'กสม.' ชี้ ก่อสร้างโรงแรมใน ภูเก็ต ขาดการมีส่วนร่วมปชช. จี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไข

'กสม.' ชี้ โครงการก่อสร้างโรงแรมของบริษัทเอกชนใน จ.ภูเก็ต ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน กระทบสิทธิและวิถีชีวิตของชาวเลราไวย์ แนะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไข

16ส.ค. 2567 - นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)​ กล่าวว่า กสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้อง เมื่อเดือนก.พ. 2566 ระบุว่า โครงการก่อสร้างโรงแรมของบริษัทเอกชนใน จ.ภูเก็ต (ผู้ถูกร้องที่ 1) จะกระทบต่อวิถีชีวิตชาวเลราไวย์ เนื่องจากที่ตั้งโครงการอยู่ติดกับหาดราไวย์ ซึ่งเป็นพื้นที่จอดเรือ พักเก็บ และซ่อมแซมเครื่องมือประมง ทั้งชาวเลราไวย์กับเจ้าของที่ดินได้มีข้อพิพาทเรื่องที่ตั้งบาลัยและทางเดินไปบาลัยซึ่งเป็นศาลสำหรับประกอบพิธีกรรมที่ยังอยู่ระหว่างการแก้ไขปัญหา นอกจากนี้ การจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมบริเวณจังหวัดภูเก็ต (ผู้ถูกร้องที่ 2) ยังขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญ 2560 รับรองสิทธิชุมชนในการมีส่วนร่วมจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ รัฐมีหน้าที่อนุรักษ์ ฟื้นฟู บริหารจัดการโดยให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมและได้รับประโยชน์ด้วย ในกรณีรัฐจะอนุญาตให้มีการดำเนินการใดที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและประชาชน ต้องดำเนินการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนหรือชุมชน (Environmental Impact Assessment: EIA) และจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งบัญญัติแนวนโยบายแห่งรัฐให้คุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ให้มีสิทธิดำรงชีวิตในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน สอดคล้องกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) และหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs)

จากการตรวจสอบเห็นว่า กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่ต้องพิจารณา 2 ประเด็น ดังนี้

ประเด็นแรก โครงการก่อสร้างโรงแรมของบริษัทเอกชนใน จ.ภูเก็ต (ผู้ถูกร้องที่ 1) กระทบต่อที่ตั้งบาลัย ทางเดินไปบาลัย และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่หาดราไวย์ เห็นว่า ชุมชนราไวย์ มีประชากรประมาณ 254 ครัวเรือน นับถือผีบรรพบุรุษ มีการตั้งบาลัยเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อ และประกอบอาชีพประมงแบบดั้งเดิม โดยปรากฏหลักฐานว่าชาวเลราไวย์ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้มายาวนาน เช่น เอกสารทะเบียนบ้านระบุข้อมูลการเกิดของหญิงชาวเลราไวย์ในปี 2445 ข้อมูลการเข้าเรียนของนักเรียนชาวเลราไวย์ที่โรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ปี 2482 ภาพถ่ายทางอากาศ ภาพและวิดีทัศน์ที่ปรากฏว่าชาวเลราไวย์ได้เข้าร่วมรับเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อปี 2502 รวมทั้งการขุดพบโครงกระดูกบรรพบุรุษที่มีความเชื่อมโยงทางพันธุกรรมกับชาวเลราไวย์ในปัจจุบัน

สำหรับโครงการโรงแรมของผู้ถูกร้องที่ 1 มีเนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ ยังไม่ได้ยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารจากเทศบาลตำบลราไวย์ แต่ได้จัดทำรายงาน EIA และผู้ถูกร้องที่ 2 มีมติเห็นชอบรายงานแล้วเมื่อปี 2563 พื้นที่โครงการมีด้านหน้าติดกับหาดราไวย์ ซึ่งชาวเลใช้ประกอบอาชีพประมง จึงมีข้อพิพาทในประเด็นต่าง ๆ มาเป็นระยะ ได้แก่ เรื่องที่ตั้งและทางเดินไปบาลัย แนวเขตพื้นที่หน้าหาดราไวย์ซึ่งชาวเลราไวย์ใช้ประโยชน์ ที่ผ่านมาข้อพิพาทดังกล่าวเคยเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วหลายหน่วยงาน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร

