04 ก.ย.2567 - นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ประธานกรรมการด้านวิชาการ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ "อภิปรายนอกสภา-2: เรื่องข้อดีข้อเสียดิจิทัลวอลเล็ต" ระบุว่า เมื่อวันที่ 5 ส.ค. มีบทความใน FT เกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทย โดยโปรเฟสเซอร์มหาวิทยาลัยคอร์เนล (ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย Top 10 ของสหรัฐ)
[เขาเห็นว่า ถ้าทำโครงการนี้สำเร็จ ก็จะเปลี่ยนโฉมระบบการเงินในไทย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจติดตาม แต่ในขณะเดียวกัน กรณีประเทศใดที่จะใช้นโยบายทำนองนี้ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ
แนวคิดของโครงการทำนองนี้คือ รัฐจะสามารถควบคุมวิธีการใช้เงินที่แจกได้อย่างละเอียด เช่น กำหนดเวลาที่ต้องใช้เงิน (คือทำให้เงินหมดอายุเมื่อพ้นเวลาหนึ่ง) หรือกำหนดให้วงเงินลดลงไปเรื่อยๆ ถ้าหากผู้รับเงินแจกไม่รีบนำไปใช้จ่าย (คือทำให้เงินมีดอกเบี้ยชนิดที่ติดลบ) หรือกำหนดห้ามใช้ซื้อสินค้าบางชนิด เช่น เหล้า บุหรี่ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี เขาเตือนว่า เงินดิจิทัลที่ออกโดยบริษัทเอกชนตามคำสั่งของกระทรวงคลังดังกล่าว อาจทำลายความเชื่อถือในเงินปกติที่ออกโดยแบงก์ชาติ
ถ้าเงินดิจิทัลแบบนี้ขยายใหญ่โต ก็จะกลับทำให้แบงค์ชาติเปลี่ยนบทบาท จากปัจจุบันที่เป็นผู้ออกเงินตรา ไปเป็นผู้ทำหน้าที่เพียงแต่เป็นเอเยนต์ของรัฐ โดยรัฐเป็นผู้ออกเงินตราเสียเอง]
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒน์ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบทความนี้ในลิงค์ข้างล่าง
ผมตั้งข้อสังเกตดังนี้
1.จะต้องแก้ไขกฎหมายเงินตราเสียก่อน
กฎหมายเงินตราบัญญัติให้แบงค์ชาติเป็นผู้ออกธนบัตร โดยมาตรา 14 ให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจจัดทำจัดการ และนำออกใช้ซึ่งธนบัตรของรัฐบาล โดยรัฐมนตรีเป็นผู้ประกาศ ชนิด ราคา สี ขนาด และลักษณะอื่น ๆ ของธนบัตร และมาตรา 9 ห้ามมิให้ผู้ใดทำ จำหน่าย ใช้ หรือนำออกใช้ซึ่งวัตถุหรือเครื่องหมายใด ๆ แทนเงินตรา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี
ดังนั้น เงินดิจิทัลที่ออกโดยบริษัทเอกชนตามคำสั่งของกระทรวงคลังซึ่งมีเนื้อหาทางเศรษฐกิจเป็นเงินตราอย่างหนึ่ง จึงต้องขออนุญาตจากรัฐมนตรีผ่านแบงค์ชาติ
แต่ถ้ารัฐบาลต้องการให้กระทรวงคลังทำหน้าที่ออกเงินดิจิทัล ที่เป็นระบบคู่ขนานกับระบบธนบัตรที่ออกโดยแบงค์ชาติ อันจะเป็นการเบียดเข้าไปในกรอบอำนาจหน้าที่ของแบงค์ชาติ นั้น รัฐบาลก็จะต้องแก้ไขกฎหมายเพื่อให้อำนาจกระทรวงคลังทำหน้าที่นี้เสียก่อน
