1 ก.ย.2565 - นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 แถลงว่า จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องวินิจฉัยเรื่องระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มิให้เป็นเกิน 8 ปี พร้อมกับมีคำสั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย และส่งผลให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีนั้น เห็นว่า เป็นนิมิตหมายที่ดีที่ อำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ สั่นคลอนลงแล้ว ทั้งที่เป็นนายกรัฐมนตรีมาแล้ว 8 ปีทำประเทศถอยหลังแทบทุกด้านล้มเหลวแทบทุกเรื่อง และในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของ พล.อ.ประวิตร ที่จะต้องเร่งโชว์ศักยภาพในการสร้างความยอมรับให้กับประชาชนโดยเร็วไม่เช่นนั้นก็จะพังไปทั้งประยุทธ์และประวิตร
ทั้งนี้ในสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังเข้มข้นอยู่ในขณะนี้ตนมีความคิดเห็นและข้อเรียกร้องไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้มีอำนาจดังต่อไปนี้
1.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ที่มีอำนาจเต็มแล้ว ควรใช้โอกาสนี้ในการแก้ปัญหาให้กับประชาชนโดยเร็ว โดยเฉพาะปัญหาปากท้อง เรื่องสินค้าราคาแพงซึ่งเรียกได้ว่าแพงทั้งแผ่นดินแล้วรวมถึงปัญหาราคาพลังงานทั้ง น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้า ที่ล้วนแต่สามารถลดราคาลงได้
"ขออย่าได้รีรอหรือกลัวบารมีของ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ให้รีบตัดสินใจหาคนที่มีความรู้ความสามารถมาแก้วิกฤตเศรษฐกิจโดยด่วน ซึ่งอาจจะปรับครม.หาคนดีที่สังคมยอมรับเข้ามาช่วยกันแก้วิกฤตของประเทศหากรอจนศาลตัดสิน8ปีพล.อ.ประยุทธ์ แล้วเกรงว่าจะไม่ทันการณ์ เวลานี้ประชาชนเดือดร้อนกันไปทั่ว ผู้คนคาดหวังว่าการเปลี่ยนตัวจากพล.อ.ประยุทธ์ มาเป็น พล.อ.ประวิตร น่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาใหม่ๆบ้าง แต่จนถึงวันนี้ พล.อ.ประวิตร ยังอืดอาด ไม่ได้ส่งสัญญาณในการเร่งแก้ไขปัญหา ซึ่งหากปล่อยไปเป็นสภาพรัฐบาลเป็ดง่อย บริหารประเทศแบบไม่บริหาร ประเทศก็จะยิ่งย่อยยับ"นายอดุลย์ กล่าว
นายอดุลย์ กล่าวว่า ในขณะนี้แรงกดดันทั้งหมดไปอยู่ที่ พล.อ.ประวิตร หากไม่เร่งโชว์ศักยภาพความเป็นผู้นำ อาจทำให้มีผู้นำไปเปรียบเทียบกับพล.อ.ประยุทธ์ อีก ซึ่งในระหว่างที่รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจมีบริวาร ของพล.อ.ประยุทธ์ เคลื่อนไหวเอา พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาอีก ซึ่งไม่เป็นผลดี
นอกจากประเด็นปัญหาปากท้องของประชาชนแล้ว พล.อ.ประวิตร ยังต้องเร่งแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติควบคู่ไปด้วยเพื่อสร้างความปรองดองของคนในชาติ ด้วยการนำรายงานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ ที่เคยเสนอต่อรัฐบาล มาพิจารณาดำเนินการจะเป็นทางออกคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองลงได้
2.ประชาชนและสื่อมวลชนกำลังจับตาการวินิจฉัยของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่าจะให้ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 พ้นจากตำแหน่งหรือไม่ หรือจะวินิจฉัยให้เป็นนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปีได้ ซึ่งหากเป็นประการหลังก็จะเกิดคำถามว่า ในเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ฯ ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 ถ้าไม่นับว่า พล.อ.ประยุทธ์ฯ เป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ฯ เป็นอะไร เงินประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เงินค่าตอบแทนทั้งหลาย หรือรถประจำตำแหน่ง พล.อ.ประยุทธ์ฯ รับในตำแหน่งอะไร แล้วหากว่าไม่นับว่าเป็นนายกรัฐมนตรีมาตั้งแต่ 24 สิงหาคม 2557 ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ฯ จึงไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินในการดำรงตำแหน่ง “สมัยที่สอง”แล้วเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่ป้องกันไม่ให้มีการผูกขาดอำนาจและเพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตทางการเมืองจะมีความหมายอะไร