เมื่อปี 2560 ศาลจังหวัดภูเก็ตมีคำพิพากษาว่า บริเวณที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโครงการโรงแรมของผู้ถูกร้องที่ 1 ไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงห้ามมิให้ชาวเลราไวย์ขัดขวางการดำเนินการใด ๆ และห้ามยุ่งเกี่ยวในที่ดินพิพาท อันมีผลให้ข้อพิพาทระหว่างชาวเลราไวย์กับผู้ถูกร้องที่ 1 ซึ่งเป็นเอกชนกับเอกชนยุติลงโดยผลจากคำพิพากษาของศาล ตามมาตรา 39 (1) ประกอบมาตรา 39 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 ซึ่งบัญญัติให้ กสม. สั่งยุติเรื่อง หากเป็นเรื่องที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีอยู่ในศาล หรือเรื่องที่ศาลมีคำพิพากษา คำสั่ง หรือคำวินิจฉัยเสร็จเด็ดขาดแล้ว

อย่างไรก็ดี แม้โครงการก่อสร้างโรงแรมของผู้ถูกร้องที่ 1 จะยังไม่เริ่มก่อสร้าง จึงไม่ปรากฏผลกระทบอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่การดำเนินโครงการต่อไปโดยที่หน่วยงานของรัฐยังไม่ได้ทำหน้าที่ในการคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลด้วยการหาข้อยุติที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทย่อมสุ่มเสี่ยงจะกระทบต่อวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ดั้งเดิม วัฒนธรรมประเพณี และการประกอบอาชีพของชาวเลราไวย์ ตลอดจนอาจกระทบต่อสิทธิของชาวเลราไวย์ในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่หน้าหาด ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ให้การรับรองไว้

ประเด็นที่สอง การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในการจัดทำรายงาน EIA ของโครงการก่อสร้างโรงแรมดังกล่าว เห็นว่า เป็นโครงการที่เข้าข่ายต้องจัดทำรายงาน EIA ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 โดยบริษัทที่ปรึกษาได้จัดทำรายงาน EIA และจัดรับฟังความคิดเห็นเพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมโดยใช้การสัมภาษณ์รายบุคคลด้วยแบบสอบถาม และรายงาน EIA ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเขตพื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อมบริเวณจังหวัดภูเก็ต ผู้ถูกร้องที่ 2 แล้ว

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาแบบสอบถามข้างต้นไม่ปรากฏประเด็นเรื่องที่ตั้งบาลัย ทางเดินไปยังบาลัย การใช้พื้นที่ชายหาดราไวย์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญและเป็นผลกระทบหลักที่จะเกิดขึ้นกับผู้ร้องซึ่งเป็นชาวเลราไวย์หากก่อสร้างโครงการ นอกจากนี้ การเลือกใช้วิธีการสัมภาษณ์รายบุคคลอาจเป็นวิธีที่ไม่เหมาะสมกับการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็น เนื่องจากชาวเลราไวย์บางส่วนไม่สามารถเข้าใจการสื่อสารด้วยภาษาไทย และอาจทำให้ชาวเลราไวย์ไม่ให้ข้อมูล เนื่องจากโดยธรรมชาติแล้วชาวเลราไวย์มักอยู่แบบรวมกลุ่ม จึงเห็นว่าการรับฟังความคิดเห็นของโครงการของผู้ถูกร้องที่ 1 และการพิจารณาเห็นชอบรายงาน EIA

ของผู้ถูกร้องที่ 2 มีความบกพร่องไม่ครบถ้วนในประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ อันเป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ร้องและชาวเลราไวย์