2.ไม่มีประเทศไหนทำเช่นนี้
กรณีประเทศตะวันตกที่มี stable coin เป็นเงินคริปโทชนิดหนึ่งที่ขับเคลื่อนด้วยบล็อกเชน ซึ่ง stable coin เหล่านี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เกิด smart contract ตามที่คุณทักษิณกล่าวในการแสดงวิสัยทัศน์ นั้น
ผมขอเรียนว่า stable coin เหล่านี้ในประเทศตะวันตก ออกโดยบริษัทเอกชนกันเอง โดยไม่มีอำนาจพิเศษที่กระทรวงคลังของประเทศนั้นมอบให้ใดๆ และขณะนี้ก็ยังไม่มีกฎหมายออกมาควบคุมการดำเนินการ stable coin แบบนี้ จึงมักเกิดปัญหา บางคอยน์ที่โยงกับสกุลดอลลาร์ ถูกกล่าวหาว่ามีทรัพย์สินสกุลดอลลาร์หนุนหลังไม่เต็ม 100%
ดังนั้น กรณีเงินดิจิทัลที่ออกโดยบริษัทเอกชนไทยตามคำสั่งของกระทรวงคลังไทย จึงเป็นโมเดลที่ยังไม่มีประเทศใดในโลกทำกันเลย จะแหวกแนวสุดๆ
ส่วนกรณีที่มีการออก Central Bank Digital Currency (CBDC) นั้น ล้วนออกโดยธนาคารชาติของประเทศนั้นๆ ไม่ใช่ออกโดยบริษัทเอกชนตามคำสั่งของกระทรวงคลังของประเทศนั้น
3.ต้องไม่มั่วนโยบายการคลังปะปนกับนโยบายการเงิน
กรณีที่รัฐบาลต้องการแจกเป็นเงินดิจิทัลเพื่อให้สามารถควบคุมการใช้เงินแบบที่โฟกัสเงื่อนไขได้ นั้น ในกระบวนการปกติปัจจุบัน รัฐบาลควรเอาเงินปกติไปมอบให้แบงค์ชาติ เพื่อแลกขอให้แบงค์ชาติออกเป็น CBDC แล้วส่งไปให้แก่ประชาชนอีกทอดหนึ่ง ซึ่งจะเป็นการแยกกรอบนโยบายการคลังไม่ให้ปะปนกับนโยบายการเงิน อันเป็นไปตามครรลองปกติในทุกประเทศ
แต่ถ้ารัฐบาลไทยไปแก้ไขกฎหมายให้กระทรวงคลังมอบอำนาจพิเศษให้แก่บริษัทเอกชนเป็นผู้ออกเงินดิจิทัลให้แก่ประชาชนแทนแบงค์ชาติ นั้น จะเป็นการเอากรอบนโยบายการคลังไปมั่วปะปนกับนโยบายการเงิน ซึ่งมีแต่จะทำให้ความมั่นใจในสกุลบาทตามปกติลดลงเพราะเป็นการลิดรอนอำนาจหน้าที่ของแบงค์ชาติ เป็นอันว่า รัฐบาลไทยจะทำให้ทั่วโลกขาดความมั่นใจในนโยบายการเงินของแบงค์ชาติไทยด้วยน้ำมือของรัฐบาลเอง
4.การใช้บล็อกเชนจะสร้างปัญหา
คุณทักษิณกล่าวในการแสดงวิสัยทัศน์ว่า การแจกรอบที่สอง จะแจกเป็นเงินดิจิทัล และน่าจะด้วยเหตุนี้ รัฐบาลรักษาการณ์จึงเพิ่งโอนย้ายงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะของรัฐ 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ไปใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัล
ผมขอเรียนให้ท่านทราบว่า กรณีเงินดิจิทัลที่ออกโดยบริษัทเอกชนไทยตามคำสั่งของกระทรวงคลังไทย ที่ขับเคลื่อนโดยบล็อกเชน นั้น จะมีปัญหาว่าการอนุมัติผ่านรายการใช้เวลานาน ตัวอย่างกรณีบิตคอยน์ใช้เวลาต่อรายการละ 10 นาทีกว่าจะยืนยันรายการโอนบิตคอยน์ได้สำเร็จ และบางรายการต้องรอเป็นชั่วโมง
