อดีตรองอธิการ มธ. ชำแหละ 7 ข้อ ’พท.’ พูดใหญ่-ไม่คิดก่อน-ทำไม่เป็น

12 พ.ย.2566-รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุหัวข้อ “คิดใหญ่ ทำเป็น” กลายเป็น “พูดใหญ่ ไม่คิดก่อน ทำไม่เป็น” ไปเสียแล้ว สำหรับพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การแถลงความคืบหน้าของการดำเนินการเรื่อง digital wallet แบบไม่เปิดโอกาสให้มีการซักถาม มีความชัดเจนที่สุดก็ตรงที่ ทำให้แทบทุกคนที่ฟังนายกรัฐมนตรีแถลงว่า เงิน 10,000 บาท ตามโครงการ digital wallet ไม่ใช่ความฝันแต่จะเป็นความจริง มีความเห็นตรงกันว่า ยังคงเป็นความฝันต่อไป โอกาสที่จะเป็นความจริงมีน้อยมาก เรียกว่าเป็น ” Zero Chance of Possibility ” เลยทีเดียว

1. การขยายเวลาจาก 6 เดือน ไปเป็นเกือบ 2 ปี เร่ิมตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 67 สิ้นสุดในเดือน เมษายน 70 และบังคับให้ใช้จ่ายครั้งแรกภายใน 6 เดือน  และให้ใช้ได้ภายในอำเภอตามที่อยู่ในบัตรประชาชน ซึ่งไม่มีวันหยุดยาวในระยะเวลา 6 เดือนแรก จะทำให้คนจำนวนหนึ่งไม่สามารถทำตามเงื่อนไขนี้ได้ ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการแทนที่จะแลกเป็นเงินบาทได้ภายใน 6 เดือน กลับยืดอกกไปเป็น 2 ปี และจะต้องอยู่ในระบบภาษีจะทำให้ร้านค้าขนาดเล็ก หาบเร่ แผงลอย ไม่มีโอกาสที่จะร่วมในโครงการนี้ได้เลย และที่สำคัญคือ การยืดระยะเวลาไปอย่างยืดยาวเช่นนี้ พายุหมุนในระบบเศรษฐกิจจะเกิดได้ตามที่คุยโม้ไว้ได้หรือไม่

2.  เงื่อนไขที่กำหนดไว้เช่น ไม่สามารถใช้ digital wallet ไปชำระหนี้ ชำระค่าเล่าเรียน ชำระค่าน้ำค่าไฟ ค่าน้ำมัน ฯลฯ สามารถใช้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคได้เท่านั้น เป็นความยุ่งยากและไม่คล่องตัว ทำให้บางคนโดยเฉพาะคนชั้นกลางที่พอมีฐานะอาจไม่ต้องการเข้าร่วมในโครงการ และที่สำคัญคือ สินค้าอุปโภคบริโภคล้วนมาจากบริษัทของบรรดาเจ้าสัวทั้งสิ้น

3.  จากที่คุยโม้ ยืนยันต่อสาธารณะหลายครั้ง รวมทั้งแจ้งกับกกต.ไว้ว่า จะไม่ต้องกู้เงินแม้แต่บาทเดียว กลายเป็นว่า จะออกพ.ร.บ.เงินกู้ แต่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถตอบได้ว่าแหล่งเงินกู้จะมาจากที่ใด และการระบุว่าจะยังไม่กู้จนกว่าจะเร่ิมมีการขึ้นเงินแสดงว่า การยืดเวลาโครงการให้ยาวขึ้นจาก 6 เดือนเป็น 2 ปี จึงอาจเป็นความพยายามซื้อเวลาเพื่อหาแหล่งเงินกู้ก็ได้

4. การออกพ.ร.บ.เงินกู้แทนที่จะเป็น พ.ร.ก. ซึ่งจะต้องผ่าน 2 ด่านสำคัญ  ด่านที่หนึ่งคือ การผ่านการพิจารณาคณะกรรมการกฤษฎีกาว่าจะขัดต่อกฎหมายฉบับใดมาตราใดหรือไม่ และด่านที่ 2 คือการผ่านการพิจารณาของรัฐสภาคือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โอกาสที่จะไม่ผ่านด่านใดด่านหนึ่งมีค่อนข้างสูง

5. แน่ใจได้เลยว่าบรรดานักร้องทั้งหลายต่างก็เตรียมยื่นให้องค์กรอิสระทั้งหลายพิจารณาเพื่อยับยั้งโครงการนี้กันอย่างพร้อมเพรียง และยังมีคณะกรรมการที่ปปช.ตั้งขึ้นเพื่อติดตามและศึกษาโครงการ digital wallet ซึ่งประกอบด้วยผู้มีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ และผู้ที่มีความซื่อตรงต่อหน้าที่ แน่ใจได้เลยว่าคณะกรรมการชุดนี้จะต้องมีความเห็นแย้ง และจะทักท้วงรัฐบาลภายในเวลาอีกไม่นานต่อจากนี้

6. หลังจากการแถลงของนายกรัฐมนตรี เสียงคัดค้านแทนที่จะลดลงกลับเพิ่มมากขึ้น ทำให้คนที่เคยสนับสนุนโครงการนี้เพราะอยากได้เงิน 10,000 บาท ได้มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลและผลกระทบในทางลบที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศชาติมากขึ้น และอาจเปลี่ยนใจจากสนับสนุนเป็นการคัดค้าน

7. การเพิ่มการใช้เงินจากการแจกเพียงอย่างเดียว มาเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของประเทศอีก 100,000 ล้านบาทด้วย รวมเป็นเงินที่จะใช้ทั้งหมด 600,000 ล้านบาท ชัดเจนว่าเป็นเพียงการแต่งหน้าทาปากให้โครงการ digital wallet ดูดีขึ้นเท่านั้น หาได้มีความต้องการที่จะลงทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างจริงใจไม่

ความจริงทั้งหมดนี้ น่าจะทำให้เห็นแนวโน้มว่า โอกาสที่โครงการ digital wallet จะเป็นจริงได้ มีมากน้อยเพียงใด คำถามที่สำคัญคือ นายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล จะมองไม่เห็นหรืออนุมานไม่ได้เลยหรือว่า โครงการนี้ยากที่จะเป็นจริงได้  หรือการแถลงของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พ.ย.  ที่ผ่านมาจะเป็นเพียงละครอีกฉากหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจะเป็นละครฉากสุดท้ายของรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ เราต้องติดตามกันต่อไป

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'เพื่อไทย' จ่อเคลียร์ใจ 'ปานปรีย์' ชวนนั่งกุนซือพรรค ไม่รู้ 'นพดล' เสียบแทน

'เลขาฯ เพื่อไทย' รับต้องคุย 'ปานปรีย์' หลังไขก๊อกพ้น รมว.ต่างประเทศ แย้มชงนั่งที่ปรึกษาพรรค มั่นใจไม่เกิดแรงกระเพื่อม ปัดวางตัว 'นพดล' เสียบแทน ชี้ 'ชลน่าน-ไชยา' หน้าที่หลักยังเป็น สส.

พท. จัดใหญ่! '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' ตีปี๊บผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา'

'เพื่อไทย' เตรียมจัดงาน '10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10' สรุปผลงาน 'รัฐบาลเศรษฐา' 3 พ.ค.นี้ เดินหน้าเติมนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน พร้อมเปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ.

สมชัย ชี้ปรับ ครม. ‘รัฐบาล’ ขาดทุนมากขึ้น  หน้าตาคนมาใหม่หลายคน ปชช.ส่ายหน้า

ปรับ ครม.ครั้งนี้ จึงดูเหมือนรัฐบาลจะขาดทุนมากขึ้น  เพราะหน้าตาคนมาใหม่หลายคนประชาชนก็ส่ายหน้า  ยิ่งปานปรีย์ลาออกอีก ยิ่งเสียโอกาสได้คนเก่งและทุ่มเทมาอยู่ใน ครม.