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปยังผู้ถูกร้องที่ 1 และจังหวัดภูเก็ต ให้ร่วมกันจัดรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพิ่มเติมในประเด็นที่เป็นข้อพิพาทให้ครบถ้วน โดยพิจารณาเลือกใช้การจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านและสอดคล้องกับบริบททางสังคมวัฒนธรรมของชาวเลราไวย์ที่มีธรรมชาติในการอยู่แบบรวมกลุ่ม และให้ผู้ถูกร้องที่ 2 นำข้อมูลไปประกอบการพิจารณาทบทวนมติเห็นชอบรายงาน EIA ต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนไปยังผู้ถูกร้องที่ 1 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้

1.ให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) ตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs) เพื่อประเมินผลกระทบหรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้น และหาแนวทางป้องกัน บรรเทา และจัดการผลกระทบ

2.ให้เทศบาลตำบลราไวย์ นำข้อมูลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับที่ตั้งบาลัย ทางเดินไปบาลัย และการใช้ประโยชน์พื้นที่หาดราไวย์ของชาวเล ตามรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้ ไปประกอบการพิจารณาอนุญาตก่อสร้างอาคารโครงการก่อสร้างโรงแรมของผู้ถูกร้องที่ 1 ด้วย

3. ให้จังหวัดภูเก็ตเร่งหาข้อสรุปในกรณีพิพาทเรื่องที่ตั้งและทางเดินไปยังบาลัย แนวเขตของพื้นที่หาดราไวย์ที่ชาวเลสามารถใช้ประโยชน์ได้ เพื่อคุ้มครองวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ดั้งเดิม วัฒนธรรมประเพณี ตลอดจนสิทธิในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของชาวเลราไวย์

4. ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ประกาศให้พื้นที่บริเวณหาดราไวย์ซึ่งชาวเลราไวย์ใช้ประโยชน์มาอย่างยาวนาน เป็นพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเล ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิ.ย.2553 เรื่อง การฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล ต่อไป

 

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

กสม.ชงนายกฯทบทวนโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรภายในเขตอุทยานฯหวั่นกระทบสิทธิปชช.

กสม. เสนอแนะนายกรัฐมนตรี ขอให้ทบทวนและชะลอพระราชกฤษฎีกาที่เกี่ยวกับโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติภายในเขตอุทยานแห่งชาติ หวั่นกระทบสิทธิของประชาชนในวงกว้าง

กสม.แนะตร.แก้ปัญหาความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม กรณีผู้ต้องขังถูกอายัดตัวกว่า 10 ปี

กสม. แนะ ตร. แก้ปัญหาความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม กรณีพนักงานสอบสวนไม่ดำเนินคดีอาญาผู้ต้องขังที่ถูกอายัดตัวนานกว่า 10 ปี เสนอเรือนจำงดเว้นการร้องทุกข์ในคดีลหุโทษ

กสม. ประกาศ 9 บุคคลและองค์กร ที่ส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

กสม. ประกาศผลการคัดเลือกผู้ได้รับรางวัลบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2566 - 2567

กสม. ชื่นชมรัฐบาล เร่งรัดกระบวนการกำหนดสถานะบุคคลแก่ผู้ที่ยังมีปัญหาไร้รัฐไร้สัญชาติ

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงว่า ตามที่รัฐบาลประกาศเจตนารมณ์ไว้ในการประชุมระดับสูงว่าด้วยความไร้รัฐ (High-Level Segment on Statelessness) เ

'ชาวบ้านทุ่งกุลา' ยื่นฟ้องศาลปกครองฝังกลบโรงงานน้ำตาล

เครือข่ายฅนฮักทุ่งกุลา จังหวัดร้อยเอ็ด เดินหน้าฟ้องศาลปกครองอุบลราชธานี ยกเลิกสิทธิตั้งโรงงานน้ำตาล– คว่ำอีไอเอฉบับเดิมที่ขาดการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน

กสม.ชงนายกฯ ทบทวนปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว ห่วงผลกระทบเป็นลูกโซ่

'กสม.' มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้คุ้มครองสิทธิเด็กลูกหลานแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ ทบทวนมาตรการปิดศูนย์การเรียนรู้เด็กต่างด้าว ห่วงผลกระทบกว้างขวางเป็นลูกโซ่