นอกจากนั้น การเชื่อมโยงจากระบบบล็อกเชนเข้าไปในบัญชีเงินฝากของประชาชนแต่ละคนในแบงก์พาณิชย์ต่างๆ นั้น จะไปก่อความเสี่ยงในระบบคอมพิวเตอร์ของแบงก์พาณิชย์ จึงจะต้องได้รับความเห็นชอบจากแบงก์พาณิชย์และแบงค์ชาติเสียก่อน
อนึ่ง กรณีที่คณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 2568 ลงคะแนนเสียงส่วนใหญ่อนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการ โดยโอนย้ายงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะของรัฐ 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ไปใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัล นั้น ผมคาดว่า สส. ที่ยกมือลงมติเห็นชอบดังกล่าว คงไม่ได้เชิญให้ตัวแทนกระทรวงการคลังมาชี้แจงว่า เงินดิจิทัลที่จะแจก จะขับเคลื่อนโดยบล็อกเชนหรือไม่ และกระทรวงการคลังจะแก้ปัญหาการผ่านรายการล่าช้าได้อย่างไร
ถ้าท่านไม่ได้เชิญตัวแทนกระทรวงการคลังมาชี้แจง ก็น่าเป็นห่วงว่า ที่ท่านยกมือลงมติเห็นชอบดังกล่าว ท่านได้ทำหน้าที่กรรมาธิการอย่างถูกต้องรอบคอบครบถ้วนแท้จริง หรือไม่?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ธีระชัย' ผ่าทางตันภัยพิบัติ! ชี้วินัยคือทางรอด
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
'อนุทิน' เผยยึดตาม 'ทวี' ทูลเกล้าฯ ฎีกาทักษิณ
'อนุทิน' ปัดสกัด 'ทักษิณ' ช่วยเพื่อไทยหาเสียงเลือกตั้ง หลัง รมว.ยธ. สั่งปรับปรุงระเบียบราชทัณฑ์ใหม่ รื้อระบบพักโทษนอกเรือนจำ ยันไม่ใช่พรรคชอบแก้แค้น
ทันควัน! ทวีรีบโยนให้ไปถามดีเอสไอเรื่องพยานคดีฮั้ว สว.กลับคำให้การ
'ทวี' โยน DSI แจง พยานกลับคำให้การ คดีฮั้วสว. หลัง อ้างถูกข่มขู่ซัดทอดไปยัง 'ภท.'
เพื่อไทยตื่น! งัดอดีต รมว.กต.นั่งแถลงประณามกัมพูชา
'เพื่อไทย' แถลงประณามกัมพูชาละเมิดปฏิญญาสันติภาพ ลักลอบวางทุ่นระเบิดซ้ำที่ห้วยตามาเรีย ชี้รัฐบาลต้องยกระดับกดดันผ่านอาเซียน-ประชาคมโลก พร้อมเสนอใช้หุ่นยนต์เก็บกู้ทุ่นระเบิด และเร่งปราบสแกมเมอร์
'จุลพันธ์' ไม่กังวลถูก ป.ป.ช. สอบปมโยกงบ 35,000 ล้าน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภา
พปชร.ข้องใจปมแร่แรร์เอิร์ธยื่น 'วันนอร์' คุ้ยส่อผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 3
'รอง หน.พปชร.'ยื่น 'วันนอร์' ตรวจสอบ 'ปฎิญญากัวลาลัมเปอร์' โดยเฉพาะ 'แรร์เอิร์ธ' หวั่นทำให้ไทยต้องเลือกข้าง-ต่างชาติแทรกแซงกิจการในประเทศ ชี้อาจฝ่าฝืน รธน.มาตรา 3


