'คำนูณ' แสดงความเห็นการปฏิรูปตำรวจก่อนร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติเข้าโหวตในรัฐสภา

28 พ.ย. 2564 นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตำรวจควรมี ‘อิสระ’ แค่ไหน ? นายกฯควรเป็น ‘ประธาน ก.ตร.’ หรือไม่ ? กมธ.รัฐสภานัดโหวต 30 พ.ย.นี้ !

เอาเข้าจริงแล้ว หนึ่งในประเด็นสำคัญที่เป็นแกนกลางของการปฏิรูปตำรวจ ผ่านการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติที่อยู่ในชั้นกรรมาธิการของรัฐสภา และมีความเห็นต่างจนถึงขั้นจะต้องลงมติกันในกลุ่มมาตราที่เกี่ยวกับการบริหารงานภายในขององค์กรตำรวจที่ว่าจะเอา ‘ก. เดียว’ หรือ ‘2 ก.’ กันในวันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10.15 น. ก็คือ…

ความเป็น ‘อิสระ’ ขององค์กรตำรวจ !

หรือนัยหนึ่ง อำนาจในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ !!

กรรมาธิการฟากหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นอนุกรรมาธิการที่ได้รับมอบหมายให้ไปช่วยศึกษาพิจารณาเฉพาะประเด็นสำคัญ 3-4 กลุ่ม เห็นว่า ตำรวจต้องอยู่ห่างฝ่ายการเมืองในระดับที่มีนัยสำคัญ การบริหารงานภายในรวมทั้งเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายควรเป็นเรื่องการจัดการภายในของตำรวจกันเองภายใต้กฎเกณฑ์ที่ระบุไว้ให้เข้มข้นขึ้นในกฎหมายหลัก ฝ่ายการเมืองควรคุมเฉพาะกรอบนโยบายเท่านั้น
นายกรัฐมนตรีจึงไม่ควรมาเป็นประธานองค์กรบริหารที่ชื่อ ‘ก.ตร.’ ตามร่างฯที่ผ่านวาระ 1 ซึ่งกำหนดไว้ให้มี ‘ก. เดียว’ เท่านั้น
แต่ควรเป็นผบ.ตร. !

แล้วหาที่หาทางใหม่ให้นายกรัฐมนตรี โดยแยกงานนโยบายไว้ให้อยู่กับอีกองค์กรหนึ่งเพิ่มขึ้นมาชื่อ ‘ก.ตช.’ กลายเป็นมี ‘2 ก.’ ตามแบบที่มีอยู่ในกฎหมายปัจจุบัน ให้นายกรัฐมนตรีนั่งเป็นพระประธานตรงนั้น พร้อมพรั่งด้วยผู้แทนหน่วยราชการภายนอกทั้งด้านความมั่นคงและด้านบริหารราชการแผ่นดิน

โดยตามตุ๊กตาบทบัญญัติรายมาตราในส่วนนี้ที่อนุกรรมาธิการไปศึกษายกร่างมา ก.ตช.ไม่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายเลยแม้แต่ตำแหน่งเดียว

ย้ำอีกที – ไม่มีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องแม้แต่ตำแหน่งเดียว — ไม่ยกเว้นแม้แต่ตำแหน่งผบ.ตร.

เรียกว่าไปไกลกว่ากฎหมายปัจจุบันเสียอีก เพราะกฎหมายปัจจุบันยังคงกำหนดให้ก.ตช.พิจารณาแต่งตั้งผบ.ตร.

ความคิดเห็นกรรมาธิการฟากนี้นอกจากจะเห็นว่างานนโยบายกับงานบริหารควรจะแยกจากกันแล้ว เมื่ออภิปรายกันลงลึกแล้วยังให้เหตุผลว่าต้นเหตุแห่งปัญหาที่แท้จริงในองค์กรตำรวจ โดยเฉพาะความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้าย การวิ่งเต้น การใช้อามิส คือการแทรกแซงของฝ่ายการเมือง หากกันฝ่ายการเมืองออกไปให้ตำรวจดูแลกันเอง จะแก้ปัญหาได้

กรรมาธิการอีกฟากเห็นต่าง !

โดยเห็นว่าองค์กรตำรวจแม้จะเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมขั้นต้น แต่ก็หาใช่องค์กรที่เป็นอิสระจากฝ่ายบริหารอย่างศาล หรือกึ่งอิสระอย่างองค์กรอัยการ หากยังคงเป็นข้าราชการประจำในสังกัดฝ่ายบริหาร โดยเมื่อก่อนเป็นระดับกรมสังกัดกระทรวงมหาดไทย ต่อมาแยกออกมาเป็นสำนักงานขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี

จะตัดฝ่ายการเมืองที่มาจากประชาชนที่ถืออำนาจบริหารออกไปหาได้ไม่

เพราะภารกิจของตำรวจคืองานป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม รักษาความสงบภายในประเทศ เป็นนโยบายสำคัญของฝ่ายการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศทุกชุด

ฝ่ายการเมืองนั้นเมื่อต้องรับผิดชอบต่อสภาและต่อประชาชน ก็จะต้องมีเครื่องมือที่พอจะเป็นหลักประกันในการปฏิบัตินโยบายให้สำเร็จด้วย

นั่นคืออำนาจในการคัดเลือกข้าราชการประจำผู้ปฏิบัติ

ก็เหมือนการเลือกข้าราชการประจำผู้ที่จะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงและอธิบดีในกระทรวงทบวงกรมอื่นนั่นแหละ ที่จะต้องผ่านการพิจารณาจากรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงและอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่มีคณะกรรมการระดับกระทรวงทบวงกรมจัดการกันเองเท่านั้น
แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ใช่ให้ฝ่ายการเมืองกระทำการตามอำเภอใจ หรือเพียงภายใต้กฎเกณฑ์ที่หลวม ๆ

ต้องมีองค์ประกอบที่เหมาะสมในก.ตร.

ต้องมีกฎเกณฑ์ในการแต่งตั้งโยกย้ายให้ชัดเจนอยู่ในกฎหมายหลักในทุกมิติ อาทิ เกณฑ์ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งแต่ละขั้น เกณฑ์ห้ามย้ายข้ามห้วย เกณฑ์อาวุโสและความรู้ความสามารถที่ตรงตามรัฐธรรมนูญ ระบบคะแนนประจำตัว หรือแม้แต่การให้ประชาชนผู้รับบริการมีโอกาสร่วมประเมิน ฯลฯ

ต้องมีกฎเกณฑ์และกระบวนพิจารณารักษาความเป็นธรรมให้กับข้าราชการประจำให้ชัดเจน
ต้องมีบทลงโทษการแทรกแซงการแต่งตั้งทั้งทางวินัยและอาญา
ต้องมีองค์กรพิจารณาวินิจฉัยที่มีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกเข้าร่วมด้วย
ต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วยในระดับที่เหมาะสม

ฯลฯ

อันที่จริง สารัตถะสำคัญที่สุดอยู่ตรงนี้

เพราะต่อให้ตำรวจจัดการดูแลกันเอง กันฝ่ายการเมืองออกไป แต่หากปราศจากการปฏิรูปกฎเกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้ายให้ชัดเจนครอบคลุมทุกมิติในกฎหมายหลัก ก็ไม่อาจแก้ปัญหาองค์กรตำรวจได้

ซึ่งก็จะเป็นอีกประเด็นสำคัญที่สุดที่คณะกรรมาธิการอาจจะมีความเห็นต่างกันมาก จนถึงขั้นต้องลงมติชี้ขาด
จะเก็บความมาเล่าให้ฟังต่อไปหากถึงเวลานั้น

คำนูณ สิทธิสมาน
สมาชิกวุฒิสภา
28 พฤศจิกายน 2564

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'สังศิต' เผยแพร่บทความ 'ตำรวจ : เดินหน้าหรือถอยหลัง' หนุนปฏิรูปเป็นตำรวจจังหวัด

รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา เพยแพร่บทความเรื่อง ตำรวจ : เดินหน้าหรือถอยหลัง มีเนื้อหาดังนี้

'จตุพร' จี้นายกฯปฏิรูปองค์กรตำรวจครั้งใหญ่ เพื่อกู้ภาพลักษณ์ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์กรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ หรือ ทนายตั้ม แถลงเส้นทางการเงินพนันออนไลน์โยงตำรวจยศ “บิ๊ก” ว่า

'คำนูณ' จ่อซักฟอกปมเจรจาพื้นที่ทับซ้อน ดักคอ 'อุ๊งอิ๊ง' บินกัมพูชา

'คำนูณ' เตรียมซักฟอกรัฐบาล ปมเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ขุมทรัพย์ใต้อ่าวไทย 20 ล้านล้าน ดักคอ 'อุ๊งอิ๊ง' บินกัมพูชา ไม่ใช่เรื่องมุบมิบทำอะไรได้ ชี้ต้องเป็นข้อตกลง รธน. ม.187 รัฐสภาเห็นชอบ

'คำนูณ' เตือน! ขุมทรัพย์ 20 ล้านล้านและสิทธิอธิปไตยไทยยับเยินแน่ หากแยกประเด็นเจรจา

นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา แสดงความคิดเห็นต่อกรณีเรื่องพื้นที่ทับซ้อน ไทย-กัมพูชา ที่กำลังถูกจับตาในเวลานี้ว่า“เรื่องสำคัญที่สุด

'ตำรวจไทย' ทำผิดอาญาร้ายแรง ยังแต่งเครื่องแบบ พกปืน ตรวจค้น จับประชาชนได้!

ปัจจุบัน ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อ “กระบวนการยุติธรรมทางอาญา” ไม่ว่าชั้นใด ไม่น่าจะมีอะไรให้ผู้คนสงสัยว่ายังมีเหลืออยู่อีกมากน้อยเพียงใด!