'นักกฎหมาย' สอนมวย 'เรืองไกร' แจ้นร้องศาลปกครอง อ้าง 'ยุบสภา' ไม่ชอบกม.

'ดร.ณัฎฐ์' มือกฎหมายมหาชน ตอกกลับ 'เรืองไกร' เหตุผลในการยุบสภาชอบด้วยรัฐธรรมนูญ สอนมวยควรศึกษารัฐธรรมนูญอย่างถ่องแท้ ไม่เข้าเงื่อนไขหลักเกณฑ์ฟ้องเพิกถอนต่อศาลปกครองสูงสุด

21 มี.ค.2566 - จากกรณีราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 เมื่อวันที่ ๒๐ มี.ค.ที่ผ่านมา โดยเหตุผลในการยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยระบุว่า “เป็นการคืนอำนาจตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนโดยเร็ว” ต่อมานายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ได้ร้องต่อศาลปกครองสูงสุดเนื่องจากเห็นว่าการเสนอพระราชกฤษฎีกายุบสภาไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น

ล่าสุด ดร.ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม หรือ “ดร.ณัฎฐ์” นักกฎหมายมหาชน ได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ ว่าเหตุผลในการยุบสภาผู้แทนราษฎรตามพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร โดยรัฐธรรมนูญมาตรา 103 วรรคสองไม่ได้บัญญัติไว้ถึงเหตุการณ์ใดในรัฐธรรมนูญ ต้องพิจารณาประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจักต้องพิจารณาสถานการณ์และบริบทของประเทศไทยในขณะนั้นๆ

หากพิจารณาถึงเหตุผลในการยุบสภา 13 ครั้งที่ผ่านมา เกิดจากหลายสาเหตุ อาทิ ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับสภา ความขัดแย้งภายในรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎรขัดแย้งกับวุฒิสภากรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือวิกฤติทางการเมือง แต่เหตุผลในการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2543 ที่รัฐบาลนายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี ให้เหตุผลในการยุบสภา “ปฎิบัติภารกิจตามเป้าหมายเสร็จสิ้นแล้ว” โดยไม่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับสภา

เห็นได้จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้บัญญัติไว้ชัดเจนในมาตรา 103 วรรคสอง ดังนั้นการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งที่ 14 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2566 ที่พระราชกฤษฎีกายุบสภาโดยให้เหตุผลในพระราชกฤษฎีกาว่า “เป็นการคืนอำนาจตัดสินใจทางการเมืองให้แก่ประชาชนโดยเร็ว” หากเทียบเคียงกันในอดีตที่ผ่านมา ยกตัวอย่างในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีอ้างเหตุผลในพระราชกฤษฎีกาไม่ขัดรัฐธรรมนูญ โดยเหตุผลในการคืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็ว แม้จะมีระยะเวลาจะสิ้นอายุสภาในวันที่ 23มีนาคม 2566 ถือเป็นกลไกของรัฐสภาที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สามารถอ้างเหตุผลในการยุบสภาได้ ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ดร.ณัฐวุฒิ กล่าวว่านายเรืองไกร ต้องศึกษารัฐธรรมนูญและประเพณีการปกครอง โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา 175 ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการยับยั้งพระราชกฤษฎีที่ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายได้

ส่วนกระบวนการตราพระราชกฤษฎีกายุบสภา ให้อำนาจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้กลไกระบบรัฐสภาโดยทูลเกล้าฯพระราชกฤษฎีกาต่อพระมหากษัตริย์โดยต้องผ่านมติเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ที่เสนอพระราชกฤษฎีกา เพื่อให้พระมหากษตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจยุบสภา เป็นเงื่อนไขตามหลักการใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 301วรรคหนึ่ง ให้ประชาชนสังเกตได้จากพะราชกฤษฎีการยุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 มีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เป็นกระบวนการตราพระราชกฤษฎีกาที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ส่วนที่นายเรืองไกร จะใช้สิทธิในการฟ้องเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 11(2) มาตรา 9 วรรคหนึ่ง(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ที่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองสูงสุด จะต้องเข้าหลักเกณฑ์เงื่อนไขเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระรากฤษฎีกาหรือกฎกระทรวงที่ออกโดยคณะรัฐมนตรี หรือโดยจากความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ถามว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภา ฉบับนี้ ผ่านมติและเห็นจากคณะรัฐมนตรี หรือไม่ ตนว่านายเรืองไกร อ่านกฎหมายปกครอง มาตรา 11(2) น่าจะไม่เข้าใจ เพราะพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 ฉบับนี้ ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี แต่เป็นพระราชกฤษฎีฉบับเดียวที่พล.อ.ประยุทธ์ ฯในฐานะนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญในการยุบสภา เป็นกลไกระบบรัฐสภา เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายบริหารในระบบรัฐสภา

ดังนั้นเมื่อกระบวนการตราพระราชกฤษฎีกาโดย พล.อ.ประยุทธ์นายกรัฐมนตรี เป็นกระบวนการตราพระราชกฤษฎีกาโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านความเห็นชอบมติคณะรัฐมนตรี จึงไม่เข้าเงื่อนไขหลักเกณฑ์การฟ้องคดีปกครองและคดีไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด การยื่นคำฟ้องโดยอ้างเหตุเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งและเป็นผู้สมัคร ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ แม้จะมีสิทธิยื่นฟ้องตามมาตรา 42 แต่จะต้องพิจารณาเงื่อนไขในการฟ้องคดีปกครองด้วย

ส่วนเหตุผลในการฟ้องเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ อ้างว่ายุบสภาต้องมีเหตุการณ์ ตนว่า นายเรืองไกร ควรอ่านรัฐธรรมนูญและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญให้ชัดแจ้ง หากรัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติเหตุการณ์ในการยุบสภาไว้ อันเป็นกลไกในระบบรัฐสภา ต้องพิจารณาประเพณีในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แม้เหตุผลจะขยายความว่า คืนอำนาจให้ประชาชนโดยเร็ว โดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันให้อำนาจ กกต.องค์กรอิสระกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.เป็นการทั่วไป เป็นไปตามเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญมาตรา 103 วรรคสาม อำนาจกำหนดวันหย่อนบัตรของ กกต. ที่กกต.เคาะวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นกลไกระบบรัฐสภา

"หากเทียบเคียง สมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยุบสภาก่อนสิ้นอายุสภา โดยอ้างเหตุผลไม่ได้ขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับรัฐสภา โดยอ้างเหตุผลอื่น ในสถานการณ์และบริบทการเมืองปัจจุบัน ซึ่งรัฐธรรมนูญเปิดช่องไว้ ว่าจะอยู่ครบวาระ หรือยุบสภา เป็นดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี ส่วนการย้ายสังกัดพรรค 30 วัน ผมมองว่า เป็นประโยชน์ทุกพรรคการเมือง ไม่มีพรรคการเมืองใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบทางการเมือง

หากพิจารณาการเคาะกำหนดวันของ กกต. โดยรับสมัคร ส.ส.เขต ในวันที่ 3-7 เมษายน 2566 และรับสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ วันที่ 4 - 7 เมษายน 2566 เปิดช่องให้ผู้สมัครย้ายพรรคถึงวันสมัคร ส.ส. เป็นประโยชน์ทุกฝ่าย เพราะกฎหมายเลือกตั้ง ที่กำหนด 180 ก่อนถึงวันเลือกตั้ง สิ้นผลไปตามมาตรา 68(1) แต่เข้าหลักเกณฑ์มาตรา 68(2) ยุบสภาวันไหน ให้ถือวันหาเสียงวันนั้นถึงก่อนวันเลือกตั้ง นักการเมืองระดับชาติทุกพรรค ต้องระมัดระวังการหาเสียง"

