'เทพไท' ชี้ไม่เนียน ดูแล้วน่าเกลียด ปมย้ายคนว๊อยส์ทีวี มาหากินงบแผ่นดินผ่านช่อง NBT

16 มิ.ย. 2567 – นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก “เทพไท-คุยการเมือง”
อย่าเอาทีวีช่องรัฐ เป็น ทีวีช่องชิน

ผมเห็นข่าวนางสุดฤทัย เลิศเกษม อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ชี้แจงถึงกระแสข่าวที่มีอดีตผู้จัดรายการจาก Voice TV เข้ามาจัดรายการ “คุยคลายข่าว” ที่ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง NBT2HD ว่า ไม่ใช่มีแต่เฉพาะคนจากว๊อยส์ทีวี แต่ได้ดึงคนอื่นๆจากช่องต่างๆ ที่มีความรู้ความสามารถมาด้วยหลายคน และได้ปฎิบัติระเบียบของทางราชการทุกอย่าง

ผมเห็นใจและเข้าใจเหตุผลความจำเป็น ที่ฝ่ายข้าราชการประจำต้องสนองตอบต่อนโยบายฝ่ายการเมือง ซึ่งช่อง NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็นสื่อของรัฐ ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล ซึ่งทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าใครเข้ามาเป็นรัฐบาล ก็จะปรับผังรายการ และนำบุคคลที่มีจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกันกับรัฐบาล มาจัดรายการเพื่อเป็นกระบอกเสียง ทั้งเชียร์และแก้ต่าง หรือประชาสัมพันธ์ผลงานแบบเป็นสื่อโฆษณาชวนเชื่อให้กับรัฐบาลก็ว่าได้

ในยุครัฐบาลทหาร เราก็เห็นผู้ดำเนินการช่อง NBT มาจากกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับนายทหารและกองทัพ มีแนวความคิดไปทางเดียวกับ รัฐบาลทหาร ในยุครัฐบาลของพรรคเพื่อไทยในอดีต ก็เคยนำแกนนำ นปช.3 เกลอ จัดรายการความจริงวันนี้ มาแล้ว อยากจะตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มพิธีกรของช่องว๊อยซ์ทีวีที่มาร่วมกับช่องNBT ทั้งหมดจะเป็นว๊อยซ์สายแดง ส่วนว๊อยซ์สายส้ม ไม่ได้มีสิทธิ์มาร่วมด้วย

เมื่อวันนี้พรรคเพื่อไทยมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่คุมกรมประชาสัมพันธ์ เป็นคนมาจากพรรคเพื่อไทย ก็เป็นเรื่องปกติที่นำคนของตัวเองมาจัดรายการเพื่อประชาสัมพันธ์ และเป็นกระบอกเสียง เพื่อสู้กับสื่ออิสระที่ไม่ได้เชียร์รัฐบาล

แต่ที่แปลกไปกว่าปกติก็คือ เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ไม่กี่วัน สถานีวอยซ์ทีวีก็ปิดกิจการลงทันที เหมือนกับการวางแผนย้ายกิจการที่ใช้เงินทุนของครอบครัวชินวัตรมาอยู่ที่ช่อง NBT ใช้งบประมาณแผ่นดินที่มาจากภาษีของประชาชน ซึ่งไม่เนียนพอ ดูแล้วน่าเกลียดจนเกินไป ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ในขณะนี้
ส่วนตัวไม่ติดใจเรื่องวิธีการใช้สื่อของรัฐโฆษณาประชาสัมพันธ์ผลงานของรัฐบาลเลย แต่ที่ติดใจก็คือทำไมต้องจงใจปิดกิจการวอยซ์ทีวีที่ผมเป็นแฟนประจำ แล้วพาเหรดมาอยู่ที่NBT ซึ่งทำเป็นเสมือนกิจการของครอบครัวชินวัตร
ขอเตือนไว้ว่า อย่าใช้สื่อรัฐมาทำการเมืองเหมือนกับเป็นสื่อของตัวเอง