'อัจฉริยะ' ยื่นหลักฐานชี้เป้า 'แก๊งคอลเซ็นเตอร์' หลังคนไทยตกตึก 18 ชั้นที่ปอยเปต

'อัจฉริยะ' ยื่นหลักฐาน ชี้เป้า 'คอลเซ็นเตอร์' ปอยเปต หลัง พบ ชาวไทยตกตึก 18 ชั้น ด้าน 'โรม' รับเรื่อง ยันไม่จบแค่นี้แน่ วอน 'รัฐบาล' ทำให้เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปกว่านี้

9 ม.ค.2568 - ที่รัฐสภา นายอัจริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ในฐานะที่ปรึกษากรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เข้ายื่นหนังสือต่อนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคคประชาชน ในฐานะประธาน กมธ.กรณีมีผู้เสียชีวิตชาวไทย ตกตึก 18 ชั้น ที่ปอยเปต ซึ่งเป็นบริเวณใกล้เคียงกับที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยระบุถึงตึก 25 ชั้นในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา เป็นศูนย์กลางของคอลเซ็นเตอร์

โดยนายอัจฉริยะ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่มีการทำก่อนที่นายทักษิณจะออกมาพูด โดยมีการทำแผนที่ และส่งสายลับไป พบว่า 2 อาคารนี้ มีการปิดหน้าต่างมิดชิดทุกบาน เพื่อไม่ให้คนที่อยู่ภายในอาคารหลบหนีได้ และเมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา มีชาวไทยกระโดดลงมาจากตึกเสียชีวิต คาดว่าเป็นการหลบหนี เนื่องจากชั้นล่างของตึกมีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จึงได้มีการสำรวจเพิ่มเติม และรายละเอียดอยู่ในเอกสารที่นำมาให้ กมธ. เพื่อเป็นการชี้จุดว่า เป็นตำแหน่งใดบ้าง

ส่วนกรณีที่มือปืนยิง สส.ฝ่ายค้านของกัมพูชา และได้หลบหนีไปยังชายแดนประเทศกัมพูชานั้น ก็มีอยู่ในเอกสารที่ตนนำมายื่นให้ในวันนี้ด้วยส่วนเรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่เมื่อปี 2565 กรณีที่พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ยศในขณะนั้น) ได้มีการจับกุมขบวนการคอลเซ็นเตอร์ และการฟอกเงินของกลุ่มชาวจีนสีเทา ซึ่งได้มีการยึดอายัดทรัพย์ โดยตำรวจไซเบอร์จำนวน 700 ล้านบาท พร้อมได้มีการแถลงข่าวที่เมืองทองธานี

นายอัจฉริยะ มองว่า ทั้ง 2 กรณีนี้ มีความเกี่ยวข้องกับผับจินหลิง เนื่องจากเรื่องทั้งหมดเกิดจากผับจินหลินที่ตนเป็นสายลับของ ทั้ง 2 กรณี ซึ่งภายหลังมีการส่งของกลางทั้งหมดให้กับกองบัญชาการตำรวจนครบาล และทราบว่าเป็นชาวจีนที่สวมบัตรประชาชนไทย แต่ก็ได้ปล่อยตัวไปโดยไม่มีความผิดแต่อย่างใด รวมทั้งทรัพย์สินเงินสด มีมูลค่าเกือบ 100 ล้านบาท และรถของกลางทั้งหมดก็ได้คืนให้ผู้ต้องหาทั้งหมด และไม่ได้มีการดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาอย่างใดแม้แต่รายเดียว ทำให้เกิดคำถามว่า เรื่องนี้ส่อทุจริตหรือไม่ ตนจึงนำมายื่นต่อ กมธ.ให้ตรวจสอบ เพราะไม่เช่นนั้น การที่แถลงใหญ่โตว่า มีการจับกุมกว่า 700 ล้านบาท แต่ไม่มีผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีแม้แต่รายเดียว กองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ และตำรวจนนครบาล มีผลประโยชน์อะไรหรือไม่

ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่า ทั้งสองเรื่องเป็นเรื่องที่ กมธ.ติดตามและให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และทุนสีเทาคอลเซ็นเตอร์ เราต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า เป็นเรื่องใหญ่มาก เนื่องจากทำลายการท่องเที่ยวของประเทศไทย และมีผลกระทบด้านอื่นๆ ด้วย เพราะเงินไทยไหลไปยังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ปีหนึ่งน่าจะทะลุ 100,000 ล้านบาท