นักกฎหมายผู้นี้ กล่าวว่าส่วนที่นายเรืองไกร เทียบเคียงระยะเวลา กรณีอยู่ครบวาระ กับยุบภา มีความแตกต่างกัน ระหว่าง ไม่เกิน 45 วัน และไม่น้อยกว่า 45 วันแต่ไม่เกิน 60 วัน ตนขอถามว่า กกต.เคาะหย่อนบัตร 14 พ.ค.2566 นับระยะเวลาห่างจากยุบสภาเพียง 54 วัน ไม่นับรวมการประกาศผลเลือกตั้งภายใน 60 วัน

แม้นายเรืองไกร จะนำสองกรณีเทียบเคียง กรณีอยู่ครบวาระ จะต้องสังกัดพรรคการเมือง ภายในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ตามกำหนดการเดิม(เลือกตั้งวันที่ 7 พฤษภาคม 2566) ระยะเวลาห่างกันเพียง 7 วัน ไม่ผิดปกติทางการเมือง การคืนอำนาจให้แก่ประชาชนโดยเร็ว กกต.จะต้องจัดการเลือกตั้งโดยสุจริตและเที่ยงธรรม นายเรืองไก ต้องศึกษารัฐธรรมนูญให้ถ่องแท้

"นายเรืองไกร เป็นว่าที่สมัคร ส.ส. ไม่ใช่ว่า ร้องหรือฟ้องเอามัน แทนที่จะเอาเวลาไปหาเสียงภายหลังยุบสภา ทำคะแนนให้พรรคที่ตนสังกัด ให้นายเรืองไกรฯไปดูคลิป พรรคพลังประชารัฐปราศรัยที่จังหวัดเชียงใหม่ วันอาทิตย์ ที่ผ่านมา เก้าอี้ว่าง คนไม่ฟัง ลุกหนี ลุงป้อม พล.อ.ประวิตรฯ เพราะสาเหตุอะไร ตั้งข้อสังเกตว่า ประชาชนเบื่อการเมืองหรือว่าเบื่อพรรคการเมืองกันแน่ ก้าวข้ามความขัดแย้ง หรือเพิ่มเติมความขัดแย้งกันแน่ ประชาชนจะให้สั่งสอนในวันเลือกตั้ง" ดร.ณัฐวุฒิ กล่าว

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'แม้ว' หักหลังเสื้อแดง ฟันธงเลือกตั้ง 'เพื่อไทย' แพ้ 'ก้าวไกล'

ความพยายามของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาปฏิเสธภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยว่า ไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมใหม่ แต่เป็นพรรครีฟอร์มมาจากพรรคไทยรักไทย และพรรคพลัง

วุฒิสภา นัดถกรายงานเสนอ กกต. แก้กฎหมายเลือกตั้ง-พรรค ใช้โซเชียลหาเสียง

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมในวันที่ 9 เม.ย. โดยมีวาระพิจารณาที่น่าสนใจ คือ การพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ สว.

‘เศรษฐา’ โอ่ 3 ปีครึ่ง นำความเป็นอยู่ที่ดีให้ ปชช. ฉุด ‘พท.’ ชนะเลือกตั้งครั้งหน้า

นายกฯ โอ่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น และหวังว่าผลที่จะตามมาคือ ทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง

เปิดเบื้องหลัง สว.ตีตก สกัด”วิษณุ”นั่งเก้าอี้ ประมุขศาลปกครอง

มติการออกเสียงของที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันจันทร์ที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ที่สมาชิกวุฒิสภาหรือสว. ลงมติด้วยคะแนนเสียงข้างมาก 158 เสียง ต่อ 45 คะแนน

ศาลปกครองสูงสุดกลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้รับฟ้องเพิกถอนควบรวม ทรู-ดีแทค

ศาลปกครองสูงสุด กลับคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น โดยให้รับคำฟ้องของผู้บริโภค 5 รายในคดีขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) กรณีรับทราบ

เอาแล้ว ! เรืองไกร ร้อง ป.ป.ช. สอบ 4 สส. เพื่อไทย ยื่นบัญชีถูกต้องหรือไม่

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เปิดเผยว่า หลังจากการเป็น กมธ.งปม. 2567 เสร็จสิ้นลง ก็กลับมาทำการตรวจสอบนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐต่อไป