ดังนั้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกท่าน จึงควรต้องวินิจฉัยโดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และข้อเท็จจริงดังกล่าวอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านประธานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งดำรงตำแหน่งมาก่อนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 จะประกาศใช้ แล้วท่านได้ประโยชน์จากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่เพิ่มอายุเกษียณจาก 70 ปีเป็น 75 ปี ทำให้ท่านดำรงตำแหน่งต่อมาได้จนถึงปัจจุบัน การที่ท่านเป็นหนึ่งในตุลาการที่ลงมติไม่สั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ สังคมจึงจับตามองท่านมากกว่าตุลาการท่านอื่น ว่าท่านดำรงตำแหน่งมาก่อนรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ประกาศใช้ ท่านก็อยู่ใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 แล้วท่านจะวินิจฉัยเรื่อง พล.อ.ประยุทธ์ฯ แตกต่างไปหรือไม่อย่างไร
3.พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเข้าใจสถานะตัวเองว่าดำรงตำแหน่งนายกฯมาครบ 8 ปีแล้ว เป็น 8 ปีที่ประชาชนคาดหวังว่าจะเป็นผู้นำที่เข้ามาปฏิรูปประเทศและสร้างความสามัคคีของคนในชาติตามสัญญาประชาคม แต่กลับไม่ได้ทำตามสัญญา ประเทศชาติจึงเกิดวิกฤตรอบด้าน แล้วทำไมท่านจึงยังอยากจะดำรงตำแหน่งต่อไปจนเกินกว่าที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 กำหนดไว้ ซึ่งก็เป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากยึดอำนาจของท่านเอง ทำไมท่านจึงไม่ปฏิบัติตาม เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะท่านควรรู้ตัวด้วยตัวท่านเองว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีมาครบ 8 ปีแล้ว ความชอบธรรมของท่านหมดสิ้นลงแล้ว ถึงเวลาต้องลงจากอำนาจแบบสง่างาม หากยังดันทุรังฝืนเจตจำนงประชาน จะถูกกระแสต่อต้านขยายวงออกไปมากขึ้นจนจะเกิดวิกฤตทางการเมืองอีกครั้งได้
4.ประเทศชาติกำลังถึงจุดเปลี่ยนหลังจากปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์ฯ บริหารประเทศแบบไร้ความสามารถ ทำให้เสียโอกาสในการพัฒนาบ้านเมือง ประชาชนเกิดความแตกแยกทุกระดับอย่างร้าวลึกกระทบกระเทือนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมกับก้าวข้าม พล.อ.ประยุทธ์ฯ แล้วช่วยกันกอบกู้วิกฤตของบ้านเมือง หากมีการสรรหานายกฯ คนใหม่ ก็ต้องเป็นไปตามกติกาตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเชื่อว่า ทุกคนที่เป็นนายกรัฐมนตรีได้ตามรัฐธรรมนูญ จะแก้ไขเศรษฐกิจ สร้างความสามัคคีคนในชาติ และป้องปกสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้ดีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ฯ อย่างแน่นอน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'เปิ้ล ไอริณ' โดนตัดสิทธิ์ขึ้นเวทีร้องหลังโพสต์คัดค้านแก้ ม.112
หลังจากที่มีการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองรวมถึงคัดค้านการแก้ ม.112 ล่าสุด เปิ้ล-ไอริณ ศรีแกล้ว ได้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊กว่าตนถูกตัดสิทธิ์ในการขึ้นเวทีร้องเพลงในงานๆหนึ่ง จึงไม่ได้ไปร่วมงานตามที่เคยแจ้งไว้กับสื่อมวลชนว่าจะให้สัมภาษณ์ประเด็นต่างๆในงาน พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาไม่ไปงานเพราะหนีสื่อหรือขาดความรับผิดชอบต่อคำพูดแต่อย่างใด
นายกฯ ปลื้ม อภ. คิดค้น 'ยาเลิกบุหรี่' ชนิดใหม่ รายแรกในไทย
นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ความเป็นอิสระของสื่อจากนักการเมือง
การที่บ้านเรามีกฎหมายห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของกิจการหรือถือหุ้นในกิจการสื่อ เพราะต้องการรักษาความเป็นอิสระของสื่อจากอิทธิพลเงินทุนของนักการเมืองหรือพรรคการเมือง
‘ไทยภักดี’ ย้ำปัญหาประเทศอยู่ที่นักการเมืองโกง-นายทุนผูกขาด ไม่ใช่สถาบันฯ
กรรมการบริหารพรรคไทยภักดี ย้ำอีกครั้งปัญหาประเทศอยู่ที่นักการเมืองโกง และนายทุนผูกขาด ไม่ใช่สถาบันพระมหากษัตริย์
'บิ๊กตู่' : 'เขาไม่ได้คิด' กดดันให้เก็บของออกจากทำเนียบฯ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ห่วงอะไรเป็น
'พิธา' ขาสั่น! บอกไม่กังวลปมถือหุ้นสื่อ
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล กล่าวถึงความคืบหน้าในกรณีถูกร้องให้ตรวจสอบในเรื่องการถือหุ้น