ดังนั้น เมื่อสถานการณ์เป็นแบบนี้ จึงควรเป็นวาระแห่งชาติที่จะต้องดำเนินการ ตนเองติดตามเรื่องนี้ ทั้งทางส่วนตัว ในฐานะ สส. และในฐานะประธาน กมธ. เพื่อให้กระบวนการคอลเซ็นเตอร์ แก๊งอาชญากรรมข้ามชาติอ่อนแอที่สุด แต่แค่ กมธ.อย่างเดียว คงไม่สามารถทำได้ เราพยายามให้รัฐบาลมีความเห็นตรงกันกับเราว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และต้องดำเนินการอย่างจริงจัง รวมไปถึงเรื่องบรรดามาเฟียสีเทาด้วย

นายรังสิมันต์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา กมธ.ก็รับเรื่องมาเฟียภูเก็ต วันนี้เป็นมาเฟียสีเทาชาวจีน ตนเองยืนยันกับนายอัจฉริยะว่า เรื่องนี้จะพิจารณาอย่างไม่ชักช้า เราทราบดีว่าคอลเซ็นเตอร์ไม่ได้มีในเฉพาะเมียนมา แต่มีในฝั่งกัมพูชาด้วย รวมไปถึงที่คิงโรมันเช่นเดียวกัน

ส่วนกรณีที่มีข่าวคนไทยกระโดดตึก ซึ่งเป็นตึกที่อยู่ข้างกันกับตึกที่นายทักษิณ เคยชี้เป้าว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตกลงแล้วเป็นการกระโดดหรือถูกโยนลงจากตึกนั้น ข้อมูลที่ตนเองมีจากเหตุการณ์ในอดีตคล้ายๆ ก็กับนายอัจฉริยะพูดก่อนหน้านี้ ว่าชั้นล่างเป็นเหล็กดัดหมด หากต้องการจะออกจากตึก วิธีการคือ ต้องกระโดด และก่อนหน้านี้มีชาวจีนกระโดดออกมาแล้วไม่ตาย เพราะคนท้องถิ่นช่วย ทำให้เขาสามารถหลบหนีออกจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้

ส่วนกรณีนี้ เป็นกรณีที่พยายามหลบหนีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ด้วยความสูง อาจจะไม่ได้โชคดีแบบนั้น อาจจะมีการใช้ความรุนแรง หรือโยนออกจากตึกก็เป็นไปได้ คงจะต้องติดตามต่อไป

อย่างไรก็ตาม วันนี้จะมีการพิจารณาเรื่องว้าแดง และ 4 ลูกเรือประมงไทย เราพยายามเรียกร้องให้ใช้ทุกวิถีทางให้คนไทยได้กลับบ้าน และจะมีการพูดคุยสอบถามกันเรื่องนี้ ยืนยันว่า จะไม่จบแค่วันนี้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องช่วยกันทำให้รัฐบาลรู้สึกว่า เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไปกว่านี้

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นักข่าวรุ่นเก่ากุมขยับ! เขียนบทความไม่ออก หลังสื่อจีนระบุแค่ 'นายกฯไทย' พบ 'ปธน.สี'

ตั้งใจจะเขียนบทความเรื่องนายกฯไปท่านพบสี จิ้นผิง แต่จนใจหาประเด็นไม่ได้จริงๆ เนื่องจากเรามักหา

มือถือ 'แตงโม' ถึงไทยแล้ว! ดีเอสไอเร่งตรวจDNA พร้อมเรียกแจงทันที

'หมอธวัชชัย' บินจากอเมริกาถึงไทยแล้ว หลังได้มือถือ 'แตงโม' จากบังแจ็ค ลั่นให้รีบสารภาพเรื่องจะได้จบ ด้าน ดีเอสไอรีบตรวจสอบ ชี้พบDNAใครเรียกตัวสอบทันที

ปลัด พม. นำคณะ ร่วมประชุมทวิภาคีไทย-เมียนมา หนุนช่วยเหยื่อค้ามนุษย์คืนสู่สังคม พร้อมถกระบบคุ้มครองเด็ก-สตรี-กลุ่มเปราะบาง ตามชายแดน

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2568 นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ( ปลัด พม.) เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย พร้อมด้วยผู้แทนจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานคดีค้ามนุษย์ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

'ภูมิธรรม' ลงพื้นที่แม่สอด ตรวจจุดตัดไฟเมียนมา พร้อมรับตัว 61 ต่างชาติ เหยื่อคอลเซ็นเตอร์

ที่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 กองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF ได้ส่งตัวเหยื่อ 61 คนชาวต่างชาติที่ถูกหลอกไปทำงานแก๊งคอลเซนเตอร์ และการค้ามนุษย์ ที่เมืองชเวก๊กโก่ เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา