ใช้งบกันเพลิน! อุ๊งอิ๊งเปิดศูนย์ TCDC นำร่อง 10 จังหวัด

'อุ๊งอิ๊ง' เปิดศูนย์ TCDC นำร่อง 10 จังหวัด วางรากฐานพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ ยัน เป็นการเพิ่มรายได้ให้คนไทย

26 มิ.ย.2567 - น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เป็นประธานเปิดงานนโยบายการสร้างความร่วมมือกับภูมิภาค เพื่อพัฒนาทุนวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ สู่ซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศ ซึ่งจะมีการขยายศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) แห่งใหม่ 10 จังหวัด อาทิ จ.เชียงราย จ.นครราชสีมา จ.ภูเก็ต จ.อุบลราชธานี จ.พิษณุโลก โดยมี ส.ส.พรรคเพื่อไทย ทั้งแบบบัญชีรายชื่อ และแบบเขตของจังหวัดนั้นๆ มาร่วมงานอย่างคึกคัก อาทิ นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายพชร จันทรรวงทอง ส.ส.โคราช น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย นายวรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ ส.ส.อุบลราชธานี

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายสร้างคน เพิ่มทักษะ ในโครงการจัดตั้งศูนย์ TCDC แห่งใหม่ทั่วประเทศ ให้คนไทยเข้าถึงการเรียนรู้ การพัฒนาด้านต่างๆ ให้ภูมิปัญญาแต่ละพื้นที่ ออกมาเป็นรูปธรรม ทางด้านอาหาร ดนตรี รวมถึงวิถีชีวิต ซึ่งการเข้าไปพัฒนาทักษะตรงนี้ จะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะเป็นสิ่งที่ดำเนินการ สอดคล้องกับนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ และการพัฒนาประเทศให้เติบโตได้ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาคนให้มีศักยภาพ และคนคือเครื่องมือสำคัญ ในการส่งต่อซอฟต์พาวเวอร์ไทย ไปสู่สายตาสากลโลก เพราะเป็นที่รู้กันดี ว่าคนไทยมีอัธยาศัยที่ดี น่าชื่นชม ทั่วโลกรับรู้

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ คือฝีมือของคนไทย ที่มีอยู่ทุกพื้นที่ รัฐบาลอยากนำตรงนี้ ผลักดันให้ต่างชาติได้เห็น ให้เขาได้เห็นฝีมือของคนไทย ที่น่าสนับสนุนและยกย่อง เราจึงต้องมุ่งให้คนไทย ได้แสดงฝีมือต่อไปในอนาคต และเปิดโอกาส ให้คนไทยเข้าถึงการพัฒนาศักยภาพ โดยการยกระดับศักยภาพคนไทยนั้น จะเริ่มจากจุดพื้นฐาน คือสร้างแรงงานทักษะสูง 20 ล้านคน จาก 20 ล้านครอบครัวทั่วประเทศ ตามเป้าหมายของรัฐบาล และการอัพสกิลที่เราจะดำเนินการนี้ เริ่มต้นจากโครงการนี้ใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม และสนับสนุน พัฒนาทุนวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ในระดับภูมิภาค สร้างกลไกแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ พัฒนาทักษะ และศักยภาพของคนในพื้นที่ และส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงาน

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ จะเป็นก้าวสำคัญให้ประเทศ นำทุนวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ เป็นพลังแก่ซอฟต์พาวเวอร์ให้แข็งแกร่ง และยั่งยืนต่อไป ตลอดจนมีหน่วยงาน ที่จะรับแรงงานเหล่านี้ ให้เข้าถึงตลาดงาน ได้แสดงทักษะความรู้ ความสามารถ เชื่อมต่อความสำเร็จไปสู่ระดับประเทศ และระดับโลกในอนาคต

จากนั้นน.ส.แพทองธาร ให้สัมภาษณ์ ทำไมถึงเชื่อว่า ซอฟต์พาวเวอร์จะเป็น ส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจได้ ว่า เราเห็นอยู่แล้วว่าการสร้างรายได้ที่ไม่มีจำกัดของเพดานมาจากซอฟต์พาวเวอร์ทั่วโลกทั้งนั้น เพราะฉะนั้นศักยภาพของคนไทยมีตั้งเยอะ เราเป็นรัฐบาลแล้วก็อยากสนับสนุนตรงนี้ให้เต็มที่ ต้องก้าวไปถึงจุดที่คนไทยสามารถแสดงผลงานของตนเองในเวทีโลก ยืนยันว่า จะเป็นการเพิ่มรายได้ของคนไทยเอง เราเริ่มจากเล็กๆ และมองไปถึงภาพใหญ่ด้วย ทำทุกอย่างให้สอดคล้องกัน ทั้งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นภายในวันพรุ่งนี้ แต่เราเริ่มแล้ว และจะเริ่มให้ต่อเนื่องเป็นรากฐานที่สมบรูณ์แข็งแรง เมื่อประเทศถูกเซ็ตเป็นระบบแล้ว ไม่ว่ารัฐบาลจะเข้ามาทำงานกี่ครั้ง คนไทยก็ยังรับประโยชน์ตรงนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ

ด้าน นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงศักยภาพของศูนย์ TCDC ว่า TCDC ที่ตั้งขึ้นมา 20 ปีแล้ว มีการสะสมองค์ความรู้และเครือข่าย ซึ่ง TCDC ได้นำต้นแบบที่จะทำใน 10 จังหวัดมาให้ดู ก็จะมีทั้ง creative,Lab ค้นคว้าจุดเด่นของแต่ละจังหวัด เป็นฐานการพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ต่างๆ ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นมีความพร้อมอยู่แล้ว แต่ไม่มีเจ้าภาพ ดังนั้นTCDC จะเป็นเจ้าภาพที่ต่อเชื่อมกับส่วนกลาง คือคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และเราก็มีความพยายามตั้งคณะอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ ระดับจังหวัด ซึ่งจะทำงานร่วมกับ TCDC ต่อไป

นพ.สุรพงษ์ กล่าวต่อว่า ศูนย์ 10 จังหวัดเหล่านี้ เลือกมาจาก 24 จังหวัด ซึ่งดูจากความพร้อม เมื่อมีการจัดตั้งแล้ว 10 จังหวัดนี้จะเป็นการพัฒนาทั้งต้นน้ำและกลางน้ำ ส่วนการเดินสายไปเยี่ยมชมศูนย์ต่างๆนั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน นอกจากนี้ในอนาคตเราอยากให้มีศูนย์ระดับนานาชาติตามมหานครใหญ่ๆทั่วโลก

เมื่อถามว่าศูนย์ทั้ง 10 จังหวัดจะเริ่มรายงานได้เมื่อไหร่ นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า วันนี้เพิ่งประกาศ MOU ก็มีการเตรียมในการพัฒนาพื้นที่ ซึ่งแต่ละจุดมีประมาณ 300 ตารางเมตร แต่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในช่วงปีหน้า