จาก 'จ่าเพียร' ถึง 'ผู้กำกับโจ้' และสมาคมฟุตบอล สะท้อนระบบตำรวจไทย

12 มี.ค.2568- สืบเนื่องจาก "มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย แถลงข่าวทั้งน้ำตาแฉข้อมูลของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่สร้างหนี้เอาไว้จำนวนมาก

นายพงศ์พรหม ยามะรัต อดีตรองโฆษกพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์เฟซบุ๊กว่า

จ่าเพียร ถึงผู้กำกับโจ้ และสมาคมฟุตบอล
3 ปีมานี้คนไทยเห็นข่าวตำรวจระดับสูงพัวพันธุรกิจทั้งมืด ทั้งเทา ถี่ขึ้นๆ
บ่อนออนไลน์เพื่อนบ้าน ฟอกเงิน คอลเซ็นเตอร์ ค้ามนุษย์ ยาเสพติด มีเอี่ยวกันไปหมด
ว่ากันว่านายตำรวจระดับสูงในวันนี้ มีธุรกิจเทาทั้งผ่าน Nominee หรือ กล้าพอก็ทำผ่านภรรยา กันระดับ 1,000-5,000 ล้านกันเป็นปกติ โดยชักชวนทุนเทาจากจีน พม่า ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย มาลงขันทำประเทศไทย จนตอนนี้ไทยกำลังเป็นศูนย์กลางธุรกิจผิดกฏหมายใหญ่ที่สุดในอาเซียน
ไม่ใช่พม่านะครับ อย่าเข้าใจผิด
ผมเคยโพสต์ว่า
นั่งคุยกับน้องๆระดับพันตำรวจ 2 นาย
ไม่มีใครอยากทำเลวครับ
วันที่เข้าเรียนตำรวจนั้น ต่างอยากทำประเทศให้มีความถูกต้อง มีคุณธรรมทั้งสิ้น
แต่
ระบบตำรวจไทย ที่ผนวกกับฝ่ายการเมือง ทั้งการเมืองจากการเลือกตั้ง หรือจากการเมืองปฏิวัติ ต่างมาหาผลประโยชน์ และอำนาจจากวงการตำรวจทั้งสิ้น
ผลก็คือ
ตัวอย่างอย่างจ่าเพียร หรือ ผู้กำกับโจ้
บ่อน และคอลเซ็นเตอร์ที่พม่า หรือ สมาคมฟุตบอลนี่แหละครับ
ใครทำดี ก็โดนดองจนตาย (จ่าเพียร)
แต่หากอยากใหญ่โต ก็ต้องขายวิญญาณให้ผู้ใหญ่ด้วยการทำร้ายประเทศตัวเอง
ตำรวจ 80% ในประเทศไม่อยากเลว
แต่วัฒนธรรมความเลวมันฝังอยู่ในระดับบริหาร
ก่อนปฏิวัติ คสช. ยัน 4 ปี คสช. ผลประโยชน์ว่ากันหลัก 100- หลายร้อยล้านบาท
แต่หลังเลือกตั้ง 62
นายกประยุทธ์ท่านเกรงใจพี่น้องมากไป
ปล่อยพี่น้องไปละเลงระบบตำรวจให้พังหนักด้วยการเชื่อมธุรกิจมืดเข้าสู่ระบบตำรวจไทย
ค่าเลื่อนตำแหน่ง จึง “เพิ่มหลัก”
ตำแหน่งกลางๆ จาก “หลักสิบ” เป็น “หลักร้อย”
ตำแหน่งใหญ่ๆ จาก “หลักร้อย” เป็น “หลักพัน”
พันนี่ไม่ต้องจ่ายรอบเดียว แต่ต้อง “ผ่อน” ให้จบ
เหมือนหมุนเงินการเมืองด้วยการไปซื้อตึกเกินราคาประเมินไป “กว่า 100%” นั่นแหละ
สงสารคนไทยครับ