแง่รัฐศาสตร์และสังคม มีมุมมองในด้านศีลธรรม จริยธรรมและความชอบธรรมทางสังคมซึ่งเป็น Soft Power ด้วย
นอกจากนี้ หลัก ธรรมมาภิบาล 6 ประการก็ไม่ได้นำมาปฏิบัติ ซึ่งย่อมจะมีผลกระทบต่อเกียรติประวัติและการยอมรับของสังคมในระยะยาวต่อชื่อเสียงและเกียรติคุณของชื่อของมูลนิธิ ที่เป็นชื่อเดียวกับ รัฐบุรุษอาวุโสของประเทศ
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้หากนำเสนอหรือริเริ่มในขณะที่ครูองุ่นยังมีชีวิตอยู่ ไม่ต้องคาดเดาเลย ว่าจะถูกครูองุ่นคัดค้านอย่างไม่ยินยอมแน่นอน และอาจจะขอทวงคืนที่ดืนกลับมาให้องค์กรอื่นที่มีความมุ่งมั่นในการใช้ประโยชน์เพื่อบรรลุเจตนารมณ์ของท่านปรีดี พนมยงค์ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายในความเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ทั้ง 3 ด้าน คือ ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางสังคม และประชาธิปไตยทางการเมือง ซึ่งครูองุ่นยึดเป็นปณิธาน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'นักวิชาการ' เปิด วิสัยทัศน์ผู้นำเวียดนามในสมรภูมิสงครามภาษี แนะไทยควรเรียนรู้กลยุทธ์
นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความ เรื่อง วิสัยทัศน์ของผู้นำเวียดนามในสมรภูมิสงครามภาษี มีเนื้อหาดังนี้
นักวิชาการ แนะนำวิธีแก้ปัญหาเพื่อนบ้านชนะโดยไม่ต้องรบ
นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความ หัวข้อ ชนะโดยไม่ต้องรบ กรณีศึกษาเรื่องศาลโลกที่ประเทศใหญ่ไม่ยอมรับ ไทยควรเดินเกมส์การทูตเชิงรุก โดยประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกในปี 2005
นักวิชาการ ฟันธง 'ไม่มีผู้ชนะในสงครามภาษี' แนะแสวงหาตลาดใหม่ๆเพื่อเป็นทางเลือก
นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความ เรื่อง ไม่มีผู้ชนะในสงครามภาษี มีเนื้อหาดังนี้
พปชร. สงสัยรัฐบาลมุบมิบทำประชาพิจารณ์ 'กม.กาสิโน' อ้างประชาชนเห็นด้วย
โฆษก พปชร. ชมเปาะลูกเนวินประกาศค้านกาสิโนกลางสภาฯ กล้าทำ กล้าคิด เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตนหรือประโยชน์ของพวกพ้อง เหมาะสมสำหรับการเป็นผู้นำคนรุ่นใหม่
'กมล' ยกตัวอย่างอเมริกา สะกัด 'บริษัทสีเทา' แต่ไทยต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ มิฉะนั้นเปิดกิจการไม่ได้
นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊ก จากกรณีตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ พังถล่ม ว่า กวาดบ้านให้สะอาดก่อน
บทเรียนการปราบคอร์รัปชันของเกาหลีใต้ บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น น่าศึกษานำมาใช้ในไทย
นายกมล กมลตระกูล นักวิชาการอิสระ และประธานอนุกรรมการด้านการเงินและการธนาคาร สภาผู้บริโภค เผยแพร่บทความ เรื่อง บทเรียนการปราบคอร์รัปชั่นของเกาหลีใต้ มีเนื้อหาดังนี้


